Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ กรกฎาคม 2535








 
นิตยสารผู้จัดการ กรกฎาคม 2535
"ทำไม! กองทัพในแบงก์ทหารไทยไม่มีวันแยกจากไปเด็ดขาด"             
 

   
related stories

"ศุภชัย พานิชภักดิ์ "ไม่มีใครเข้าใจผม"
"ชื่อนั้น สำคัญฉะนี้ !!!"
"พลเอกสิทธิ จิรโรจน์ "คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าทหารก็ช่วยแบงก์ทหารไทย"
"อันเป็น…ที่มาของแบงค์ทหารไทย"
"ด่วนมาก"

   
search resources

ธนาคารทหารไทย
ศุภชัย พานิชภักดิ์
Banking and Finance




"แบงก์ทหารไทยกำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤติศรัทธาจากแรงผลักของพฤษทมิฬ นับจาก พ.ศ. 2500 ถึงปัจจุบัน แบงก์ทหารไทยเพิ่มทุนไปแล้ว 10 ครั้ง ครั้งสำคัญที่ทำให้สัดส่วนถือหุ้นกองทัพลดลงคือปี 2526 เพราะจำเป็นต้องนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จากนั้นมาการเพิ่มทุนไม่ได้มีผลต่อสัดส่วนผู้ถือหุ้นเลย กองทัพยังคงถือหุ้นอยู่ 36.7% ในแต่ละปีสถาบันกองทัพยังได้รับเงินปันผลในจำนวนมหาศาลถ้ารวม 7 ปีให้หลังก็รับไปแล้วไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท แค่นี้ก็คงพอรู้แล้วว่าแบงก์แห่งนี้ ทหารคงไม่ปล่อยให้พ้นมือแน่นอน แม้ว่าผู้บริหารมืออาชีพจะยืนยันว่าพวกเขาได้รับอิสระในการทำงาน แต่ที่มาของพวกเขาก็มาจากคณะกรรมการทหาร ซึ่งข้อบังคับของแบงก์ก็เปิดช่องให้กรรมการใช้อำนาจแบบไม่จำกัดเสียด้วย"

"THAI MILITARY'S FINANCIAL POWER REMAINS" นี่คือข่าวพาดหัวใหญ่ของเอเชี่ยนวอลล์สตรีท เจอร์นัล ฉบับวันที่ 16 มิถุนายน 2535 ถึงผู้นำกองทัพไทยที่ฉาวโฉ่ไปทั่วโลก

ถ้าจะแปลกันอย่างไม่ต้องสละสลวยนักก็น่าจะภาคภาษาไทยตามเนื้อหาของบทความได้ว่าอำนาจเงินของผู้นำทหารไทยยังทรงอิทธิพลอยู่ ในเนื้อความของซินเทีย โอเวนส์ ผู้เขียนนั้นบ่งบอกถึงการหาผลประโยชน์ของผู้นำทหารไทยและการใช้เงินเพื่อให้ตนเองมีอำนาจทางการเมืองตามระบอบประชาธิปไตย ซึ่งได้กล่าวพาดพิงถึงที่มาของเงินว่าส่วนหนึ่งมาจากธนาคารทหารไทย

เช่นเดียวกับนิตยสาร TIME ที่กล่าวถึงบทบาททหารในแวดวงธุรกิจว่ายังคงมีบทบาทมากเกินไป ยกตัวอย่างการเข้าไปมีหุ้นส่วน ในองค์การโทรศัพท์เป็นมูลค่าสินทรัพย์ถึง 3,800 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ

นอกจากนี้ยังมีอีกหลายองค์กรที่ทหารเข้าไปมีอิทธิพล แต่ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในการที่จะกล่าวถึงคือ แบงก์ทหารไทยเพราะมักจะถูกสันนิษฐานว่าเป็นฐานการเงินของผู้นำทางทหาร

ข้อความเหล่านี้ตีแผ่หลังจากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬซึ่งนอกจากกระทบต่อสถาบันทหารแล้ว ยังส่งผลต่อแบงก์ทหารไทยในทางลบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกันข่าวด้านลบนานับปการของแบงก์แห่งนี้ถูกตีแผ่ทั้งในประเทศ และระดับโลกเสมือนหนึ่งมรสุมที่โถมเข้าหาผู้บริหารแบงก์อย่างไม่รู้ตัว

ข่าวพลเอกสุจินดา คราประยูรนายกรัฐมนตรี 48 วันและครอบครัว ถอนเงินจากแบงก์ทหารไทย 200 ล้านบาทเพื่อเดินทางออกนอกประเทศ เข้าหูประชาชนได้สร้างกระแสไม่พอใจมากขึ้น เพราะหลายฝ่ายเชื่อว่ามีมูลความจริง เนื่องจากช่วงเวลาดังกล่าวแบงก์ได้ทำการซื้อเงินดอลล่าร์มากกว่าปกติจึงเกิดข้อสันนิษฐานว่าจะนำไปทดแทนเงินบาทที่ถูกถอนออกไป และแบงก์หากู้คืนมาสำรองไม่ทัน

จากการสืบค้นของ "ผู้จัดการ" ทราบว่าปกติแบงก์ทหารไทยจะซื้อดอลลาร์อยู่ในระหว่าง 5-20 ล้านเหรียญสหรัฐต่อวันแล้วแต่ความต้องการของลูกค้า ซึ่งในช่วงเหตุการณ์ดังกล่าวปรากฏว่าแบงก์ได้ซื้อดอลลาร์มากขึ้นเป็น 30-40 ล้านเหรียญสหรัฐต่อวัน

นิติกร ตันติธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายและหัวหน้าสำนักบริหารเงินธนาคารไทยทนุให้ความเห็นว่าอัตราการซื้อดอลลาร์เพิ่มของแบงก์ทหารไทยไม่อยู่ในภาวะน่าวิตกแต่ประการใด และก็เป็นไปไม่ได้ว่าเหตุของการซื้อดอลลาร์มากขึ้นมาจากการถูกถอนเงินจำนวนมาก เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น สิ่งที่แบงก์ควรทำคือการกู้เงินบาทภายในประเทศเพื่อจะได้ไม่ต้องเสี่ยงกับอัตราแลกเปลี่ยน ส่วนข้อครหาที่ว่าเนื่องมาจากกู้เงินบาทไม่ทันนั้นก็คงเป็นไปไม่ได้เพราะในตลาดหรือแบงก์ชาติเองก็ยังมีสภาพคล่องพอให้กู้ได้

ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไร ก็เดือดร้อนแบงก์ทหารไทยด้วยกันทั้งสิ้น !

