Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ กรกฎาคม 2535








 
นิตยสารผู้จัดการ กรกฎาคม 2535
"การทำธุรกิจคลื่นในห้วงอวกาศ"             
 

   
related stories

"ใครเป็นใครในธุรกิจสื่อสารข้อมูล"
"ใครเป็นใครในทีวีดาวเทียม"

   
search resources

Telecommunications
Knowledge and Theory




การแข่งขันทางการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้นทำให้ภาคธุรกิจต้องสร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่งโดยเพิ่มความต้องการสื่อสารข้อมูลต่าง ๆ ที่มีความรวดเร็วแม่นยำและถูกต้อง แต่หน่วยงานรัฐบาลซึ่งผูกขาดการให้บริการสื่อสารอยู่ ไม่สามารถให้บริการได้เพียงพอทันความต้องการ อีกทั้งไม่สามารถตอบสนองรูปแบบบริการให้มีความหลากหลายตามความทันสมัยของเทคโนโลยีได้ และราคาค่าบริการที่ไม่ได้ถูกกำหนดจากราคาตลาดทำให้เป็นข้อจำกัดที่การสื่อสารไม่สามารถกระจายไปสู่กลุ่มคนต่าง ๆ ได้ทั่วถึงทำให้เกิดปัญหาต่อเนื่องในด้านเป็นอุปสรรคต่อความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ อันเนื่องมาจากปัญหาการขาดแคลนปัจจัยพื้นฐานที่เป็นช่องทางการติดต่อสื่อสาร อย่างไรก็ตามได้มีการผ่อนคลายการผูกขาดการให้บริการด้านการสื่อสารของรัฐโดยให้เอกชนเข้ามาร่วมโครงการซึ่งมีความสามารถทางด้านเงินทุนตลาด และทางด้านเทคนิคทำให้สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มในธุรกิจโทรคมนาคมได้กว้างขึ้นทั้งนี้ระบบสื่อสารผ่านดาวเทียมเป็นระบบที่มีศักยภาพสูง ที่จะตองสนองต่อเครือข่ายธุรกิจได้กว้างขวางและครบวงจรธุรกิจได้มากที่สุด

การสื่อสารผ่านดาวเทียม ขอบเขตและรูปแบบ

การสื่อสารผ่านดาวเทียม คือระบบการส่งคลื่นไมโครเวฟไปสู่ดาวเทียมที่เป็นสถานีทวนสัญญาณลอยอยู่เหนือพื้นโลก ซึ่งจะสร้างขอบข่ายการสื่อสารได้กว้างขวางโดยไม่มีอุปสรรคทางภาคพื้นดิน เพียงแต่มีสถานีคมนาคมพื้นดินก็สามารถติดต่อสื่อสารได้ในพื้นที่ต่าง ๆ ในจำนวนที่มากเท่าที่ต้องการ โดยในจุดต่าง ๆ นั้นจะเป็นสถานีรับส่งสัญญาณระหว่างพื้นโลกกับดาวเทียมและมีจานสายอากาศที่สถานีฯ เป็นอุปกรณ์ในการแพร่กระจายสัญญาณหรือรับสัญญาณระหว่างดาวเทียมกับสถานีฯ ภาคพื้นดิน

ระบบสื่อสารผ่านดาวเทียมแยกเป็น 2 ส่วนคือ

1. ตัวดาวเทียม

2. สถานีคมนาคมภาคพื้นดิน

1. ตัวดาวเทียม

มีส่วนประกอบสำคัญ 4 ส่วนคือ

1.1 แหล่งจ่ายพลังงาน (POWER SUPPLY)

1.2 อุปกรณ์ส่งสัญญาณควบคุม (TELEMETRY TRACKING AND COMMAND) เป็นตัวควบ

คุมตำแหน่งดาวเทียม และควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ดาวเทียม โดยมีสถานีภาคพื้นทินคอยติดตามและบังคับดวบคุมดาวเทียมให้ปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ ตามวัตถุประสงค์และอยู่ในการควบคุม

