"พระตะบองและศรีโสภณ 2 จังหวัดทางภาคตะวันตกของกัมพูชา กลับคืนสู่บรรยากาศของสันติภาพ
หลังสงครามกลางเมืองได้ยุติลงการเข้ามาของทหารกองกำลังรักษาสันติภาพ ความสัมพันธ์ของชีวิตและโครงสร้างต่างๆ
กำลังแปรเปลี่ยนไป"
ชีวิตได้กลับคืนสู่ภาคตะวันตกของกัมพูชา พร้อมด้วยความหวังแห่งสันติภาพอย่างช้า
ๆ เหมือนแดดยามเช้าที่ค่อยๆ เพิ่มอุณหภูมิให้กับที่ราบลุ่มแม่น้ำสะตรึงสังคี
สายน้ำที่ไหลผ่านเมืองพระตะบองไปอย่างเงียบเชียบประชาชนที่เริ่มสัญจรออกจากบ้านมุ่งสู่ตลาดเช้าได้เพิ่มจำนวนขึ้น
บ่งบอกว่าความรีบเร่งสับสนสัญลักษณ์ของชีวิตได้หวนคืนสู่ถนนรนแคมในเมืองที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศ
หรือเมืองหลวงแห่งภาคตะวันตกอีกครั้งหนึ่งหลังจากหลายปีของภัยล้างผลาญแห่งสงคราม
ประชาชนที่นั่งซดข้าวต้ม หรือจิบกาแฟในตลาดเก่ากลางเมืองพากันพิศวงกับการปรากฏตัวของแถวทหารออสเตรเลียที่วิ่งออกกำลังกายในตอนเช้า
และเด็กเสริฟอาหารที่ภัตตาคารกลางแจ้งริมฝั่งสะตรึงสังคีก็ได้ยินสำเนียงแปร่ง
ๆ ของตำรวจชายแดนเยอรมันที่นั่งดื่มเบียร์เป็นกลุ่ม ๆ ใต้ฟ้าที่มีดาวระยิบระยับ
ทหารเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังรักษาสันติภาพนานาชาติกว่า 2 หมื่นนายที่ถูกส่งเข้ามาประจำการทั่วกัมพูชาเมื่อต้นเดือนพฤษภาคม
6 เดือนหลังจากข้อตกลงสันติภาพเพื่อยุติสงครามได้รับการลงนามจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องที่กรุงปารีสเมื่อเดือนตุลาคม
2534
สำหรับชาวพระตะบองการมาถึงของทหารต่างชาติเหล่าน ี้เป็นสัมผัสของความมั่นคงในความรู้สึกถึงกลิ่นอายของสันติภาพ
และการสิ้นสุดของยุคแห่งความป่าเถื่อนและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่เริ่มขึ้นพร้อม
ๆ กับเดือนแรกในการปกครองของเขมรแดงเมื่อปลายปี 2518 ผ่าน 13 ปีของสงครามกลางเมืองผลพวงที่ตามมาจากการปรากฏตัวของทหารเวียดนามในกัมพูชาในปลายปี
2521
การถอนทหารเวียดนามออกจากกัมพูชาในเดือนตุลาคม 2532 เกือบจะทำให้พระตะบองตกกลับไปอยู่ภายใต้การปกครองของเขมรแดง
หากกองทหารรัฐบาลไม่สามารถต้านยันการโจมตีของกองโจรเขมรแดงที่เข้มแข็ง ที่รุกประชิดเข้ามาจากทิศตะวันตกเอาไว้ได้เป็นผลสำเร็จ
ทว่า ทุกคนในพระตะบองก็ยังคงฝันร้ายกับประสบการณ์ครั้งล่าสุดของสงครามเมื่อต้นปี
2533 ได้ดี เมื่อเขมรแดงที่คืบใกล้เข้ามาห่างจากตัวเมืองทางตะวันตกเพียงแค่
10-15 กิโลเมตร ปูพรมชุมชนตลาดใหม่ที่ชานเมืองด้านทิศใต้ด้วยจรวดและปืนใหญ่หลายร้อยนัด
นายทหารสหประชาชาติผู้หนึ่งบอกกับเราว่าตัวตลาดที่มีขนาดกว้างราว 4 เท่าของสนามฟุตบอลแหลกไม่มีชิ้นดี
มีผู้เสียชีวิตไม่น้อยกว่า 200 คน
"นั่นเป็นครั้งล่าสุดที่พระตะบองสัมผัสกับสงครามและเราหวังว่าจะเป็นครั้งสุดท้าย"
ชอน สารัธ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายการท่องเที่ยวและข่าวสาร สำนักผู้ว่าราชการพระตะบองกล่าว
ในความเป็นจริงใช่ว่าที่ราบลุ่มพระตะบองไม่เคยตกอยู่ภายใต้สงครามมาก่อน
ในประวัติศาสตร์เหมือนเมืองอื่น ๆ ในเอเชียอาคเนย์ ดินแดนที่แบ่งแยกเป็นรัฐเล็ก
ๆ รัฐน้อยที่นี่ล้วนเคยตกเป็นเป้าหมายของการยึดครองและผ่านการรบพุ่งมาแล้วอย่างโชกโชน
อย่างน้อยสำหรับพระตะบองเองมันก็ได้ปรากฏอยู่ในตำนานเมืองตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง
ฮกลี ซินลี เจ้าหน้าที่เขมรวัย 31 ปี ที่ทำงานที่ศูนย์รับกลับชาวอพยพกัมพูชาของสหประชาชาติที่ศรีโสภณ
เมืองเอกของจังหวัดชายแดนบันเตียเมียนเจย เหนือพระตะบองขึ้นไปราว 70 กิโลเมตร
บอกว่ากษัตริย์เขมรพระองค์หนึ่งทรงใช้กระบองขว้างใส่ข้าศึกในการรบพุ่งกับผู้รุกรานในที่ราบริมน้ำสะตรึงสังคีแห่งนี้
