"ก็ย้อนไปถึงตอนอยู่ทหารไทย ทหารไทยตอนนั้นผมจำได้ว่ามีสาขาทั้งหมดตอนปีที่ผมออก
ปี 23 มีประมาณ 68 สาขา ถ้าผมจำไม่ผิด ผมไปเยี่ยมมาในฐานะกรรมการบริหาร รองประธานกรรมการบริหารประธานกรรมการบริหาร
ผมไปมาทั้งหมดประมาณ 64 สาขา ยังเหลือเฉพาะภาคใต้อีก 4 สาขา ผมไม่ได้ไป"
นายพลนอกราชการท้าวความถึงเมื่อเข้ารับตำแหน่งกรรมการแบงก์ทหารไทยครั้งแรกให้
"ผู้จัดการ" ฟังพร้อมทั้งบอกเหตุผลว่า ถ้ามัวแต่นั่งอ่านเอกสารเราไม่เห็นของจริง
ผมจึงต้องการสัมผัสของจริงให้ได้รู้ได้เห็นด้วยหูด้วยตาของเราเอง ซึ่งอันนี้เป็นประโยชน์ต่อตัวเรามาก
ตอนที่ผมคุยกับผู้จัดการสาขาผมก็มีโอกาสเชิญผู้จัดการมารู้จักกัน เชิญผู้ช่วยผู้จัดการ
สมุห์บัญชี ผู้ช่วยสมุห์บัญชี แคชเชียร เขามีอะไรก็ถามเขา เราก็ได้ความรู้ด้วย
แถมยังช่วยแก้ปัญหาได้อีก
ผมพยายามทำให้ลักษณะการไปเยี่ยมสาขาเหมือนไปให้กำลังใจเพื่อนร่วมงานไม่มีการไปทานอาหารในโรงแรม
จะทานกันที่แบงก์ ไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะ
"สำหรับที่แบงก์ทหารไทย ผมรู้สึกว่างานจะไปเสร็จสิ้นที่คณะกรรมการบริหารซึ่งมีประธานกรรมการบริหารเป็นหัวหน้าพูดง่าย
ๆ ว่าเราทำงานกันตามลำดับความรับผิดชอบ ผมพยายามไม่เข้าไปก้าวก่ายสอดแทรกเลย
มีแต่เพียงสิ่งที่ส่งขึ้นมาให้พิจารณาผมเห็นอะไรไม่เหมาะหรือสงสัยผมก็เชิญมาพบหน่อย
มาอธิบายให้ฟังหน่อย"
อดีตประธานฯ ผู้เอาจริงเอาจังกับงานทุกงานที่ตนรับผิดชอบ มาทำงานประจำที่แบงก์ทหารไทยสัปดาห์ละ
3-4 วัน ถือได้ว่ายุคนี้เป็นยุคที่กรรมการบริหารมีบทบาทต่อแบงก์ทหารไทยมากพอดูทีเดียว
เมื่อเทียบกับการเป็นประธานแบงก์มหานครใน พ.ศ. 2535 ซึ่งนายทหารผู้นี้กล่าวถึงการเข้ารับตำแหน่งนายแบงก์เป็นครั้งที่สองในอีกแบงก์หนึ่งว่า
"ผมมีประวัติดีที่เขายอมรับในเรื่องของความซื่อสัตย์สุจริต ด้านตรงไปตรงมาและเป็นคนมือสะอาด
เขาจึงเชิญมาเพื่อขอไปเป็นหลักนำของแบงก์"
แต่การเป็นนายแบงก์ที่มหานครนี้พอเอกสิทธิบอกว่า งานหนักน้อยกว่าแบงก์ทหารไทยหลายเท่านัก
เมื่อครั้งอยู่ทหารไทยต้องพิจารณาสินเชื่อรายใหญ่ ๆ ระดับ 10 ล้านบาทขึ้นไป
เพราะสมัยก่อนยังไม่มีระดับ 100 ล้าน แต่มาอยู่ที่มหานครยังไม่เคยพิจารณาสินเชื่อเลย
ความต่างอีกประการหนึ่งของการเป็นนายแบงก์สองครั้งนี้ก็คือครั้งแรกเป็นเพราะตำแหน่งทางทหารคือเสนาธิการทหารบก
ครั้งที่สองเป็นเพราะได้รับเชิญ
นายทหารฉายาเปาปุ้นจิ้นสิทธิย้อนอดีตแต่หนหลังให้ฟังว่า สมัยจอมพลสฤษดิ์คิดตั้งแบงก์บังคับให้ซื้อหุ้นผ่อนส่ง
ผมก็ซื้อ 40 หุ้น ถูกหักเดือนละ 100 บาท ระยะเวลา 100 เดือน ตอนนั้นมียศนายพันตรีพูดแล้วยังเสียดายเพราะราคาหุ้นปัจจุบันนี้ไปไกลหลายเท่าตัว
แต่ตอนนั้นแม้ซื้อเพียงเล็กน้อยก็ต้องรัดเข็มขัดมากทีเดียว ส่วนพวกนายร้อยถ้าจะซื้อหุ้นก็คงหนักหน่อยเพราะเงินเดือนเพียง
80 บาทเท่านั้น
"ในความจำเป็นที่ต้องใช้ทหารเป็นกรรมการก็มีเหตุผลอยู่ว่าเพราะงบทหารฝากที่นี่ทั้งหมดสมัยก่อนได้ราว
ๆ 10,000 ล้านบาท แต่เดี๋ยวนี้เขาตัดทอนเป็นงวด ๆ เงินฝากก็ไม่มาก อาจจะมีบ้างที่ให้เงินเดือนบางหน่วยผ่านแบงก์"
นอกจากนี้พลเอกสิทธิ ยังเผยถึงการทำงานในฐานะนายแบงก์เพิ่มเติมว่างานเสริมจากการพิจารณาสินเชื่อก็คือการเป็นประธานเปิดสาขา
อบรมพนักงานให้กำลังใจพนักงานบ้างตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย
"ถ้าจะพูดถึงเรื่องทหารช่วยแบงก์ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเราก็ช่วย เวลาแบงก์จะตั้งสาขา
ผมก็ไปดูด้านการตลาดด้วย ลงพื้นที่ช่วยเลือกที่ตั้งสาขา ตอนนั้นยังอยู่ในราชการ
ที่ไหนมีหน่วยทหาร เราก็ไปขอข้อมูล มาประกอบการพิจารณา"
เมื่อย้อนอดีตให้ฟังแล้วนายพลรุ่นพี่ยังได้กล่าวถึงพลเอกประยุทธ ประธานแบงก์ทหารไทยคนปัจจุบัน
ว่าเป็นรุ่นน้องที่น่ารักมาก เขามาจากสายการข่าวสายเสนาธิการเช่นเดียวกันกับผมเพียงแต่ผมไม่ได้เป็น
ผบ. ทบ. เท่านั้น อย่างไรก็แล้วแต่ผมก็ภูมิใจในตัวเองและชอบใจที่จะเป็น
"นายแบงก์มากกว่าประธานตรวจสอบทรัพย์สินฯ"