ศุภชัย พานิชภักดิ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารทหารไทย ผู้รับภาระหน้าเสื่อต้องรีบออกทำการแถลงข่าวในวันที่ 26 มิถุนายน เพื่อแก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้น

แต่เรื่องนี้ใช่ว่าแค่พูดแล้วจะเรียกศรัทธาคืนได้ ! เพราะสถานภาพของแบงก์ทหารไทยแยกไม่ออกจากกองทัพ ภาพประชาชนถูกทุบตี ทำร้าย ภาพคนตาย 46 ศพ สาบสูญอีก 980 คน (รวบรวมจาก 8 ศูนย์มหาดไทย มหิดล จุฬา นิด้า มูลนิธิเด็ก วันที่ 27/6/35) จากฝีมือทหารยังอยู่ในความทรงจำของผู้คน

ยุทธการต่อต้านทหารโดยการเรียกร้องให้มีการตัดสัมพันธ์จากวงจรที่ทหารเกี่ยวข้องเริ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการถอนเงินจากแบงก์แห่งนี้ แหล่งข่าวในแบงก์ทหารไทย กล่าวว่ามีการถอนเงินจากแบงก์จริง แต่ไม่มากอย่างที่เป็นข่าว รายใหญ่สูงสุดก็ไม่เกิน 10 ล้านบาท และเมื่อเหตุการณ์สงบก็เข้าสู่ภาวะปกติ

ส่วนสาขาภาคใต้ ดินแดนที่มีกระแสสูงในการต่อต้านทหารนั้น นักธุรกิจรวมตัวกันได้ระดับหนึ่งซึ่ง ชาญ ลีลาภรณ์ประธานหอการค้าจังหวัดสงขลา ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า เริ่มมีประชาชนไม่พอใจแบงก์ที่รับใช้เผด็จการ เชื่อว่าอีกไม่นานแบงก์ต้องได้รับผลกระทบแน่

ผู้จัดการสาขาแบงก์ทหารไทยในจังหวัดสงขลายอมรับกับ "ผู้จัดการ" ว่าแบงก์ได้รับผลกระทบจากการถอนเงินจริง แต่บอกไม่ได้ว่าจำนวนเท่าไรเพราะเกรงจะมีปัญหาต่อหน้าที่การงาน อย่างไรก็ตามจากการสำรวจของ "ผู้จัดการ" พบว่ายอดเงินฝากของแบงก์ทหารไทยในกรุงเทพเองก็ต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ในเดือนพฤษภาคมโดยเฉพาะสาขาบางลำภู

จากการรวบรวมยอดเงินฝากของส่วนวิจัยเงิน ธนาคารกสิกรไทย ปรากฏว่ายอดเงินสิ้นเดือนพฤษภาคม 2535 นี้แบงก์ทหารไทยมีเงินฝาก 112,097 ล้านบาทในขณะที่แบงก์ทหารไทยแถลงผลการดำเนินงานสิ้นไตรมาส 1 ของปี 2535 ว่ามียอดเงินฝาก 111,111 ล้านบาท

ถ้าดูจากตัวเลขเฉลี่ย ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม จะพบว่ายอดเงินฝากเฉลี่ยลดลงเหลือเดือนละ 22,419.4 ล้านบาท จากไตรมาสแรกที่สามารถระดมเงินฝากได้เฉลี่ยเดือนละ 37,037 ล้านบาท เท่ากับยอดเงินฝากลดลงถึง 39% ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยประมาณเดือนละ 20-25% ทั้ง ๆ ที่ช่วงก่อนหน้านี้มีการประกาศขึ้นดอกเบี้ยประเภทเงินฝากประจำสวนทางท่าทีแบงก์อื่นด้วยซ้ำไป

ปรากฏการณ์ถดถอยของอัตราการเพิ่มยอดเงินฝากธนาคารทหารไทย คงจะเป็นส่วนหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงศรัทธาที่มีต่อแบงก์

ศุภชัย กล่าวว่าไม่จำเป็นต้องมีการแก้ภาพพจน์ใด ๆ ทั้งสิ้นเพราะแบงก์ทหารไทยไม่ได้เกี่ยวข้องกับทหารโดยตรงผู้ถือหุ้นเองก็มาจากเงินกองทุนของทหารส่วนใหญ่ถือในนามสถาบัน ไม่ใช่ตัวบุคคลและแบงก์เองก็ดำเนินธุรกิจแบบเอกชน เช่นเดียวกับธนาคารพาณิชย์ทั่วไป ทหารไม่เคยมาเกี่ยวข้องหรือก้าวก่ายในการบริหารงาน สักวันประชาชนจะเข้าใจเอง

แม้ว่าผู้บริหารระดับสูงในแบงก์ยังคงยืนกรานว่า ทหารไม่ได้ก้าวก่ายการบริหารงานของมืออาชีพ แต่ในความเป็นจริง คณะกรรมการของแบงก์ก็ล้วนเป็นทหาร ประจำการ และนอกราชการเกือบทั้งหมด (ดูตารางคณะกรรมการแบงก์ประกอบ) ยกเว้นเพียง 3 คนจากจำนวนทั้งหมด 15 คนเท่านั้นที่เป็นพลเรือนคือศุภชัย พานิชภักดิ์ วีรศักดิ์ อาภารักษ กรรมการรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ อนุชาติ ชัยประภา กรรมการผู้จัดการทั่วไป

ซึ่งจะว่ากันให้ถึงที่สุดแล้วก็ยังถือว่าเป็นพลเรือนแค่ 2 คน เพราะอนุชาตินั้นเป็นนายทหารนอกราชการคือลาออกจากสังกัดกองทัพบก เหล่าการเงิน การะทรวงกลาโหมมาทำงานแบงก์เมื่อได้ยศร้อยตรีและเป็นหนึ่งในผู้มีบทบาทริเริ่มก่อตั้งแบงก์ทหารไทย

ในขณะที่กรรมการพลเรือนของแบงก์พยายามบอกกับโลกภายนอกว่า คณะกรรมการมีบทบาทเพียงแค่กำหนดนโยบายเท่านั้นแต่ในข้อบังคับของแบงก์กลับให้อำนาจคณะกรรมการมากมายไม่จำกัด

ข้อบังคับหมวด 3 ว่าด้วยกรรมการข้อที่ 29 ได้ระบุไว้ว่ากิจการทั้งหลายของบริษัทย่อมอยู่ในอำนาจของคณะกรรมการที่จะกระทำได้ ประธานกรรมการหรือกรรมการผู้จัดการใหญ่คนหนึ่งคนใดหรือกรรมการอื่นร่วมกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปมีอำนาจลงลายมือประทับตราบริษัทในเอกสารหรือหนังสือสำคัญก็ได้

จากข้อบังคับนี้จะเห็นได้ว่าคณะกรรมการมีอำนาจมากในการบริหารงานทุกอย่างของบริษัท โดยผ่านประธานกรรมการหรือกรรมการตั้งแต่สองคนขึ้นไปหรือกรรมการผู้จัดการใหญ่

แม้ในข้อบังคับได้พ่วงกรรมการผู้จัดการใหญ่เข้าไปมีอำนาจด้วยก็ตามแต่ข้อบังคับที่ 30 ได้ระบุไว้ชัดเจนว่าคณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งบุคคลใด ๆ เป็นผู้จัดการใหญ่ ตลอดจนตั้งตัวแทนของบริษัทโดยให้ผู้ใดหรือบุคคลใดมีอำนาจและหน้าที่เพียงใดสุดแต่คณะกรรมการจะเห็นควร

ข้อที่ 30 นี้แสดงให้เห็นว่ากรรมการผู้จัดการใหญ่หรือผู้บริหารคนอื่น ๆ จะทำอะไรไม่ได้เลยถ้ากรรมการธนาคารไม่เห็นด้วยเพราะผู้ที่แต่งตั้งผู้จัดการใหญ่หรือผู้บริหารคนอื่น ๆ ก็คือคณะกรรมการนั่นเอง ซ้ำยังมีสิทธิโดยชอบธรรมที่จะกำหนดขอบเขตของอำนาจหน้าที่ผู้จัดการใหญ่และผู้บริหารคนอื่น ๆ อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีสิทธิถอดถอนกรรมการผู้จัดการใหญ่ออกจากตำแหน่งกรรมการหรือตำแหน่งบริหารอื่น ๆ ได้ตามข้อบังคับที่ 21 และ 29 โดยใช้มติของที่ประชุมเป็นผลบังคับ