จนข้าศึกแตกพ่ายไป แต่กระบองมีฤทธิ์ของพระองค์ก็กระเด็นตกลงไปในแม่น้ำ งมหาไม่พบ
เมืองที่ได้รับการสถาปนาขึ้นที่นี่ในเวลาต่อมาจึงได้ชื่อว่า "ปัตตะบอง"
หรือ "กระบองสูญ" อันเป็นการรำลึกถึงที่มาของความสงบสุขในที่ราบแห่งนี้
ฮกลี ซินลี ที่พูดภาษาอังกฤษคล่องปรือในสำเนียงแปร่ง ๆ บอกว่าเขาได้อ่านตำนานเมืองพระตะบองระหว่างอาศัยอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยในไทยระหว่างปี
2525-2534 อย่างไรก็ดีเขาไม่ได้บอกว่ากองทหารสหประชาชาติจะมีอิทธิฤทธิ์มากพอ
ที่จะสถาปนาสันติภาพเหนือประเทศนี้ขึ้นมาอีกครั้งเหมือนกระบองที่สูยหายไปหรือไม่
แต่กระนั้น เช่นเดียวกับชาวเมืองพระตะบอง ชาวเขมรในฝั่งตะวันตกของประเทศกำลังฝากความหวังไว้กับกองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ
หรืออันแทค(UNTAC) ในการกอบกู้พวกเขาออกจากภาวะของเชลยแห่งสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กันเอง
สำหรับกัมพูชา ไม่มีที่ไหนในประเทศที่ได้รับผลกรรมจากสงครามรุนแรงและยาวนานที่สุดเท่าภาคตะวันตก
ตลอดระยะ 13 ปีของสงครามในกัมพูชา ภาคตะวันตกได้กลายเป็นสมรภูมิของการรบยืดเยื้อที่ดุเดือดรุนแรงที่สุดในเอเชียอาคเนย์ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
ในจำนวนทหารเวียดนามกว่า 300,000 คนที่ปฏิบัติการในประเทศนี้ และทหารรัฐบาลพนมเปญกว่า
150,000 คนราว 2 ใน 3 ถูกส่งเข้ามาประจำการในเขตตะวันตกและตะวันตกเฉียงเหนือที่ติดกับชายแดนไทย
การต่อต้านจากกลุ่มกองโจรในสังกัดรัฐบาลผสม 3 ฝ่ายที่มีกำลังรวมกันราว 50,000
คน ได้ทำให้ภาคตะวันตกต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงเข้าใกล้ขั้นหายนะ ทั้งด้านโครงสร้างประชากร
พื้นฐานทางเศรษฐกิจและด้านจิตใจ
สงครามได้ก่อให้เกิดการเคลื่อนย้ายของประชากรรุนแรงที่สุด มีผู้คนถูกกวาดต้อนและหนีภัยสงครามจากบริเวณนี้เข้ามาอยู่ค่ายอพยพในไทยกว่า
350,000 คน อีกจำนวน 1 ล้านคนต้องอาศัยกันอยู่ในเขตสู้รบแย่งชิงพื้นที่ที่ขนานไปกับชายแดน
ไทย-กัมพูชา จากอุบลฯ จรดตราด ประชากรส่วนใหญ่ที่อยู่ในเขตรัฐบาลพนมเปญในแถบนี้
ซึ่งประมาณว่ามีอยู่ราว 2 ล้านคนเศษ ก็ต้องละทิ้งไร่นาของตนมาออกันอยู่ในตัวเมืองและถนนหลวง
แหล่งเดียวที่ตนจะได้รับการคุ้มครองจากทหารรัฐบาลได้ดีที่สุด
สงครามได้ทำลายโครงสร้างพื้นฐานทั้งหมดในภาคตะวันตกนี้ หรือไม่ก็ทำให้มันทรุดโทรมลงจนเกือบใช้การไม่ได้
เส้นทางหมายเลข 5 ซึ่งคู่ขนานไปกับทางรถไฟสายเดียวของกัมพูชา ซึ่งเชื่อมระหว่างอำเภอปอยเปต
ซึ่งตั้งประชิดกับอำเภออรัญประเทศ ผ่านศรีโสภณ พระตะบอง โพธิสัตว์ กัมปงชะนัง
กรุงพนมเปญ และเลยไปจนถึงท่าเรือน้ำลึกกัมปงโสมในอ่าวไทยถูกทำลายจนเกือบจะใช้การไม่ได้
ก่อนการบูรณะซ่อมแซม เฉพาะเส้นทางยาว 49 กิโลเมตรระหว่างปอยเปต-ศรีโสภณ ต้องใช้เวลาเดินทางโดยรถยนต์ถึง
4 ชั่วโมง
ตัวเมืองที่ถูกเอ่ยถึงถูกทอดทิ้งในสภาพปรักหักพัง ขาดแคลนซึ่งสาธารณูปโภคพื้นฐาน
ไม่ว่าจะเป็นไฟฟ้า หรือน้ำประปา
มิพักจะกล่าวถึงรอยยิ้มที่หายไปนานจากใบหน้าของคนในท้องถิ่น ตามตลาดน้อยใหญ่สองฝากถนนเต็มไปด้วยคนพิการจากสงคราม
และที่จริงภาวะอนาธิปไตยกลายเป็นวิถีชีวิตในเขตแดนต่อแดนของอิทธิพลที่สองฝ่ายตั้งเผชิญหน้ากันอยู่
โดยสรุป นอกจากตัวเมืองที่บริหารโดยคณะกรรมการพลเรือนพ้นรัศมี 5 กิโลเมตรออกไปแล้วปราศจากหลักประกันใด
ๆ ต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้คนโดยสิ้นเชิง และนี่เป็นจริงทั้งในเมืองหลวงของภาคตะวันตกเช่นพระตะบองพอ
ๆ กับเมืองชายแดนเช่น ตลาดปอยเปต
แม้สัญญาสันติภาพได้ลงนามกันไปแล้ว สถานะของมันยังคงสั่นไหวอยู่เสมอ กองกำลังเขมรแดงซึ่งหวาดละแวงต่อเงื่อนไขสันติภาพ