1.3 อุปกรณ์ทรานส์พอนเดอร์ (TRANSPONDER) คืออุปกรณ์ที่ทำการส่งสัญญาณที่ได้รับจากสถานีต้นทางไปยังสถานีรับสัญญาณปลายทาง เป็นการทวนสัญญาณโดยขยายสัญญาณที่ได้รับและทำการเปลี่ยนความถี่ของสัญญาณให้สูงขึ้น

1.4จานรับส่งสัญญาณ จะทำหน้าที่กระจายสัญญาณ และรวมสัญญาณในเวลาเดียวกัน และการส่งสัญญาณนั้นสามารถครอบคลุมพื้นที่เป็นบริเวณกว้าง หรือบริเวณแคบ แล้วแต่วัตถุประสงค์ของการใช้งาน

2.สถานีคมนาคมภาคพื้นดิน

เมื่อสถานีฯ ภาคพื้นดินได้รับคลื่นสัญญาณไฟฟ้าจากอุปกรณ์สื่อสารชนิดต่างๆเช่น โทรทัศนโทรศัพท์ โทรสาร เทเล็กซ์ คอมพิวเตอร์ฯ ฯลฯ จะทำการแปลงให้เป็นคลื่นสัญญาณไมโครเวฟ ผ่านจานสายอากาศเพื่อส่งไปยังดาวเทียมซึ่งตัวดาวเทียมจะมีอุปกรณ์ขยายกำลังของคลื่นสัญญาณให้สูงขึ้นก่อนที่จะส่งต่อไปยังจานสายอากาศ ณ สถานีภาคพื้นดินปลายทาง เมื่อสถานีปลายทางได้รับคลื่นสัญญาณแล้วจะขยายกำลังให้สูงขึ้นและตัดสัญญาณรบกวนต่างๆ แล้วแปลงสัญญาณไมโครเวฟให้กลับเป็นคลื่นไฟฟ้าของอุปกรณ์สื่อสารแต่ละชนิดตามเดิม

การสื่อสารระบบดาวเทียมเป็นสื่อที่มีข้อดีและมีความเหมาะสมมากโดยสามารถส่งข่าวสารได้ทั้ง 3 รูปแบบคือ

1. สัญญาณเสียง (VOICE)

2. สัญญาณภาพ (VIDEO)

3. ข้อมูลตัวเลข (DATE)

ซึ่งการติดต่อสามารถเชื่อมโยงได้ทั้งลักษณะ ระหว่างจุดหนึ่งไปจุดหนึ่ง ระหว่างจุดหนึ่งไปยัง

หลาย ๆ จุดหรือหลาย ๆ จุดไปยังจุดหนึ่งและสามารถเชื่อมระบบเข้ากับคอมพิวเตอร์และเครื่องมือสื่อสารอื่น ๆ ได้เป็นอย่างดีและยังมีข้อได้เปรียบมากกว่าการสื่อสารในสื่ออื่น ๆ คือ

1. เมื่อมีดาวเทียมใช้ในการติดต่อในพื้นที่แล้ว ค่าใช้จ่ายของการใช้บริการจะเป็นรูปการเช่าช่องสัญญาณดาวเทียมเพียงครั้งเดียวและสามารถมีสถานีรับสัญญาณได้มากตามต้องการ ค่าใช้จ่ายไม่ขึ้นกับระยะทางใกล้ไกลเหมือนระบบโทรศัพท์และไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการตั้งสถานีทวนสัญญาณเหมือนสื่อระบบไมโครเวฟ

2. สามารถส่งข้อมูลได้เป็นจำนวนมากในคราวเดียว

3. ความผิดพลาดข้อมูลต่ำโดยเฉพาะการส่งสัญญาณแบบดิจิตอล

4. สามารถช่วยแก้ปัญหาของการสื่อสารภาคพื้นดินที่ระบบอื่น ๆ ประสบอยู่ เช่น การชำรุดของเคเบิ้ลใยแก้ว หรืออุปสรรคจากการที่มีตึกสูง ๆ ในพื้นที่ทำให้รบกวนในการส่งคลื่นไมโครเวฟ