ตำแหน่งที่ศุภชัยดำรงอยู่ปัจจุบันก็มีที่มาหนีไม่พ้นสัจธรรมดังกล่าวและเมื่อย้อนอดีตไปปี 2531 ศุภชัยเคยให้สัมภาษณ์ว่ามาได้เพราะพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ผู้บัญชาการทหารบก สมัยนั้นเป็นผู้ชักจูงแต่วันนี้ ! เจ้าตัวได้ปฏิเสธและชี้แจงว่า ขณะที่เขาได้รับการติดต่อให้มาทำงานที่แบงก์นี้นั้นเขายังดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายตรวจสอบและกำกับธนาคารพาณิชย์ที่แบงก์ชาติ

"บิ๊กจิ๋วไม่เคยมาประชุมที่นี่ ขั้นตอนการคัดเลือกกรรมการผู้จัดการใหญ่มีอะไรบ้างผมไม่ทราบ คนที่ชวนผมเข้ามาทำงานคือพลเอกประยุทธ จารุมณีประธานกรรมการ และอดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ 2 คน มีอาจารย์ประยูร จินดาประดิษฐ์และคุณอนุตร อัศวานนท์ ผมมานี่เพราะ 3 ท่านนี้จริง ๆ ซึ่งทั้ง 3 ท่านก็ชวนผมมานานแล้วผมเองก็ขอเวลาคิดเป็นปี ๆ จนหลังเลือกตั้งปี 2531 จึงตัดสินใจมาที่นี่เหตุผลเพราะว่า ผมไม่อยากทำประโยชน์ให้เฉพาะกลุ่มตระกูลใดตระกูลหนึ่งเท่านั้นสำหรับทหารไทย ผมรู้สึกเหมือนได้ทำงานเพื่อส่วนรวม" ศุภชัย ยืนกรานกับ "ผู้จัดการ"

ยังมีข้อบังคับที่ 24 ที่ให้อำนาจกรรมการแบบเต็มที่โดยเขียนไว้ว่า ในจำนวนกรรมการแม้ตำแหน่งจะว่างไปบ้าง กรรมการที่เหลืออยู่ย่อมทำกิจการได้ความหมายในข้อนี้มีนัยว่าหากกรรมการผู้จัดการใหญ่ลาออกหรือถูกปลดออกหรือไม่อยู่ กรรมการเหล่านี้สามารถตัดสินใจได้โดยไม่ต้องรอกรรมการผู้จัดการใหญ่เลยข้อบังคับข้อนี้จึงเป็นอันตรายในกรณีที่มีการเล่น "เส้น" เพื่อขอให้สินเชื่อจากแบงก์ทหารไทย

ฉะนั้นการบริหารงานของแบงก์ทหารไทยจะมีประสิทธิภาพแบบมืออาชีพได้ก็มิใช่ขึ้นอยู่กับคนนอกที่เข้าบริหารเพียงอย่างเดียว แต่ต้องขึ้นอยู่กับคุณภาพคนที่จะมาเป็นกรรมการด้วย

กรรมการส่วนใหญ่ก็จะมาโดยตำแหน่ง อาทิ ตำแหน่งรองประธานธนาคารมักจะมาจากผู้บัญชาการทหารบก ส่วนบรรดากรรมการจะมาจากนายทหารชั้นผู้ใหญ่ทั้งสามเหล่าทัพซึ่งมียศขั้นต่ำแต่แม่ทัพภาคที่ 1 ขึ้นไป อาทิ ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ เสนาธิการทหาร แม่ทัพภาคที่ 1 เป็นต้น และจะมีกรรมการบางส่วนที่ขาดไม่ได้เลยคือทหารประจำการที่มาจากกองการเงินของแต่ละเหล่าทัพ

ส่วนวาระของกรรมการนั้นในข้อบังคับที่ 22 ระบุไว้ว่ากรรมการต้องออกจากตำแหน่งตามวาระหนี่งในสามเป็นอัตรา หรือโดยจำนวนที่ใกล้เคียงหนึ่งในสามที่สุดในคราวประชุมใหญ่ครั้งแรกของการจดทะเบียนตั้งบริษัท หรือในคราวประชุมใหญ่สามัญทุก ๆ ปีต่อไป

อย่างไรก็ตามกรรมการที่ออกนั้นจะสามารถเข้ารับตำแหน่งใหม่อีกก็ได้เพราะข้อบังคับไม่ได้ระบุจำนวนวาระเอาไว้ ทำให้กรรมการบางคน เช่น พลเอกประยุทธ จารุมณี จึงสามารถเป็นกรรมการและประธานมาได้กว่า 10 ปีแล้ว

ศุภชัย ยังกล่าวยืนยันกับ "ผู้จัดการ" เหมือนเดิมว่าแม้ข้อบังคับจะเปิดช่องให้สามารถจัดการบริหารและแต่งตั้งบุคคลได้ทุกกรณีในแบงก์ แต่โดยการปฏิบัติกรรมการก็ไม่เคยเลยที่จะเข้าแทรกแซงเรื่องราวต่าง ๆ โดยเฉพาะการแต่งตั้งระดับผู้จัดการฝ่ายลงมา ยกเว้น ตำแหน่งที่สูงไปกว่านั้นก็ถือว่าเป็นหน้าที่ของกรรมการอยู่แล้ว

อำนาจของกรรมการยังไม่หมดแค่นี้กรรมการยังสามารถเลือกและแต่งตั้งบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารและประธานกรรมการบริหารได้ โดยกรรมการบริหารชุดนี้จะทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของผู้บริหารในแบงก์และทำหน้าที่อื่นเป็นเรื่อง ๆ เท่าที่กรรมการแบงก์จะมอบหมายให้ทำ

ไม่ว่าผู้บริหารระดับสูงของแบงก์จะปฏิเสธความข้องเกี่ยวของอำนาจทหารต่อการทำงานแบงก์อย่างแข็งขันเพียงใดก็ตาม แต่ก็ยังยอมรับว่ามีพนักงานจำนวนไม่น้อยที่เป็นลูกหลานทหารหรือทหารนอกประจำการมาทำงานในแบงก์แล้วได้ดิบได้ดีพอสมควรทีเดียว

สังเกตได้จากตำแหน่งในพื้นที่สำคัญ ๆ เช่น ผู้จัดการสำนักราชดำเนิน ซึ่งมีฐานะสำคัญรองจากสำนักงานใหญ่โดยทางเปิดเผย และในทางปิดลับเป็นที่เล่าลือกันว่าสาขานี้แหละเป็นแหล่งฝากเงินงบราชการลับของกองทัพไทยนั้นผู้ที่ดำรงตำแหน่งมักจะเป็นพรรคพวกทหารทั้งนั้น อาทิ ร้อยโทหญิงรุจิราภรณ์ จุณณานนท์ ที่เพิ่งเกษียณเมื่อไม่นานมานี้แต่ก็ยังได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาคณะกรรมการธนาคารและผู้ที่มาสืบทอดการดูแลสำนักราชดำเนินก็คือ พันตรีประชา ธรรมโชต ซึ่งควบตำแหน่งผู้จัดการสาขากระทรวงกลาโหมไว้ด้วยจนเกษียณเช่นกัน

ตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายตรวจสอบเป็นอีกตำแหน่งหนึ่งที่มีผู้ดำรงตำแหน่งมียศทางทหาร ตัวอย่างเช่น พันตรีประยุทธ ชัยธรรม ซึ่งเคยเป็นผู้จัดการสาขาในพื้นที่ที่ทหารเป็นใหญ่อย่างลพบุรีมาก่อน จนเมื่อเกษียณจึงให้รองผู้จัดการขึ้นแทน หรือตัวอย่างจากคนอื่นๆ ที่มีนามสกุลยิ่งใหญ่เช่น ปริพันธ์ หนุนภักดี ผู้จัดการฝ่ายการต่างประเทศ คนหนุ่มที่คนในแบงก์คุยกันว่าไม่ใช่เพราะฝีมืออย่างเดียวจึงก้าวหน้าแต่บวกนามสกุลด้วย จึงทำอะไรก็ดูดีไปหมด ทำให้ภาพพจน์ของแบงก์แห่งนี้เต็มไปด้วยเด็กฝากซึ่ง ศุภชัยก็ยอมรับว่ามีจริง โดยให้ความเห็นเพิ่มเติมว่าแบงก์อื่นก็มีเด็กฝากเหมือนกัน

พลเอกสิทธิ จิรโรจน์ อดีตประธานกรรมการบริหาร ธนาคารทหารไทย ให้ความเห็นว่า เรื่องลูกหลานทหารเข้าทำงานในแบงก์ทหารไทยก็มีบ้าง แต่ไม่ได้มากมายอะไร ส่วนเรื่องที่มาของกรรมการนั้นนอกจากมาด้วยตำแหน่งทางการทหารแล้ว ที่สำคัญก็คือตำแหน่งทางการเงิน เช่นปลัดบัญชีเพราะเป็นคนที่ดูแลเงินของกองทัพ ซึ่งต้องนำเงินมาฝากไว้ที่แบงก์ และที่จำเป็นอีกบางตำแหน่งก็คือพวกนักวิชาการ นักกฎหมาย เพราะธุรกิจแบงก์เป็นธุรกิจที่ต้องทำอย่างรอบคอบจึงต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญ

ในส่วนของการบริหารงานสินเชื่อแหล่งข่าวเปิดเผย "ผู้จัดการ" ว่าแต่เดิมคณะกรรมการทหารไม่เคยเข้ามายุ่งเกี่ยวซึ่งทำให้การบริหารในยุคต้น ๆ ที่สุขุม นวพันธ์ เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ได้อยู่ในความดูแลของผู้บริหารพลเรือนอย่างเต็มมือ แต่เหตุการณ์เริ่มเปลี่ยนไปเมื่อพลเอกจิตติ นาวีเสถียรเข้ารับตำแหน่งประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหาร สุขุม เริ่มติดขัดในการทำงานยุคปลาย ๆ ของตำแหน่งเพราะ พลเอกจิตติไม่ยอมนั่งเป็นพระประธานคอยประทับตราอนุมัติคำสั่งของผู้จัดการใหญ่เท่านั้น

พลเอกจิตติ มานั่งทำงานที่แบงก์แทบทุกวัน พิจารณาคำขออนุมัติของสุขุมด้วยตัวเอง หากคำขอใดไม่มีรายละเอียดชัดเจน ก็ไม่ได้รับการอนุมัติ ซ้ำยังตีกลับให้นำไปทำใหม่ ยุคนี้จึงถือได้ว่าทหารเริ่มมีบทบาทบริหารงานแบงก์อย่างเป็นรูปธรรมตั้งแต่ปี 2523 เป็นต้นมา

ระหว่างปี 2525 พลเอกสิทธิ เข้ารับตำแหน่งประธานกรรมการบริหารแบงก์ทหารไทยแทนพอเอกจิตติที่เสียชีวิตลงในขณะเดียวกันตำแหน่งประธานกรรมการแบงก์ก็เป็นของพลเอกประยุทธ จารุมณีซึ่งขึ้นดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกและรองประธานกรรมการแบงก์ทหารไทยในช่วงปี 2524 เพราะอุบัติเหตุทางการเมืองว่าด้วยการปฏิวัติของ จปร. รุ่น 7 ที่เรียกกันว่า "เมษาฮาวาย"

พลเอกสิทธิเล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟังว่าขณะนั้นลงไปคลุกคลีกับงานบริหารของแบงก์มาก โดยเฉพาะเรื่องสินเชื่อรายใหญ่ทางฝ่ายสินเชื่อจะต้องเสนอขอความเห็นมายังคณะกรรมการบริหารเราก็จะพิจารณาว่าควรอนุมัติหรือไม่ ถ้ามีข้อสังเกตก็จะส่งไปให้ทางฝ่ายสินเชื่อทบทวนดูใหม่

"เป็นประธานกรรมการบริหารที่นี่รู้สึกว่างานมากและต้องคลุกกับปัญหาเยอะตั้งแต่เรื่องสินเชื่อจนถึงการเลือกทำเลเพื่อเปิดสาขาของแบงก์ไม่เหมือนอยู่ที่แบงก์ มหานครซึ่งรับตำแหน่งประธานกรรมการที่ดูแต่งานนโยบายเท่านั้น" นายพลผู้มีภาพพจน์มือสะอาดและซื่อตรงกล่าว (อ่านล้อมกรอบสิทธิ จิรโรจน์)

ดังนั้นในยุคแรกของการตะลุยเปิดสาขาแบงก์จึงเลือกสถานที่ในเขตที่มีกองทหารตั้งอยู่เป็นส่วนใหญ่ เช่นลพบุรี นครราชสีมา

ประยูร จินดาประดิษฐ์ อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ปี 2524-2530 ปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาคณะกรรมการกล่าวว่าเรื่องการให้สินเชื่อมีการแบ่งอำนาจกัน กรรมการผู้จัดการใหญ่มีอำนาจการให้สินเชื่อทางตรงคือให้เงินกู้กับลูกค้ารายละไม่เกิน 30-40 ล้านบาท

ถ้าเกินกว่านี้ ก็ต้องส่งให้คณะกรรมการบริหารพิจารณา เช่นเดียวกับสินเชื่อโครงการรายใหญ่ระดับ 100-200 ล้านบาท ก็ต้องส่งให้กรรมการบริหารพิจารณาส่วนสินเชื่อทางอ้อมที่มีภาระผูกพัน แต่มิใช่การให้เงินกู้นั้นจะมีวงเงินสูงขึ้นไปอีกหลายเท่าตัวซึ่งทางคณะกรรมการมิได้เข้มงวดสินเชื่อประเภทหลังนี้แต่ประการใด

ประสิทธิ์ ณ พัทลุง อดีตหัวหน้าส่วนธุรการเงินธนาคารแห่งประเทศไทยเผยว่า อำนาจการให้สินเชื่อของกรรมการผู้จัดการใหญ่แบงก์ทหารไทยมีน้อยกว่าธนาคารอื่นซึ่งอยู่ในลักษณะเดียวกับแบงก์กรุงไทย

ศุภชัย เผยว่าปัจจุบันได้มีการเพิ่มอำนาจการให้สินเชื่อของกรรมการผู้จัดการใหญ่ขึ้นเป็นวงเงิน 50 ล้านบาทต่อราย ประธานกรรมการมีอำนาจอนุมัติวงเงิน 100 ล้านบาทต่อราย คณะกรรมการบริหาร 200 ล้านบาทต่อราย ถ้าเกินนี้ก็เข้าพิจารณาในคณะกรรมการแบงก์