ยังคงแทรกซึมจากฐานที่มั่นใหญ่ติดชายแดนไทย 3 แห่งเข้าไปสู่ส่วนในของประเทศจากอันอันลองเวียงฐานที่มั่น
ใหญ่ตรงข้ามเขตแดนต่อแดนสุรินทร์ ศรีสะเกษในเขตกัมพูชาซึ่งอยู่ใต้การนำของ
"ตาม๊อก" อดีตรัฐมนตรีกลาโหมเขมรแดงที่ดุร้ายที่สุด ทหารระดับกองพลได้แทรก
ซึมลงมากดดันโจมตีรัฐบาลลึกถึงกัมปงทมการรบที่สมรภูมินี้ฝ่ายกองโจรยังได้รับกำลัง
หนุนจากฐานที่มั่นพนมจะไกร ซึ่งตั้งอยู่หลังค่ายผู้อพยพกัมพูชา "ไซท์
8" ในเขตอำเภอคลองหาดในปราจีนบุรีซึ่งแทรกซึมไปตามเส้นทางผ่านตอนใต้ของศรีโสภณไปทางตะวันออก
และจากฐานที่มั่นที่อำเภอไพลินในพระตะบองกองโจรเขมรแดงยังคงแทรกซึมเข้าไปกดดันรัฐบาลลึกถึงโพธิสัตว์
กำปงชะนัง และกำปงสะปือบนถนนหมายเลข 5
"การแทรกซึมของกองโจรในเขตที่ราบพระตะบอง เสียมเรียบ และกำปงทมทำกันได้อย่างเปิดเผยด้วยกำลังหมวดสงครามขนาดใหญ่พร้อมที่จะระเบิดขึ้นอีกได้ทุกเมื่อ"
นายทหารไทยผู้หนึ่งอ้างถึงขีดความสามารถของฝ่ายเขมรแดง ที่ได้รับการสนับสนุนจากรถถังขนาดหนักจากจีนราว
30 คัน ในจำนวนนี้ครึ่งกับครึ่งแบ่งกันไปประจำอยู่ที่อันลองเวียงกับไพลิน
"เรายอมจ่ายทุกอย่าง เพื่อซื้อสันตภาพ" เพญ สารี เลขานุการของผู้ว่าราชการบันเตียเมียนเจย
บอกกับผู้เขียนในระหว่างการสนทนา วันหนึ่ง หนึ่งวันหลังจากทหารราบบังคลาเทศกว่า
850 นายเคลื่อนย้ายกำลังเข้าไปตั้งมั่นในศรีโสภณ เพื่อเริ่มการปลดอาวุธทหารรัฐบาลพนมเปญในจังหวัดนั้น
"เราได้รับคำสั่งจากพนมเปญให้ร่วมมือกับกองกำลังสหประชาชาติโดยปราศจากเงื่อนไข"
เลขาฯ หนุ่มที่ใช้ภาษาฝรั่งเศสได้คล่องเหมือนภาษาแม่ของตนปรารภ เมื่อเราสนทนาถึงท่าทีขอองฝ่ายเขมรแดงที่ปฏิเสธการสั่งปลดอาวุธของกองทหารสหประชาชาติตามข้อตกลงปารีส
เช่นเดียวกับศรีโสภณที่อื่น ๆ ในฝั่งตะวันตกของกัมพูชาล้วนกำลังเปิดตัวออกต้อนรับกระแสสูงของสันติภาพและการฟื้นฟูบูรณะประเทศด้วยความหวัง
ทหารจากมาเลเซียอีก 850 นายได้ตั้งกองบัญชาการคร่อม "กองบัญชาการยุทธิภูมิที่
5" ของฝ่ายพนมเปญในพระตะบองเอาไว้ในภาระกิจเดียวกันนี้
ที่ชายแดนอรัญประเทศ กองร้อยคอหนังเนเธอร์แลนด์พร้อมกำลังพล 250 นายกำลังพยายามบุกเบิกจากพื้นที่ในเขตไทยเข้าไปปลดอาวุธทหารเขมรแดงที่พนมมาลัย
กองร้อยคอหนังนี้เป็นส่วนหนึ่งของกองทัพนาวิกโยธินจากอดีตเจ้าอาณานิคมที่ต้องเข้าไปควบคุมเขตยึดครองของเขมรแดงทั้งหมด
ที่เป็นแนวยาวขนานพรมแดนไทยใต้ลงไปจนจรดเขตจังหวัดตราดซึ่งรวมถึงขุมกำลังใหญ่ที่สุดของเขมรแดง
ที่อำเภอไพลินทางตะวันตกเฉียงใต้ของพระตะบองด้วย
เหนือบันเตียเมียนเจยขึ้นไปเยื้องตะวันออก กองพันปากีสถานได้เคลื่อนพลเข้าไปยึดครองเขตแดนต่อแดนระหว่างอุดรมีชัยกับจังหวัดพระวิหาร
ซึ่งอยู่ติดพรมแดนไทยในเขตอีสานใต้ของไทยเอาไว้แล้ว ขณะที่ต่ำลงมาอีกเล็กน้อยกองพันอินโดนีเซียก็เข้าประจำการในเขตจังหวัดเสียมเรียบ
รวมแล้วจะมีกองทหารทั้งสิ้น 18 กองพันหรือไม่น้อยกว่า 15,000 คน (กองพันละ
850 นาย) ตำรวจและเจ้าหน้าที่ด้านการบริหารอีกราว 5,000-7,000 คนเข้าไปประจำการทั่วกัมพูชาเพื่อยุติสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ตนเองภายในกัมพูชา
ทหารเขมรทั้งหมดกว่า 200,000 คนจะถูกปลดอาวุธ ร้อยละ 70 ในนั้นจะถูกปลดประจำการ
และที่เหลือรอรายงานตัวต่อรัฐบาลใหม่หลังจากเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้นในปี
2537
ในกรอบข้อตกลงที่ปารีส สหประชาชาติยังต้องทำหน้าที่จัดส่งผู้อพยพกว่า 370,000
คนกลับถิ่นฐาน ดำเนินการบริหารประเทศในระหว่างปฏิบัติแผน และอำนวยการเลือกตั้งทั่วประเทศ
นับเป็นการวางกำลังทางทหารที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบนแผนสันติภาพที่มุ่งผลสูงที่สุดในประวัติการณ์ขององค์การสหประชาชาติ