ประโยชน์จากสื่อดาวเทียม

1. สร้างมูลค่าเพิ่มให้ธุรกิจโทรคมนาคม

อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยที่ยังคงอยู่ในอัตราที่สูงซึ่งเป็นผลมาจากตัวจักรทางด้านธุรกิจภาคเอกชนที่เป็นผู้ลงทุนสร้างหรือขยายธุรกิจให้แพร่กระจายไปสู่สาขาธุรกิจต่าง ๆ สำหรับธุรกิจด้านโทรคมนาคมนับได้ว่ามีแรงดึงดูดให้นักลงทุนเข้ามาในธุรกิจสูงเนื่องจากสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้สูง และเป็นธุรกิจที่มีฐานเดิมอยู่ในระดับต่ำในขณะที่ความต้องการอยู่ในระดับสูง นักธุรกิจที่เข้ามาดำเนินธุรกิจโทรคมนาคมส่วนมากจะมีความพร้อมด้านเงินทุนและความสามารถด้านเทคโนโลยีรวมทั้งด้านการตลาด ทั้งนี้อาศัย การร่วมทุนจากบริษัทต่างประเทศที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจโทรคมนาคม

2. สามารถประหยัดและแสวงหาเงินตราต่างประเทศได้เป็นจำนวนมาก

ปัจจุบันไทยมีการใช้ระบบสื่อสารผ่านดาวเทียมโดยใช้บริการของดาวเทียมในต่างประเทศ ซึ่งต้องเสียค่าเช่าช่องสัญญาณดาวเทียมเป็นเงินมากกว่า 280 ล้านบาทต่อปี ทั้งนี้เมื่อไทยมีดาวเทียมเป็นของตนเอง จะทำให้ประหยัดเงินตราต่างประเทศได้ รวมทั้งยังสามารถเปิดบริการให้เช่าช่องสัญญาณดาวเทียมแก่ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ ซึ่งทำให้ไทยสามารถพัฒนาเทคโนโลยีรวมทั้งสามารถมีเครือข่ายสื่อสารเชื่อมต่อกับดาวเทียมดวงอื่นได้ในพื้นที่กว้างขวาง ทำให้ไทยมีโอกาสเป็นศูนย์กลางด้านโทรคมนาคมได้

3. ช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนความต้องการด้านการสื่อสาร

จากปัญหาขาดแคลนบริการสื่อสารนั้น ได้มีการพยายามแก้ไขโดยหน่วยงานของรัฐ ที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบด้านบริการสื่อสารนั้นจะดำเนินงานในการพัฒนาระบบโทรคมนาคมให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น และเปิดโอกาสให้เอกชนที่มีศักยภาพได้เข้ามาร่วมลงทุนในโครงการสื่อสารต่าง ๆ โดยการประมูลสัมปทานการดำเนินงาน เพื่อให้มีการบริการสื่อสารให้มากขึ้น

นอกจากนี้รัฐบาลมีนโยบายให้การสนับสนุนแก่บริษัทในธุรกิจโทรคมนาคม โดยการให้สิทธิประโยชน์ เช่น การสนับสนุนจากตลาดหลักทรัพย์ ให้ธุรกิจ ที่เกี่ยวเนื่องกับการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานการสื่อสารต่าง ๆ ให้เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อการระดมทุนในการดำเนินงาน ซึ่งบริษัทเหล่านั้นได้รับความสนใจจากนักลงทุนสูง เช่น บริษัทชินวัตร คอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด ที่ได้รับสัมปทานด้านโครงการดาวเทียมสื่อสารในประเทศ

นอกจากนั้นแล้วบริษัทอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับระบบโทรคมนาคมในทุกสื่อไม่ว่าด้านโทรศัพท์คือ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์ หรือบริษัทที่ทำการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการสื่อสารเช่น บริษัท จรุงไทยไวร์แอนด์เคเบิล หรือบริษัทที่ได้รับประโยชน์จากการเติบโตของธุรกิจโทรคมนาคม เช่น บริษัทดาต้าแมท จำกัด บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด และบริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล บรอดคาสติ้ง จำกัด ที่จะเข้าจดทะเบียนเป็นบริษัทรับอนุญาตในตลาดหลักทรัพย์ฯ นอกจากนั้นมีแนวโน้มว่าบริษัทต่างๆ มีความสนใจจะเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพิ่มอีกด้วย