แหล่งข่าววงในแบงก์ทหารไทยกล่าวว่าเรื่องอำนาจการอนุมัติสินเชื่อไม่ใช่ปัญหาสำคัญ เพราะมีหลายครั้งทีเดียวที่คณะกรรมการของแบงก์มอบอำนาจให้ผู้บริหารพลเรือนเป็นคนจัดการ แต่ปัญหาที่สำคัญก็คือเรื่องเด็กเส้น ที่เริ่มมีเข้ามาอย่างเห็นได้ชัดสมัยพลเอกสุจินดา คราประยูรหรือพลเอกอิสระพงศ์ หนุนภักดี เข้าเป็นกรรมการ คือมีนามบัตร มีการแนะนำตัวว่ามาจากคนนี้นะ คนนั้นนะ ทางแบงก์ก็ต้องอนุมัติ แต่ก็พยายามให้อยู่ในขอบเขตไม่ให้น่าเกลียดนัก ส่วนโครงการที่เกินเลยกฎของแบงก์ก็จะมีการทำวิเคราะห์ความเป็นไปได้โครงการพร้อมด้วยคิดค่าธรรมเนียมเช่นเดียวกับโครงการของเอกชนอื่น ๆ

สินเชื่อที่ทหารขอมาส่วนใหญ่มักจะนำไปทำธุรกิจส่วนตัว ซึ่งบางครั้งก็ไม่ประสบผลสำเร็จ และไม่สามารถชำระหนี้ได้จนเกิดการฟ้องร้องกันตามมาเช่น ธุรกิจท่าทราย ทำไร่อ้อย เป็นต้น

"ทหารใหญ่ ๆ ฉลาด เวลาล้มคนถูกฟ้องมักจะเป็นลูกน้อยยศเล็ก ๆ พวกจ่า นายสิบ บางทีเราก็รู้ว่าเป็นแค่คนขับรถซึ่งเขาให้เป็นแพะรับแทน" แหล่งข่าวกล่าวตบท้าย

แต่กรรมการผู้จัดการใหญ่คนปัจจุบันกล่าวคำรับรองว่า ไม่มีแน่เรื่องทหารใช้เส้นขอสินเชื่อข้ามขั้นตอน ในยุคของเขาใครขอมาก็พิจารณาตามระเบียบของแบงก์ส่วนเรื่องการให้ความเห็นของกรรมการก็อาจจะมีบ้างตามบทบาทของตำแหน่ง

อย่างไรก็ตามบทบาทของคณะกรรมการทหารจะแตกต่างไปตามแต่ละยุคตามลักษณะของแต่ละบุคคล โดยเฉพาะยุคของพลเอกชวลิต จะวางขอบเขตของตนเอง ไว้เพียงแค่ให้ความเห็นเท่านั้น

ในแง่ของประโยชน์ที่มีทหารเข้าเป็นกรรมการแบงก์ทหารไทย ก็คือความได้เปรียบแบงก์อื่น ๆ ที่ได้รับข้อมูลข่าวสารระดับลึกทำให้มองเห็นภาพความจริงของธุรกิจบางชนิดและไหวตัวทันกับสถานการณ์

ยกตัวอย่างเช่น สมัยพลเอกชวลิตเป็นกรรมการอยู่ เคยมีนักธุรกิจมาขอสินเชื่อเพื่อทำโครงการระเบิดหินและทำหินอ่อนผู้บริหารแบงก์เองเห็นว่าดีมีอนาคตไกลควรจะอนุมัติ บิ๊กจิ๋วจึงให้ความเห็นว่าไม่ควรเพราะทหารกำลังจะปิดป่า ซึ่งจะทำให้ไม่สามารถเข้าไประเบิดหินได้ตามที่ทำโครงการเสนอมา ต่อมาปรากฏว่าเป็นจริงตามที่ท่านให้ความเห็นและโครงการดังกล่าวก็ประสบปัญหาอย่างมากและไม่เพียงตัวอย่างนี้เท่านั้นยังมีกรณีอื่น ๆ อีกที่ข้อมูลวงในถูกนำมาใช้ผสมผสานกับธุรกิจได้ดีอย่างยิ่ง

นี่คือผลดีที่ทำให้แบงก์ทหารไทยสามารถให้คำแนะนำลูกค้าในโครงการ INTERNATIONAL FINANCE และ INVESTMENT BANKING ได้ดี

อีกประเด็นหนึ่งที่แบงก์ได้ประโยชน์จากคนในเครื่องแบบสีเขียวก็คือธุรกิจที่เกี่ยวพันกับเงินฝาก และต่างประเทศเพราะแบงก์ทหารไทยอาศัยฐานเงินฝากจากหน่วยงานทหารโดยกองทัพนำงบประมาณของทหารทั้งหมด และหน่วยงานรัฐบางส่วนมาฝากไว้ที่แบงก์ แต่เมื่อแบงก์กรุงไทยถือกำเนิดขึ้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง บุญมา วงศ์สรรค์ ในยุครัฐบาลสัญญา ธรรมศักดิ์ สั่งให้หน่วยงานรัฐทั้งหมดนำเงินที่เกี่ยวข้องกับราชการและรัฐวิสาหกิจไปฝากไว้ที่แบงก์ของรัฐ เช่นกรุงไทย ออมสิน หรือธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ซึ่งมีสถานภาพเป็นแบงก์รัฐบาลมากกว่าแบงก์ทหารไทย

ยุคนั้นพลเอก กฤษณ์ สีวะรา เป็นประธานคณะกรรมการธนาคาร จึงต้องออกโรงใช้กำลังภายในช่วยคงเงินบางส่วนของกองทัพเช่นส่วนของกองบัญชาการทหารสูงสุดและ 3 เหล่าทัพ ฝากไว้กับแบงก์ทหารไทยต่อไป

แหล่งข่าววงในเล่าว่า ตอนนั้นได้รับผลกระทบมากเหมือนกันเพราะทำให้ยอดเงินฝากสิ้นปี 2516 ที่มีจำนวน 2,117.6 ล้านบาทลดลงในปี 2517 เหลือ 2,050.7 ล้านบาท

ประสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ความจริงในยุคหลัง ๆ นี้เงินฝากจากส่วนของกองทัพไม่น่าจะมีมากนัก เพราะธนาคารขยายตัวมากแล้ว คาดว่ามีไม่เกิน 10% ของเงินฝากปัจจุบัน

ส่วนศุภชัยกล่าวสนับสนุนว่า เงินฝากของทหารปัจจุบันได้กระจายไปตามแต่ละแบงก์ แล้วแต่แบงก์ไหนจะเสนอผลประโยชน์สูงสุดให้ ที่เหลืออยู่ที่พวกเงินสวัสดิการของทหารบางส่วนเท่านั้นสำหรับเรื่องงบลับ แบงก์ทหารไทยเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า กองทัพไปฝากไว้ที่ไหนเพราะงบราชการลับนี้จะฝากในนามบุคคลซึ่งจะไม่มีใครรู้ได้เลยว่าเป็นงบลับ