ประชาชนกัมพูชากำลังฝากความหวังไว้ที่พวกเขา แต่กระนั้นการปฏิบัติจากแผนการทางทหารเพื่อสันติภาพนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
โดยเฉพาะหากมีการขัดขืน
เราพบขบวนรถหน่วยล่วงหน้าของกองร้อยนาวิกโยธินชาวดัทช์บนเส้นทางจากอรัญประเทศไปศรีโสภณในช่วงสายของวันหนึ่งเมื่อต้นเดือนมิถุนายน
พวกเขากำลังเจรจากับทหารรัฐบาลพนมเปญที่บ้านนิมิตร 26 กิโลเมตรทางตะวันตกของสีโสภณ
ที่ตั้งค่ายชั่วคราวที่จะได้รับคำประกันจากทหารรัฐบาลว่าปลอดกับระเบิด ที่คาดว่าจะถูกฝังไว้หลายหมื่นลูกตลอดเส้นทางสายนี้เป็นสิ่งที่ต้องการสำหรับคนเหล่านี้
อันที่จริงทหารหน่วยนี้พักค้างคืนในโรงแรมเดียวกับเราในตัวเมืองอรัญเมื่อคืนก่อนเกือบ
1 สัปดาห์แล้วที่พวกเขาถูกเขมรแดงขัดขวางไม่ยอมให้ข้ามเขตไทยเข้าไปตั้งฐานปฏิบัติการ
เพื่อดำเนินการปลดอาวุธที่พนมมาลัย ติดเขตไทยห่างจากอรัญลงไปทางใต้เพียง
20 กิโลเมตร
ความล่าช้าของหน่วยล่วงหน้าทำให้ทหารส่วนหนึ่งค้างเติ่งที่พัทยา และการลำเลียงทหารที่เหลือจากเนเธอร์แลนด์มีอันต้องเลื่อนไปอีกอย่างไม่มีกำหนด
"พันตรีโฮเวิร์ด" หัวหน้าหน่วยล่วงหน้าดัทช์ บอกว่าเขาต้องขอความร่วมมือจากทหารรัฐบาลพนมเปญ
เพื่อจะเข้าไปประจำการในเขตเขมรแดงให้ได้ กล่าวกันว่ากองพันนาวิกโยธินหน่วยนี้เป็นหน่วยรบที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดและพร้อมที่สุดของกองกำลังรักษาสันติภาพในกัมพูชา
ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกที่พวกเขาได้รับมอบหมายภาระกิจที่ยากลำบากที่สุดในการเข้ายึดอำเภอไพลินซึ่งคาดว่าเป็นศูนย์บัญชาการทหารและที่เก็บตัวของ"พลพต"
ผู้บัญชาการสูงสุดตัวจริงของเขมรแดง
"พวกเขา (คอหนังจากเนเธอร์แลนด์) เตรียมพร้อมมาเพื่อการปะทะ"
นายทหารฝ่ายเสนาธิการไทยผู้หนึ่งบอกกับเราที่กรุงเทพฯ เขาอ้างถึงจำนวนที่ไม่เปิดเผย
แต่มากพอของเฮลิคอปเตอร์กันชิปที่คอหนังหน่วยนี้ขนใส่เรือมาจากเมืองแม่ ในการเผชิญหน้ากับกองโจรที่ได้ชื่อว่ารบเก่งที่สุด
มีวินัย มีประสบการณ์ที่สุด และเฉียบขาดที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในยุคนี้
ท่ามกลางการแข็งขืนของฝ่ายเขมรแดงต่อบทบาทของทหารสหประชาชาติ การสู้รบละลอกใหม่ระหว่างทหารรัฐบาลกับเขมรแดงระลอกใหม่ก็ระเบิดขึ้นอีกในสัปดาห์ที่
3 ของเดือนมิถุนายน 50 กิโลเมตรเหนือกัมปงทมขึ้นไปตามทางหลวงหมายเลข 12 ที่ตัดตรงขึ้นไปอันลองเวียงในจังหวัดพระวิหาร
การสู้รบระลอกใหม่ช่วยซ้ำเติมให้สถานภาพของสันติภาพคลอนแคลนมากยิ่งขึ้น
การแข็งขืนต่อสัญญาสันติภาพของเขมรแดงไม่ได้เป็นอุปสรรคเดียวสำหรับทหารอันแทค
การหาที่ตั้งค่ายพัก วัสดุอุปกรณ์สำหรับสร้างที่พักซึ่งหายาก น้ำดื่ม มาลาเรีย
ความไม่เคยชินกับสภาพภูมิอากาศ และความแตกต่างด้านการสื่อภาษาเป็นอุปสรรคที่มีการระบุให้อยู่ในระดับแรก
ๆ ในบัญชีความยากลำบากที่เผชิญหน้าทหารนานาชาติกลุ่มนี้
ที่ศรีโสภณ ทหารราบบังคลาเทศทั้งกองพันพบว่าพวกเขาไม่อาจหาน้ำดื่มที่สะอาดได้ในตลาดใหญ่หรือที่ไหน
ๆ ในตัวเมืองมา 2 วันแล้วนับตั้งแต่มาถึงในสัปดาห์แรกของเดือนมิถุนายน สาเหตุก็คือเครื่องทำน้ำประปาประจำกองพันเกิดใช้การไม่ได้
ดูเหมือนว่ากองร้อยทหารช่างไทยในสังกัดสหประชาชาติที่ตั้งอยู่ติดกันไม่สามารถแบ่งน้ำดื่มให้ได้
เครื่องทำประปาหน่วยนี้สามารถผลิตน้ำดื่มได้ประมาณ 8 คันรถต่อวัน ซึ่งใช้ภายในกองร้อยและสนองให้กับหน่วยภารกิจอื่นของสหประชาชาติในบันเตียเมียนเจยทั้งจังหวัด
"มันทารุณมากที่ไม่มีน้ำดื่ม" ร้อยเอกยักกี้ แห่งกองพันบังคลาเทศบอก
เบื้องหลังของเขาคือทหารตัวดำมะเมื่อมนับร้อยที่นั่งหลบแดดยามเที่ยงอย่างง่วงเหงา