4. เป็นการกระตุ้นการลงทุนทางเศรษฐกิจ

การลงทุนของบริษัทเอกชนในโครงการบริการสื่อสารต่าง ๆ นั้นเป็นแรงกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้ก้าวไปข้างหน้า และเป็นตัวสร้างบรรยากาศการลงทุนจากต่างประเทศเพราะเป็นการช่วงแก้ปัญหาการขาดแคลนสาธารณูปโภคพื้นฐานด้านการสื่อสาร และทำให้การลงทุนสามารถกระจ่ายไปในพื้นที่ห่างไกลจากรุงเทพมหานครได้ ทำให้เป็นการกระตุ้นการลงทุนไปในพื้นที่ห่างไกลจากในอดีตไม่สามารถทำได้เนื่องจากติดปัญหาด้านการสื่อสารจอกจากนั้นยังเป็นการเสริมระบบการศึกษาให้สามารถกระจายไปในพื้นที่ต่าง ๆ ด้วย

1. ดาวเทียมที่ใช้อยู่ในภาคพื้นเอเชีย

ภาคพื้นเอเชียตะวันออกและตะวันตกเฉียงใต้

ดาวเทียมที่ไทยใช้บริการอยู่ปัจจุบันคือดาวเทียม PALAPA ของอินโดนีเซีย และ ASIASAT ของฮ่องกง ซึ่งเมื่อดาวเทียมไทยคมถูกส่งขึ้นไปจะกลายเป็นดวงที่ 3 ที่สามารถให้บริการได้ในภูมิภาคนี้นอกจากนั้นการติดต่อสื่อสารที่ต้องการขอบข่ายการเชื่อมโยงได้ทั่วโลกก็จะใช้ดาวเทียม INTELSAT ซึ่งเป็นดาวเทียมพาณิชย์ขององค์กรดาวเทียมระหว่างประเทศ

สำหรับดาวเทียมของประเทศไทยที่จะมีดาวเทียมไทยคมนั้นขอบข่ายสัญญาณจะกระจายครอบคลุมประเทศใกล้เคียงด้วย ทำให้ต้องมีการปรับด้านเทคนิคเพื่อให้คลื่นสัญญาณไม่รบกวนซึ่งกันและกัน ประเทศที่มีดาวเทียมเป็นของตนเองคือ ฮ่องกง ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย แต่ทั้งนี้อยู่ในความควบคุมขององค์กรที่จัดสรรความถี่สากล

ความต้องการใช้สัญญาณดาวเทียมในภูมิภาคเอเชียตะวันออก และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นั้นมีการคาดการณ์จะมีความต้องการมากกว่าความสามารถที่จะบริการได้ถึง 50-100 ทรานส์พอนเดอร์ ทำให้ประเทศต่าง ๆ ในแถบภูมิภาคนี้มีโครงการส่งดาวเทียมของตนเองขึ้นสู่วงโคจรเพื่อลดการพึ่งพิงระบบการสื่อสารของดาวเทียม INTELSAT

โดยประเทศที่ริเริ่มโครงการส่งดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจร เช่น ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ เกาหลีใต้ เป็นต้น ทำให้มีแนวโน้มว่าธุรกิจดาวเทียมในภูมิภาคเอเชีย จะมีการแข่งขันกันสูงมากทั้งด้านราคาและด้านการบริการ เนื่องจากภูมิภาคนี้มีความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงและมีความต้องการการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ คุณภาพที่สูงขึ้นในขณะที่บริการสื่อสารผ่านดาวเทียมโครงการต่าง ๆ ที่มีอยู่ไม่เพียงพอกับความต้องการ