ประยูร เผยกับ "ผู้จัดการ" ว่าทหารเองมีส่วนช่วยให้ธุรกิจต่างประเทศของแบงก์ไปได้ดีเหมือนกันเพราะทหารมีการโอนเงินติดต่อกับต่างประเทศในกรณีการซื้อขายอาวุธ ซึ่งเดิมก็ใช้ที่แบงก์ทหารไทยประจำ แต่ปัจจุบันได้กระจายไปตามแบงก์อื่น ๆ ด้วย ทางทหารไทยเองเมื่อได้ธุรกิจนี้มาก็คิดค่าธรรมเนียมตามระเบียบการช่วยเหลือราชการ คือคิดให้น้อยที่สุดเท่าที่จะน้อยได้ รายการโอนเงินคิดเพียง 1/32% หรือเก็บเพียง 1 บาทจากจำนวน 3,200 บาทเท่านั้น

แหล่งข่าวในแบงก์เองกล่าวว่าแม้ว่าจะคิดค่าธรรมเนียมน้อยก็จริง แต่จำนวนเงินโอนผ่านในแต่ละปีมหาศาลเลยทีเดียวถ้าคิดจากตัวเลขที่เอเชียน วอลล์สตรีทเจอร์นัลเปิดเผยว่าปีล่าสุดงบทหารสั่งซื้ออาวุธประมาณ 2,700 ล้านบาทเท่ากับจะได้ค่าธรรมเนียม 843,750 บาท ซึ่งถือว่าไม่มาก หากไม่นับรวมรายการอื่น ๆ ด้วย

ความสำคัญของทหารในการขยายธุรกิจยังมีอีกหลายประการเช่น การเปิดสาขาหรือสำนักงานตัวแทนของแบงก์ในอินโดจีน มักจะได้รับการนำร่องจากผู้นำทหาร ตัวอย่างในยุคพลเอกสุจินดา เป็นรองประธานฯ ได้ช่วยบุกเบิกการเจรจากับผู้นำเขมรเพื่อขอเปิดสาขาจนได้รับอนุมัติในหลักการตามที่ต้องการ หรืออย่างในประเทศพม่า ซึ่งเป็นประเทศที่ปิดตัวเอง พลเอกสุจินดาก็นำร่องในการเจรจาจนสามารถจะเข้าไปตั้งสำนักงานตัวแทนได้เช่นกัน ซึ่งที่พม่านี้คาดว่าจะเปิดได้ประมาณปลายปี 2535 หรือที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นลาว เวียดนาม ก็เกิดจากการนำร่องของผู้นำทหารทั้งสิ้นแล้วจึงให้ผู้บริหารแบงก์สานต่อจนเป็นรูปเป็นร่าง

ฐานลูกค้ามาจากผู้นำทางทหารแนะนำยังมีอีกมาก โดยเฉพาะลูกค้าจากธุรกิจก่อสร้างที่ต้องการประมูลโครงการต่าง ๆ ของหน่วยงานที่ทหารมีส่วนรับผิดชอบ ทหารจะแนะนำให้ใช้บริการต่าง ๆ ของแบงก์ทหารไทย เช่น ค้ำประกันซอง ประมูล สินเชื่อในการสร้างงาน เป็นต้น เส้นสายเหล่านี้ตกทอดมาถึงปัจจุบันทำให้แบงก์แห่งนี้มีความชำนาญด้านสินเชื่อก่อสร้างมาก และมีลูกค้ามากจนต้องตั้งสายงานก่อสร้างขึ้น รวมทั้งกำลังจะร่วมทุนกับญี่ปุ่นเพื่อเปิดบริษัทก่อสร้างด้วย

แหล่งข่าวกล่าวว่า ลูกค้าก่อสร้างที่มีสัมพันธ์เหนียวแน่นกับแบงก์ทหารไทยนี้ มิใช่มาจากทหารอย่างเดียว แต่มาจากสุขุม นวพันธ์ด้วย เพราะเขาก็เป็นนักพัฒนาที่ดินตัวยงเหมือนกัน ผลงานที่เห็นได้ชัดคือนวธานี ซึ่งเกือบจะเรียกได้ว่าเป็นเมืองอุตสาหกรรมแห่งแรกด้วยซ้ำ

จะอย่างไรก็ตาม ก็ต้องยอมรับว่าคณะกรรมการที่เป็นทหารมีคุณูปการต่อแบงก์มากทีเดียว ซึ่งอนุชาต ชัยประภากรรมการผู้จัดการทั่วไปของแบงก์นี้ ได้กล่าวสนับสนุนความเห็นข้างต้นว่าแม้ประวัติศาสตร์ของแบงก์จะมาจากทหาร แต่ปัจจุบันแบงก์ได้เติบโตและเป็นส่วนหนึ่งของการเกื้อหนุนสังคมเช่นกัน

และที่ยืนยันเป็นเสียงเดียวกันจากมืออาชีพเกี่ยวกับข้อดีของแบงก์นี้ก็คือการให้โอกาสทำงานในตำแหน่งเบอร์ 1 ซึ่งแบงก์อื่นไม่มี

ประวัติศาสตร์ของแบงก์ทหารไทยเป็นเรื่องเล่ากันไม่จบบ้างก็ว่ากำเนิดแบงก์แห่งนี้มาจากความคิดง่าย ๆ เพียงแค่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้บัญชาการทหารบกสมัยนั้นรู้สึกเมื่อยมือที่จะต้องเซ็นชื่อเพื่อสั่งซื้อน้ำมันกับสหรัฐบ่อย ๆ จน "เบื่อ" จึงเริ่มปรึกษากับเพื่อนสนิทอดีตผู้อำนวยการกองสลากเงินแบ่งรัฐบาล โชติ คุณะเกษม ว่ามีวิธีอื่นไหมที่จะทำให้ขั้นตอนดังกล่าวสะดวกขึ้น โชติได้ถามกลับว่าถ้าอย่างงั้นทำไมไม่ตั้งแบงก์แล้วให้แบงก์เป็นผู้จัดการแทน

ส่วนอนุชาต เคยเล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟังดังนี้ "ตามที่ท่านจอมพลสฤษดิ์ บอกให้ฟังก็คือ ท่านอยากให้มีสถาบันการเงินที่เป็นแบบ MILITARY FINANCE FACILITY คือท่านไปเห็นในฐานทัพของสหรัฐเขามีการให้บริการเบิกถอนแลกเปลี่ยนเงินท่านก็อยากให้มีแบบนี้ ซึ่งมันก็คือแบงก์อันหนึ่ง ตอนนั้นฐานทัพสหรัฐที่อู่ตะเภามี CHASE MANHATTAN BANK ก็เข้าไปบริการ ต่อมาฐานทัพที่โคราชก็ใช้บริการของ BANK OF AMERICA พวกพนักงานแบงก์ที่เข้าไปทำงานในฐานทัพ ก็ถือว่าเป็นทหารแต่ทำงานด้านพลเรือนเป็นลูกจ้างของกองทัพ"

นายพลคนดังคนนี้ได้ยึดอำนาจการปกครองจากจอมพล ป. พิบูลสงครามก่อนหน้าจะเปิดแบงก์ประมาณ 3 เดือน แรกเริ่มเขาตั้งใจจะเปิดธนาคารเพื่อทหารบกเท่านั้น แต่ต้องเปลี่ยนแปลงตามความต้องการของเพื่อน 3 เหล่าทัพ ตามที่เขาได้เขียนไว้ในหนังสือส่งไปถึงนายทหารชั้นผู้ใหญ่ และแบงก์ทหารไทยได้นำมาตีพิมพ์ในหนังสือครบรอบ 30 ปี ธนาคารทหารไทย ปี 2530 ว่า

"…เพื่อนนายทหารเรือ และทหารอากาศมาปรารภว่า การจัดตั้งธนาคารแต่ละแห่งขึ้นนั้นเป็นการกระทำด้วยความยากลำบาก…เมื่อได้โอกาสจัดตั้งธนาคารขึ้นแล้วเช่นนี้ควรจะเป็นธนาคารทหารทั้งสามกองทัพ กิจการอันเกี่ยวกับการเงินของกองทัพก็ย่อมจะเป็นไปเช่นเดียวกับกองทัพเรือและอากาศ หากได้รวมกิจการเงินทั้งสาม กองทัพให้ผ่านธนาคารเดียวกันแล้วกิจการของทหารทั้งสามกองทัพอันเกี่ยวกับการเงินก็จะเป็นปึกแผ่นมั่นคงยิ่งขึ้น… จึงขอให้พิจารณาจัดตั้งธนาคารอันเป็นส่วนรวมของทหารบกทหารเรือและทหารอากาศด้วย…."