ข้างตู้คอนเทนเนอร์ราว 20 ตู้ที่ขนสะเบียงอาวุธและอุปกรณ์ยังชีพผ่านอู่ตะเภาเข้ามา
น้ำอัดลมกระป๋องเป็นน้ำดื่มสะอาดเพียงแหล่งเดียวในศรีโสภณ" นอกจากทำให้ท้องอืดแล้วมันยังทำให้เรากระหายน้ำมากขึ้นไปอีก"
เขาเสริม
ภายใต้สภาพที่ขัดสนเช่นนี้ ดูเหมือนว่ากองพันทหารช่างของไทย ซึ่งได้เดินทางเข้าไปซ่อมสร้างเส้นทางในเขตตะวันตกของกัมพูชาล่วงหน้ามานานกว่า
3 เดือน ได้กลายเป็นที่พึ่งของหน่วยทหารใหม่ ๆ ที่หลั่งไหลเข้าไปในตะวันตกของกัมพูชาไม่ว่าจะเป็นเรื่องวัตถุปัจจัยสารพันที่ขาดแคลนหรือกระทั่งการติดต่อสื่อสารกับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นชาวเขมร
ความช่วยเหลือหรือคำแนะนำของเพื่อนร่วมภาระกิจจากไทยล้วนเป็นสิ่งมีค่า
"เราพยายามช่วยพวกเขาเท่าที่จะทำได้ "พันโท วีระศักดิ์ รักษาทรัพย์
ผบ. ช. พัน 1 ซึ่งรับผิดชอบกู้ถอนกับระเบิดและซ่อมสร้างถนนสายปอยเปต-ศรีโสภณ
เอ่ยถึงคำร้องขอของหน่วยทหารเนเธอร์แลนด์ที่มาเยี่ยมชมการก่อสร้างค่ายพักที่สอดคล้องกับสภาพอากาศ
และขอคำแนะนำด้านการก่อสร้างและการจัดหาวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ
"เราเหมือนแม่บ้านในภาคตะวันตกใครปวดท้องร้องไห้ก็วิ่งมาหาเราทั้งนั้น"
พันตรี สมบูรณ์ ปัญญาวงศ์ นายทหารการข่าว กองพันทหารช่างที่ 2 สหประชาชาติที่พระตะบองบอก
กระนั้นก็ดี คุณูปะการของทหารไทยที่ได้มอบให้กัมพูชานั้น กลับเป็นสิ่งที่จับต้องได้ที่มีคุณค่า
และส่งผลสะเทือนกว้างไกลมากกว่าบทบาทที่ว่านี้อย่างมหาศาล นั่นคือการพลิกฟื้นโครงการทางสรีระ
โดยเฉพาะถนนหนทางที่นั่น
ในจำนวนทหารช่าง 2 กองพันที่รัฐบาลไทยจัดส่งเข้าไปในกัมพูชานั้น ประกอบด้วยกองพันช่างที่
1 ซึ่งรับภาระหน้าที่ในการซ่อมสร้างเส้นทางปอยเปตศรีโสภณ มูลค่า 140 ล้านบาทซึ่งเป็นของขวัญแห่งสันติภาพที่รัฐบาลไทยมอบให้เปล่า
ส่วนกองพันทหารช่างที่ 2 ภายใต้การบังคับบัญชาโดยตรงของอันแทคภารกิจคือซ่อมสร้างถนนหมายเลข
5 และหมายเลข 6 ตลอดทั้งสองสาย
พันโท ชัยวัฒน์ ฐิตสาโร รอง ผบ. ช. พัน 2 บอกว่าถนนทั้งสองสายเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์
ที่มีความสำคัญต่อชีวิตทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของกัมพูชาที่สุด
"ไม่เพียงทหารอันแทคจะได้ใช้เส้นทางนี้ในการเคลื่อนย้ายใช้เป็นเส้นทางส่งกำลังบำรุงตลอดภาระกิจรักษาสันติภาพเท่านั้น
มันยังเป็นเส้นทางหลักสำหรับการอพยพเขมรพลัดถิ่นกลับเข้ามาตั้งรกราก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจการค้าของกัมพูชาให้ฟื้นตัวจากภาวะสงครามได้อย่างรวดเร็ว"
รอง ผบ. ช. พัน 2 บรรยายสรุปที่ ที่ตั้ง บก. ในพระตะบอง
ที่ปราจีนบุรี วิชา สีหไกร พาณิชย์จังหวัดเปิดเผยตัวเลขการค้าข้ามแดนไทย-กัมพูชาที่ตลาดด่านคลองลึก-ปอยเปตทวีปริมาณขึ้นอย่างรวดเร็ว
ถึงวันละไม่น้อยกว่า 7 ล้านบาท ทั้งนี้ยังไม่นับการค้าเถื่อน อันได้แก่ไม้และพลอยซึ่งมีมูลค่าสูงกว่าตัวเลขข้างต้นอีกหลายสิบเท่าตัว
การค้าที่ด่านคลองลึกได้กระตุ้นให้เกิดกลุ่มการค้าและการขนส่งสินค้า ผุดขึ้นปานดอกเห็ดตามหมู่บ้านตลอดสองฝากทางระหว่างปอยเปต
ไปจนจรดพระตะบองด้านหนึ่ง พวกเขาจะขนสินค้าประเภทบุหรี่และสุราต่างประเทศ
รวมทั้งเครื่องมือเครื่องกลขนาดเล็กที่ทำในรัสเซียจากทางรถไฟที่ทอดยาวจากศรีโสภณไปถึงท่าเรือ
กำปงโสม มาที่ปอยเปต เครื่องจักรสาน ของป่าและปลาถูกลำเลียงมาตามทางรถยนต์รอบ
ๆ ทะเลสาบใหญ่ตนแลซับก็ถูกลำเลียงมาที่ตลาดแห่งนี้ อีกด้านหนึ่งในขากลับสินค้าเครื่องอุปโภค
บริโภค รวมทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้าจากไทยก็จะถูกลำเลียงกลับลึกเข้าไปทุกหนทุกแห่งในกัมพูชา
"ราคาและปริมาณสินค้าจากชายแดนไทยที่วางบนแผงในตลาด ช่วยให้พวกเราที่นี่รู้ถึงสถานการณ์ชายแดนได้โดยไม่ต้องออกจากเมืองไปไหน"
ลงดี เกษตรกรอำเภอ ผู้จบสัตวแพทย์จากมหาวิทยาลัยพระตะบองวัย 28 ปี บอกกับเราขณะจิบกาแฟอินสแตนท์จากไทยในยามเช้าที่พลุกพล่านในตลาดเก่าของพระตะบอง
เกษตรกรหนุ่มที่พูดภาษาไทยได้คล่องแคล่ว บอกว่าราคาสินค้าจากไทยในตลาดพระตะบองขณะนั้นแพงขึ้นอย่างผิดสังเกต
เหตุการณ์นั้นประจวบกันอย่างมีเลศนัยกับราคาบุหรี่ และสุราต่างประเทศที่ตลาดปอยเปตที่ถีบตัวสูงขึ้นจากซองละ
14 บาทเป็น 18 บาทในชั่วข้ามสัปดาห์
ชอน โสภอน รองผู้ว่าราชการจังหวัดฝ่ายการเมืองของบันเตียเมียนเจยบอกว่านั่นเป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของด่านภาษีเถื่อนบนเส้นทางศรีโสภณ-ปอยเปต
เท่าที่เราสังเกตุด้วยตา ระหว่างขับรถบนถนนสายนั้นบนเส้นทาง 49 กิโลเมตรมีทหารรัฐบาลเคียนผ้าขาวม้าสะพายปืนอาการ์
(AK-47) กลุ่มละ 7-8 คนตั้งด่านเถื่อนเรียกเงินจากพ่อค้าแม่ค้าและผู้สัญจร
ตามทางอื่น ๆ ตามอำเภอใจ กันไม่น้อยกว่า 20 จุดพวกเขาหลายคนอยู่ในสภาพมึนเมา
อย่างไรก็ดี หลังจากนั้นเพียง 2 วันหน่วยทหารหลักได้ส่งกำลังออกเคลียร์เส้นทาง
นายทหารไทยที่ปอยเปตบอกว่ามีพวกแหกคอกตั้งด่านเถื่อนไม่น้อยกว่า 10 คนถูกยิงทิ้ง
หลายสิบคนถูกจับ นั่นทำให้เราหวนคิดถึงคำพูดที่ว่า "เรายอมจ่ายทุกอย่างเพื่อสันติภาพ"
สำหรับผู้บริโภค ราคาสินค้าลดลงทันตาเห็น แต่สำหรับประชาชนที่นั่นมันก็คือบทเรียนทางธุรกิจของการค้าเสรีที่ดีที่สุด
ใต้มงคลบุรี เขตปลูกข้าวใหญ่ที่สุดของบันเตียเมียนเจย 10 กิโลเตร ยำ เติก
ผู้อพยพภัยสงครามจากไซต์ 2 วัย 62 ปี กำลังวาดความหวังใหม่ในบั้นปลายชีวิตที่นี่ในเขตตั้งรกรากใหม่ชานเมือง
เขาและครอบครัวซึ่งบัดนี้ได้บ้านหลังใหม่แล้วกำลังจะได้รับการจัดสรรที่ทำกิน
อีก 5 ไร่
ครอบครัวของยำ เติก เป็น 1 ใน 40 ครอบครัวของชุมชนใหม่แห่งนี้ ซึ่งอยู่ภายใต้การจัดการและอนุเคราะห์ของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยสหประชาชาติ
(UNHCR) ที่จะอพยพผู้พลัดถิ่นจากภัยสงครามกลับประเทศ จนกระทั่งถึงต้นเดือนมิถุนายนมีผู้อพยพถูกส่งกลับประเทศไปแล้ว
18,700 คน จาก 4,199 ครอบครัวซึ่งกว่าร้อยละ 90 กระจายกันไปอยู่ตามหมู่บ้านต่าง
ๆ ในเขตภาคตะวันตกและที่เหลืออพยพไปพนมเปญ
ตามเงื่อนไขที่กำหนดเอาไว้ผู้อพยพกลับจะได้รับที่ดินปลูกบ้านและอุปกรณ์ที่ดินครอบครัวละ
5 ไร่และเครื่องมือเกษตรหรือเงิน 50 เหรียญสหรัฐ และการเลี้ยงดูตลอดระยะเวลา
18 เดือนก่อนที่คาดว่าจะสามารถลงมือเพราะปลูกในฤดูฝนแรกที่เป็นไปได้
"ผมเลือกเอาที่ดิน เพราะลูก ๆ จะได้มีหลักประกันในอนาคต" ยำ
เติกบอกพลางชี้ไปยังทุ่งเวิ้งที่กว้างราว 500 ไร่รายล้อมไว้ในทิวดงตาล ติดแม่น้ำมงคลบุรีที่อุดมสมบูรณ์ที่เห็นอยู่เบื้องหลังที่
แปลงนั้นเดิมทีเจ้าของจับจองอยู่แล้วแต่รัฐบาลท้องถิ่นมีแผนที่จะโยกย้ายคนเหล่านั้นไปสู่ที่ดินแปลงใหม่
เบย อู กิม ประธานคณะกรรมการเมืองมงคลบุรีบอกว่า ประชาชนที่จะถูกโยกย้ายออกไปมีปัญหาอยู่บ้าง
"แต่ที่นี่เป็นของรัฐและแหล่งทำกินใหม่ก็อยู่ไกลออกไปจากที่เดิมเพียงไม่กี่กิโลเมตรเท่านั้น"
และนั่นดูเหมือนว่าจะเป็นการยืนยันอีกตัวอย่างหนึ่งตามนโยบาย "จ่ายทุกอย่างเพื่อสันติภาพ"
ของรัฐบาลพนมเปญ
"พวกเขาให้ความร่วมมือดีมาก" นิฮาล เดอ ซอซ่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายจัดหาชาวศรีลังกาประจำศูนย์รับผู้อพยพพนมกองวา
13 กิโลเมตรเหนือศรีโสภณ สรรเสริญความมีน้ำใจของรัฐบาลท้องถิ่น "มัน
เป็นโชคของเราและผู้ตั้งรกรากที่นี่อย่างที่สุดแต่ที่อื่น ๆ ผมเองไม่ทราบ"
ที่ศูนย์แห่งนี้มีสถิติจัดส่งผู้อพยพออกไปสู่เขตที่ทำกินได้มากที่สุดเมื่อเทียบกับศูนย์อื่น