ด้วยกำเนิดจากทหาร จึงต้องเดือดร้อนเพราะทหาร !

เมื่อจอมพลสฤษดิ์ หมดอำนาจถึงแก่อสัญกรรม เมื่อปี 2506 ทางการได้ทำการยึดทรัพย์ ซึ่งรวมไปถึงเงินฝากที่แบงก์ทหารไทยด้วยประมาณ 100 ล้านบาทส่งผลสะเทือนถึงยอดเงินฝากอย่างแรก จนบางคนยังคาดเดาว่าทหารไทยจะไปไม่รอดเพราะขณะนั้นแบงก์มียอดเงินฝากแค่ 400 ล้านบาท

หลังจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลาคม 2519 ปีมหาวิปโยค ที่ทหารการเมืองผลักดันให้ประชาชนต้องหนีเข้าป่าด้วยการปราบปรามผู้ที่มีความคิดต่างจากผู้นำทหารอย่างรุนแรงทำให้เกิดวิกฤตศรัทธาต่อแบงก์ทหารไทย มีการผลัดเปลี่ยนอำนาจใหม่ทางทหารและผู้นำใหม่ในแบงก์อันนำไปสู่การก้าวเข้าสนามธนาคารพาณิชย์เต็มตัวโดยฝีมือ วิสิษฐ์ ตันสัจจา รองกรรมการผู้จัดการที่สุขุมดังตัวมาจากบริษัทเอสโซ่ให้มาทำงานแทนระหว่างที่ตนเองหลบฉากจากสายตาหลายคู่ที่มองว่าเขาเป็นคนสนิทชิดเชื้อทหาร

ตั้งแต่ปี 2524 เป็นต้นมามีการทำรัฐประหารหลายครั้ง เศรษฐกิจและการเงินของประเทศไทยอยู่ในภาวะตกต่ำ มีการลดค่าเงินบาทถึง 2 ครั้ง สถาบันการเงินบางแห่งล้มปิดกิจการไป เกิดวิกฤติการณ์จ้างงาน คนไม่มีงานทำจำนวนมาก และปัญหาขาดดุลการค้ารุมเร้า แบงก์ทหารไทยได้ฉวยจังหวะนั้นตัดสินใจเพิ่มทุนเป็นครั้งแรกในปี 2525 เพื่อขยายกิจการและพยุงฐานะความมั่นคงของแบงก์ จากทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาทเป็น 100 ล้านบาทโดยคงราคาพาร์ 100 บาทต่อหุ้นและสัดส่วนผู้ถือหุ้นยังเหมือนเดิมคือกองทัพถือ 100%

ครั้งที่ 2 ปี 2526 แบงก์ยังคงต้องการเงินทุน เพื่อต่อสายป่านให้ยาวสู้กับภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำต่อไปจึงตัดสินใจเข้าเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 500 ล้านบาท ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของแบงก์ที่มีการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนผู้ถือหุ้นนับจากพ.ศ.2500 ที่แบงก์นี้ถือกำเนิดขึ้นมา

นับจากปี 2526 ถึงกุมภาพันธ์ 2535 แบงก์ทหารไทยมีการเพิ่มทุนอีก 8 ครั้งแต่ละครั้งจะขายให้ผู้ถือหุ้นเดิมทั้งหมด ยกเว้นปี 2532 ที่มีการขายให้กับประชาชนในราคาหุ้นละ 230 บาทประมาณ 3 ล้านหุ้นหรือ 50% ของหุ้นเพิ่มทุน แต่ก็ยังคงรักษาสัดส่วนผู้ถือหุ้นใหญ่ของกองทัพไว้เหมือนเดิม แม้ว่าปัจจุบันจะเพิ่มทุนจดทะเบียนมามากครั้งและมีทุนถึง 3,443.17 ล้านบาทก็ตาม

ที่สำคัญ ! การเพิ่มทุนแต่ละครั้งแบงก์ทหารไทยจะไม่นำหุ้นขายให้คนนอกแม้ว่าหุ้นเพิ่มทุนจะขายไม่หมดก็ตามซ้ำในส่วนหุ้นของกองทัพก็ไม่มีการนำมากระจาย (ดูตารางสัดส่วนผู้ถือหุ้นฯ)

ระหว่างที่มีข่าวด้านลบกระทบแบงก์ทหารไทย ศุภชัย ในฐานะผู้บริหารพลเรือนมีอาชีพ ให้สัมภาษณ์ว่าอาจจะมีการเพิ่มทุนเพื่อลดสัดส่วนการถือหุ้นของกองทัพเมื่อ "ผู้จัดการ" สอบถามอีกครั้งหนึ่งศุภชัยเองก็ไม่แน่ใจว่าจะเพิ่มหรือไม่ เนื่องจากแบงก์เพิ่งจะเพิ่มทุนไปเมื่อ 3 เดือนก่อนเกิดพฤษภาทมิฬ

"อาจจะเพิ่มทุนก็ได้ แต่ต้องเป็นปลายปี ซึ่งก็ยังไม่แน่ว่าสัดส่วนของกองทัพจะลดลงหรือไม่เพราะขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ถือหุ้นเดิมด้วยว่าจะซื้อหรือไม่เพียงไร" กรรมการผู้จัดการใหญ่ นามศุภชัยกล่าว

ความจริงแล้วการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนผู้ถือหุ้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าผู้ถือหุ้นเดิมจะซื้อหุ้นจำนวนเท่าไร เพราะแม้กองทัพจะไม่ซื้อในส่วนของตนเอง คณะกรรมการแบงก์ซึ่งมาจากกองทัพก็ไม่นำออกมาขายให้คนอื่นอยู่ดี

ตัวอย่างการขายหุ้นเพิ่มทุนไม่หมดมีให้เห็นหลายครั้ง เช่น พฤศจิกายน 2533 ได้เสนอเรื่องเพิ่มทุนต่อตลาดหลักทรัพย์จาก 2,400 ล้านบาทเป็น 3,000 ล้านบาท แต่ขายไม่หมดเพิ่มได้เพียง 2,765 ล้านบาท

เดือนเมษายน 2534 เสนอเรื่องเพิ่มทุนเป็น 3,225 ล้านบาทขายหุ้นและเพิ่มทุนได้เพียง 3,151.2 ล้านบาท เดือนกุมภาพันธ์ 2535 เสนอเพิ่มทุนเป็น 3,466.3 ล้านบาท ขายหุ้นและเพิ่มทุนได้เพียง 3,443.17 ล้านบาท

แหล่งข่าวในแบงก์เปิดเผยถึงสาเหตุที่กองทัพไม่ยอมให้มีการนำหุ้นที่เหลือมากระจายขายต่อให้ผู้อื่นว่ามีเหตุผลเดียวคือ…

ไม่ต้องการลดสัดส่วนตนเองที่ถืออยู่ 36.7% !