ๆ คือยอดรับเข้าจนถึงสัปดาห์แรกของเดือนมิถุนายน 4,350 คนและส่งออกไปยังหมู่บ้านต่าง
ๆ ได้ 3,420 คน
ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดปรากฏที่พระตะบอง ศูนย์รับกลับ 2 แห่งที่นี่คือที่โอตากีและตวลมะกั๊ก
รับผู้อพยพกลับไปแล้ว 8,200 คน ราวครึ่งหนึ่งยังติดอยู่ในศูนย์รัฐบาลท้องถิ่นไม่สามารถจัดหาที่ทำกินให้ได้เนื่องจากที่ดินส่วนใหญ่ตกอยู่ในดงทุ่นระเบิดและที่เหลือก็มีผู้เข้าไปทำกินหมดแล้ว
เป็นความจริงที่ว่าหลังปี 2528 ซึ่งเป็นปีที่ทหารเวียดนามและทหารรัฐบาลได้เปิดศึกใหญ่
ผลักดันกองทหารฝ่ายต่อต้านแตกกระเจิงออกจากฐานที่มั่นเล็ก ๆ ที่เรียงรายอยู่ตามแนวชายแดนและลึกเข้าไปในภาคตะวันตก
หนีเข้ามาอยู่ในเขตไทยได้สำเร็จ ยุทธการล้อมปราบครั้งนั้นทำให้เกิดความมั่นคงขึ้นโดยรอบในที่ราบพระตะบองประชากรตามริมฝั่งสะตรึงสังคี
ซึ่งเป็นเขตปลูกข้าวที่ใหญ่ที่สุดและดีที่สุดในกัมพูชาได้ขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
จากจำนวนราว 1 แสนคนเศษบัดนี้มันขยายตัวออกเป็น 480,000 คนแล้ว "การรับผู้ตั้งรกรากใหม่เข้ามาเป็นปัญหาหนักอกของเราจริง
ๆ" เต เฮียน ผู้ช่วยผู้ว่าราชการจังหวัดพระตะบอง ฝ่ายการเมืองชี้ให้เห็นปัญหาของการเปลี่ยนแปลงด้านโครงสร้างประชากรที่กำลังจะเกิดขึ้นกับจังหวัดนี้
ตามสถิติที่จัดทำโดยศูนย์ประสานการส่งชาวกัมพูชากลับมาตุภูมิ (ศปสก.) ของกองบัญชาการทหารสูงสุดที่รวบรวมไว้จากจำนวนผู้อพยพทั้งสิ้น
370,000 คน มีที่ต้องการกลับไปตั้งรกรากในจังหวัดพระตะบองทั้งสิ้น 187,000
คน "นั่นจะทำให้ประชากรของจังหวัดขยายตัวขึ้นถึงร้อยละ 40 ในชั่วข้ามคืน"
ผู้ช่วยผู้ว่าฯ วัย 48 ซึ่งเป็น ผู้สืบเชื้อสายของตระกูล "อภัยวงศ์"
บอกจังหวัดกำลังเจรจากับสำนักงานข้าหลวงใหญ่ฯ เพื่อให้อีกฝ่ายได้รับทราบความยากลำบากของตน
ปัญหาที่พระตะบองเป็นส่วนหนึ่งที่กำลังจะทำให้แผนการจัดส่งผู้อพยพกลับของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ฯ
ต้องประสบความล่าช้า แต่โครงสร้างประชากร ของกัมพูชาภาคตะวันตกก็ได้ถูกกระแสแห่งการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่กวาดซัดไปแล้วอย่างไม่อาจจะถอยกลับ
ที่บันเตียชมาร์และทะมอพวกตรงข้ามกับอำเภอตาพระยา ปราจีนบุรีกองกำลังทหารเขมรเสรีภายใต้การนำของอดีตนายกรัฐมนตรีซอนซานน์
ได้เปิดเขตที่มั่นขึ้นใหม่ ประชาชนหลายหมื่นคนและทหารที่กำลังจะถูกปลดประจำการราว
1 หมื่นคนกำลังตั้งรกรากถิ่นฐานใหม่ เพื่อรองรับผู้อพยพอีกจำนวนหนึ่งในค่ายผู้อพยพไซต์
2ให้เข้าไปร่วมชมรมด้วย พวกเขาจะได้รับที่ดินครอบครัวละ 25 ไร่หรือ 5 เท่าของที่สำนักงานข้าหลวงใหญ่จะให้
เหนือขึ้นไปทางตะวันออกเฉียงเหนือประชาชนผู้นิยมเจ้านโรดม สีหนุ ในค่ายผู้อพยพไซต์บีส่วนหนึ่ง
ก็กำลังเตรียมตัวเข้าไปสมทบกับทหาร และครอบครัวทหารที่จะปลดประจำการในพื้นที่รอบ
ๆ เมืองสำโรง เมืองเอกของจังหวัดอุดรมีชัย และอัมปึลที่ติดกับชายแดนไทยในเขตจังหวัดสุรินทร์
ใต้ลงมาที่พนมจะไกร ตรงข้ามค่ายผู้อพยพ ไซต์ 8 ของเขมรแดง ในเขตอำเภอคลองหาด
ปราจีนบุรี ประชากรในไซต์หลายหมื่นคนถูกบังคับให้เคลื่อนย้ายออกมาตั้งถิ่นฐานใหม่ในบริเวณนั้น
ตั้งแต่ปลายปี 2534 เพื่อทำงานเป็นกรรมกรตัดไม้และชักลากในป่าเบญจพรรณผืนนั้นและที่ไพลินซึ่งอยู่ตรงข้ามอำเภอโป่งน้ำร้อน
จันทบุรี ประชากรอีกหลายหมื่นคนหวนกลับจากเขตป่าเขาและค่ายอพยพไซต์เคในเขตอำเภอบ่อไร่
ตราด เข้ามาพำนักในตัวเมือง หลังจากเขมรแดงยึดเมืองนั้นได้ เมื่อทหารเวียดนามถอนกลับประเทศปลายปี
2532 บัดนี้ไพลินกลายเป็นที่พักของกรรมกรเหมืองพลอยไปแล้ว
"เรามีประชากรทั้งสิ้นประมาณ 7 หมื่นคน" ลอง โนริน ผู้อำนวยการสำนักข่าวสารของรัฐบาลเขมรแดงที่ไพลินบอกระหว่างการเยือนช่วงสั้น
ๆ ของเราในช่วงกลางเดือนมีนาคม "จำนวนนี้อาจจะเพิ่มขึ้นอีก" เขาเสริม
และเหนือสุดของกัมพูชาประชากรในค่ายอพยพโอเตรา ทางตะวันตกของปราสาทเขาพระวิหาร
ก็กำลังจะถูกเขมรแดงบังคับให้อพยพมาตั้งรกรากที่อันลองเวียงและหัวเมืองสำคัญ
ๆ ที่อยู่ใกล้เคียงกัน
การอพยพโยกย้ายประชากรขนานใหญ่ที่กำลังเกิดขึ้นในภาคตะวันตกของกัมพูชาขณะนี้
เป็นเพียงส่วนหนึ่งในแผนการแย่งชิงประชาชนที่ฝ่ายต่าง ๆ ในกัมพูชากำลังปลุกปล้ำกันอยู่
ภายใต้จมูกของชาวโลกที่กำลังวิตกกังวลต่อแนวโน้มของการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่นั่น
และช่างเป็นเรื่องที่น่าประหลาดไม่น้อยที่ไทยมีอิทธิพลต่อการโยกย้ายถิ่นฐานครั้งใหม่นี้โดยตรง
มีบริษัททำไม้ 2 แห่งที่ได้รับสัมปทานป่าไม้ในเขตบันเตียชมาร์ ทะมอพวก
และยางแดงกุ่ม ซึ่งเป็นเขตยึดครองของเขมรเสรี และอีก 2 แห่งได้รับสัมปทานป่าจากเขมรแดงในเขตพนมจะไกร
และไพลินนอกจากนี้บริษัทเหมืองพลอยไทยอีกเจ้าหนึ่งก็เข้าไปร่วมลงทุนกับเขมรแดงในการเปิดบ่อพลอยให้นักลงทุนไทยเช่าช่วงทำอีกราว
4 เจ้าในเขตเขาเพชรและรอบ ๆ อำเภอไพลิน
ไม่มีรายงานอย่างเป็นทางการแต่ก็เห็นกันเป็นที่โจ่งแจ้งว่าชุมชนอพยพใหม่
ๆ ในการอำนวยการของฝ่ายต่อต้านรัฐบาลนั้นส่วนใหญ่ล้วนอิงอยู่บนกิจกรรมป่าไม้และเหมืองพลอยเป็นหลัก
รถบลูโดเซอร์และรถเกรดจำนวนมากหลั่งไหลเข้าไปสร้างเส้นทางประดุจร่างแหในเขตสัมปทาน
ซึ่งก็ได้กลายเป็นเส้นทางในการโยกย้ายถิ่นฐานและติดต่อกันระหว่างชุมชนเหล่านี้
บรรดาองค์กรนำของเขมรจะได้รายได้ซึ่งกำลังจะกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกตั้งทั่วไปที่กำลังจะมาถึง
และได้ดำเนินแผนการตั้งชุมชนใหม่ ๆ ภายใต้อิทธิพลทางการเมืองของตนขึ้นในเขตยึดครองในขณะที่ประชากรที่อพยพเข้าไปในเขตนั้นก็จะได้ค่าจ้างเพื่อการยังชีพเป็นการตอบแทน
และสำหรับไทยเอง นี่เป็นก้าวสำคัญทางยุทธศาสตร์ ดินแดนที่ต้องสูญเสียให้ฝรั่งเศสไปได้หวลกลับเข้ามาอยู่ในวง-ไพบูลย์อีกครั้งหนึ่ง
ในภารกิจใหม่ตามยุคสมัยที่เรียกกันว่า "การเชื่อมโยงเศรษฐกิจกัมพูชาเข้ากับตลาดโลก"
หรือว่า การขยายอาณานิคมได้เริ่มฟื้นตัวขึ้นมาอีกแล้ว !
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามรอยยิ้ม ปรากฏขึ้นทั่วไปในไพลิน ประชาชนนับหมื่นปรากฏตัวขึ้นที่ลานโล่ง
ๆ กว้างราว 200 ไร่กลางใจเมืองที่กระสุนปืนใหญ่และจรวดได้ช่วยรื้อถอนตึกรามบ้านช่องออกไป
ในงานพิธีต้อนรับเจ้านโรดมสีหนุที่มาเยือนไพลินเมื่อกลางเดือนมีนาคม
พวกเขาอยู่ในชุดแต่งกายและจักรยานใหม่เอี่ยม จับกลุ่มซุบซิบขณะดูดหัวน้ำหวานผสมน้ำแข็งที่ขนผ่านด่านบ้านผักกาดจากจันทบุรีเข้าไปยังไพลิน
โดยรถบริษัทเหมืองพลอยบนถนนที่ตัดโดยบริษัททำไม้ไทย
"คนที่นี่รวยกว่าและมีความเป็นอยู่ดีกว่าทั้งหมดในกัมพูชา" นายทหารติดตามพลตรี
นาเวศ ณ หนองคาย ทูตไทยประจำตัวเจ้าสีหนุซึ่งได้ติดตามประมุขกัมพูชาผู้นี้ไปเยือนราษฎรในเขรยึดครองของฝ่ายต่อต้านและฝ่ายรัฐบาลพนมเปญในช่วงนั้นบอก
ผู้คนในเขตอิทธิพลรัฐบาลพนมเปญเองก็ยิ้มแย้มแจ่มใสไม่แพ้กัน เมื่อสินค้าอุปโภคบริโภคจากไทยวางขายอยู่เต็มตลาด
และเงินดอลลาร์จากกระเป๋าของทหารและเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพของสหประชาชาติมีไว้ให้เก็บเกี่ยวเอาอยู่ทั่วหัวระแหง
สาวเขมรหน้าตาคมคายเริ่มแต่งตัวฉูดฉาดมานั่งดื่มเบียร์และเต้นรำที่ภัตตาคารกลางแจ้งริมสะตรึงสาคีกันหนาตาขึ้น
และทหารไทยก็เป็นผู้ที่น่าโปรดปรานมากที่สุดในบรรดาคนที่พกเงินดอลลาร์เข้าไป
"ฉันรักคนไทยมากที่สุดเลย" ดาริ ยา นูแม่ค้าสาวสวยวัย 18 ปีที่ตลาดใหม่ของพระตะบองบอก