กรรมการมักจะให้เพิ่มทุนในระยะเวลากระชั้นชิน ทำให้ไม่สามารถทำการกระจายหุ้นสู่ประชาชนได้ เพราะการกระจายแต่ละครั้งต้องใช้เวลาถึง 3-4 เดือนทีเดียว

อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าแบงก์จะไม่มีทางลดสัดส่วนผู้ถือหุ้นเดิม ทางออกก็พอมีอยู่บ้าง เพราะถ้าใช้ BIS แบงก์ต้องเพิ่มทุนแน่นอน แม้ว่าขณะนี้เงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงของแบงก์จะพอเพียงก็ตาม แต่ถ้าจะให้มีอัตราการเติบโตด้านสินทรัพย์ปีละ 20-25% การเพิ่มทุนเป็นสิ่งจำเป็น

และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มทุนในจำนวนมากประมาณ 700-800 ล้านบาท เพื่อที่จะไม่ต้องเพิ่มทุนบ่อยครั้ง เนื่องจากการเพิ่มทุนแต่ละครั้งราคาหุ้นจะลดลงประมาณ 10-15% ซ้ำยังมีผลทำให้กำไรต่อหุ้นลดลง และส่งผลให้เงินปันผลต่อหุ้นลดลงบ่อยครั้ง จะเป็นเหตุให้ผู้ถือหุ้นไม่พอใจ

"ที่ว่ามีทางออกเพราะว่าแบงก์ทหารไทยไม่เคยขายหุ้นเพิ่มทุน ในราคาพาร์ส่วนใหญ่ขายในราคาตลาดให้ผู้ถือหุ้นเดิม และถ้าเพิ่มในจำนวนมากกองทัพคงไม่มีเงินมากพอจะซื้อได้" แหล่งข่าวให้ความเห็นและกล่าวเสริมอีกว่า ถึงที่สุดแล้วแบงก์คงไม่มาคำนึงเรื่องการลดสัดส่วนผู้ถือหุ้นแต่คำนึงถึงเรื่องการระดมทุนมากกว่าว่าจำนวนที่ระดมได้นี้มากพอเพียงกับความต้องการหรือไม่ ฉะนั้นจึงต้องคิดก่อนว่าจะนำหุ้นเพิ่มทุนครั้งใหม่มากระจาย ให้ประชาชนแล้วจะคุ้มเท่ากับขายให้กองทัพ หรือเปล่าและที่สุดของที่สุดคือมติกรรมการจะเห็นด้วยหรือไม่ที่จะเสียสัดส่วนถือหุ้นเดิมไป

ทางออกของกรรมการที่จะไม่ให้น่าเกลียดเกินไปก็อาจจะแบ่งหุ้นใหม่เป็นสองส่วนคือส่วนที่นำมากระจายกับส่วนที่ไม่นำมากระจาย เช่นที่เคยทำมาก่อน โดยกำหนดให้กองทัพมีสิทธิซื้อหุ้นใหม่ให้คงสัดส่วนเท่าเดิม

เพราะนโยบายของกรรมการ โดยเฉพาะพลเอกประยุทธ นั้นยึดมั่นในสถาบันกองทัพดังที่เคยเขียนไว้ในรายงานประจำปีเสมอว่าความสำเร็จในทางธุรกิจของธนาคารทหารไทยตลอดระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมา โดยยังคงบทบาทในฐานะของสถาบันการเงิน เพื่อสร้างสรรค์สวัสดิการให้แก่กองทัพไทย เคียงคู่สถาบันการเงินที่ดีเพื่อสนับสนุนความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมให้สอดคล้องกับแนวนโยบายและเจตนารมณ์ของรัฐบาลและทางราชการได้โดยครบถ้วน

นัยสำคัญในข้อความดังกล่าวข้างต้นได้ถูกแสดงออกมาในยุคของประธานคนนี้ด้วยการให้สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำพิเศษแก่ทหารอยู่หลายครั้ง อาทิ สินเชื่อเพื่อซื้อรถเก๋งของนายทหารชั้นผู้ใหญ่ โดยไม่ลืมชั้นผู้น้อยติดห้อยท้ายโครงการในการให้กู้สร้างบ้าน มีวงเงินถึง 3,000 ล้านบาททีเดียว

จะอย่างไรก็ตาม คนในวงการแบงก์ด้วยกันก็บอกว่า ถ้าอยากเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ก็ไล่ซื้อหุ้นในตลาดได้ เพราะผู้ถือหุ้นทหารเขาพอใจเฉพาะสัดส่วนที่มีอยู่ในปัจจุบัน

ความยุ่งยากอีกประการหนึ่งของการเพิ่มทุนคือ ความไม่พอใจของผู้ถือหุ้นเมื่อเงินปันผลลดลง แหล่งข่าวในแบงก์เล่าให้ฟังว่าทหารเป็นนักลงทุน ไม่ใช่นักเก็งกำไรจึงต้องการเงินปันผลในอัตราที่สูง

เมื่อไม่ได้อย่างใจคิด บรรดานายพลเก่าแก่ก็จะโวยวาย ซึ่งเสียงนั้นก็ดังยิ่งนักทำให้แบงก์ทหารไทยในอดีตต้องปันผลมากถึง 80% ของกำไร แต่ปัจจุบันแบงก์ต้องการเงินกองทุนมารองรับมากขึ้นอัตราปันผลจึงลดลงเหลือ 60%

อดีตเงินปันผลที่กองทัพไทยและคนในเครื่องแบบสีเขียวได้รับจากแบงก์ทหารไทยถือเป็นจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียวไล่จากปี 2527 มาถึงปัจจุบันรวมกันคาดว่าไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท เพราะในแต่ละปีกองทัพได้รับผลประโยชน์นี้ประมาณ 100 ล้านบาท ดูจากปี 2534 กองทัพได้รับเงินปันผล 221.98 ล้านบาท ปี 2533 ได้รับ 183.304 ล้านบาท ในปี 2532 ได้รับ 88.884 ล้านบาท (ดูตารางเงินปันผล)

นับว่าจอมพลผ้าขาวม้าแดงอย่างสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นผู้มองการไกลอย่างยิ่งที่คิดตั้งแบงก์เพราะนอกจากได้เงินปันผลจำนวนไม่น้อยแล้ว แบงก์ทหารไทยยังช่วยงานสาธารณกุศลของกองทัพอย่างนับไม่ถ้วน เช่น จัดดนตรีคาราบาวนำรายได้สมทบทุนการศึกษาบุตรทหารผ่านศึกเป็นต้น

นอกจากนี้แบงก์ยังเป็นธุรกิจที่เกี่ยวพันกับการระดมเงินและเป็นแหล่งเงินทุนของธุรกิจอื่น ๆ ซึ่งจะว่าไปแล้วธุรกิจประเภทนี้ในไทยก็ทรงอิทธิพลเหลือหลายทีเดียว

ฉะนั้นจึงไม่แปลกใจเลย ถ้าคณะกรรมการจากกองทัพจะไม่ยอมลดสัดส่วนการเป็นผู้ถือหุ้นลง

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us