โครงการสื่อสารดาวเทียมนี้จะทำให้ประเทศที่มีดาวเทียมของตนเองสามารถสร้างเครือข่ายธุรกิจสื่อสารดาวเทียม ธุรกิจโทรคมนาคมในรูปแบบเพื่อการพาณิชย์และอุตสาหกรรม ที่มีศักยภาพรวมทั้งสามารถขายบริการสื่อสารผ่านดาวเทียมระหว่างประเทศให้แก่ประเทศใกล้เคียงด้วย สำหรับโครงการส่งดาวเทียมของประเทศต่าง ๆ ในแถบนี้มีดังนี้

- องค์การสื่อสารดาวเทียมของประเทศเกาหลีใต้ โดยบริษัท โคเรียน เทเลคอม มีโครงการสื่อสารดาวเทียมเพื่อโทรคมนาคม 5 ปี โดยสามารถให้บริการด้านการส่งสัญญาณออกอากาศโทรทัศน์และวงจรโทรศัพท์ มูลค่าโครงการ 400 ล้านเหรียญสหรัฐ (10,000 ล้านบาท) โดยจะทำการส่งดาวเทียม 2 ดวงจะเข้าสู่วงโคจรได้ในเดือนเมษายน และเดือนตุลาคมปี 1995 (พ.ศ.2538)

ประเทศมาเลเซียมีโครงการดาวเทียมมูลค่า 250 ล้านเหรียญสหรัฐ (6,250 ล้านบาท) เป็นดาวเทียมจำนวน 2 ดวง มีชื่อว่ามาเลเซีย อีสท์เอเซีย แซทเทิลไลท์ ดำเนินงานโดยบริษัท ไบนาเรียงและคาดว่าจะสามารถเข้าสู่วงโคจรได้ในปี 1994 (พ.ศ. 2537) ทั้งนี้ประเทศมาเลเซียได้เสียค่าใช้จ่ายด้านค่าเช่าสัญญาณดาวเทียมกับดาวเทียม ASIASAT และ PALAPA ประมาณ 415 ล้านบาท ต่อปี

ประเทศอินโดนีเซียมีโครงการส่งดาวเทียมดวงที่ 3 เข้าสู่วงโคจรในปี 1992 (พ.ศ. 2535) โดยมีมูลค่า 72 ล้านเหรียญสหรัฐ (1,800 ล้านบาท) และจะมีช่องสัญญาณดาวเทียม 24 ทรานส์พอนเดอร์

ประเทศสิงคโปร์โดยบริษัท สิงคโปร์ เทเลคอม ซึ่งเป็นธุรกิจโทรคมนาคมของรัฐบาลที่กำลังจะแปรรูปเป็นเอกชน กำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการส่งดาวเทียมสื่อสารขึ้นสู่วงโครจร โดยมีมูลค่าประมาณ 200-300 ล้านเหรียญสหรัฐ (5,000-7,500 ล้านบาท) ปัจจุบันนั้นประเทศสิงคโปร์ใช้ระบบสื่อสารทางด้านเคเบิลใต้น้ำ และระบบดาวเทียมขององค์การดาวเทียมระหว่างประเทศคือ INTELSAT และ INMARSAT โดยทั้งสองโครงการนี้สิงคโปร์มีการลงทุนร่วมอยู่

ประเทศไทยมีโครงการดาวเทียมแห่งชาติ โดยการดำเนินงานของบริษัท ชินวัตร แซทเทลไลท์ จำกัด มูลค่าโครงการ 200 ล้านเหรียญสหรัฐ (5,000 ล้านบาท) ซึ่งจะมีการส่งดาวเทียมเข้าสู่วงโคจร 2 ดวงในปี 1993 (2536) และ ปี 1994 (2537) โดยมีช่องสัญญาณดาวเทียมดวงละ 12 ทรานส์พอนเดอร์

อย่างไรก็ตามโครงการดาวเทียมแม้จะมีแนวโน้มว่าจะมีความต้องการสูง แต่ก็ยังประสบอุปสรรคด้านข้อจำกัดทางกฎหมาย เช่น การส่งสัญญาณข้ามประเทศที่บางประเทศที่มีกฎหมายควบคุมการส่งสัญญาณ เช่น ญี่ปุ่น ดาวเทียมของรัฐบาลจะใช้ในการแพร่ภาพรายการของรัฐบาล และดาวเทียมของบริษัทเอกชน จะใช้ในการแพร่ภาพรายการท้องถิ่น นอกจากนั้นปัญหาเช่น อินโดนีเซียมีข้อจำกัดจากกระทรวงข่าวสารที่ไม่ยอมให้มีการเผยแพร่สัญญาณโดยผ่านดาวเทียมดวงอื่น เช่น INTELSAT ก่อนแล้วค่อยส่งสัญญาณเข้าดาวเทียม PALAPA ในศูนย์ประเทศอินโดนีเซีย

ภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกนั้น มีโครงการบริการดาวเทียมสื่อสารเพื่อการพาณิชย์ที่ดำเนินการอยู่หลายโครงการและมีแผนจะขยายการดำเนินงานโดยการส่งดาวเทียมดวงใหม่ขึ้นสู่วงโคจร เพื่อให้บริการได้ครอบคลุม ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมากขึ้นโดยโครงการของประเทศต่าง ๆ เช่น ญี่ปุ่น ฮ่องกง อินโดนีเซีย จีน มีดังนี้

โครงการดาวเทียม PALAPA ของประเทศอินโดนีเซียนั้น ได้เริ่มมีความพยายามในการแข่งขันด้านบริการดาวเทียมในภูมิภาคแปซิฟิกกับองค์กรดาวเทียมเพื่อการโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (INTELSAT) ซึ่งประเทศในภูมิภาคนี้ใช้บริการดาวเทียมนี้เป็นหลัก อีกทั้งพยายามสร้างฐานการเติบโตในธุรกิจดาวเทียมในภูมิภาคนี้ให้มั่นคง โดยมีการก่อตั้งศูนย์บริการดาวเทียมในระดับภูมิภาคในชื่อบริษัท แปซิฟิคแซทเทิลไลท์ นูซานทารา ขึ้นมาซึ่งเป็นโครงการเดียวกับ PALAPA ที่มีบริษัท เทลคอม ประเทศอินโดนีเซีย ดำเนินการให้บริการในธุรกิจดาวเทียมนานกว่า 15 ปี ทำให้ได้เปรียบโครงการใหม่ ๆ ที่เริ่มเข้ามาในธุรกิจ

เพราะศูนย์บริการดาวเทียม PALAPA B-1 ซึ่งเป็นดาวเทียมที่อยู่ในวงโครจรพร้อมอยู่แล้ว ทำให้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายด้านการสร้างดาวเทียมดวงใหม่ และค่าใช้จ่ายด้านการยิงดาวเทียมเข้าสู่วงโคจร

ดาวเทียม PALAPA B-1 นี้นั้นจะมีระยะเวลาการใช้งานได้อีก 3 ปี โดยมีอุปกรณ์พิเศษในการควบคุมการทำงาน ทำให้ทางบริษัทสามารถคิดอัตราค่าเช่าสัญญาณดาวเทียมในอัตราที่ต่ำได้ อีกทั้งสามารถให้ส่วนลดราคาค่าเช่าสัญญาณดาวเทียมได้ซึ่งจะเป็นข้อได้เปรียบทั้งนี้ได้มีการตั้งชื่อดาวเทียมดวงนี้ใหม่เป็นดาวเทียม PALAPA PACIFIC ทั้งนี้ความครอบคลุมของสัญญาณอยู่ในบริเวณชายฝั่งประเทศจีนถึงฮาวาย

เพราะฉะนั้นโครงการดาวเทียมของประเทศอินโดนีเซียมีความพร้อม ในการแข่งขันสูง และมีโครงการต่อเนื่องอีก โดยการรับซื้อดาวเทียมที่อยู่ในโครงการ PALAPA เพิ่มอีก เช่น การซื้อดาวเทียม PALAPA B2P ซึ่งลูกค้าที่จะให้ความสนใจโครงการนี้คือ กลุ่มธุรกิจด้านทำข่าวผ่านดาวเทียม ธุรกิจสื่อสารข้อมูล ภาพ และเสียง ธุรกิจถ่ายทอดโทรทัศน์ระหว่างประเทศ

โครงการดาวเทียม PALAPA ให้บริการเช่าช่องสัญญาณดาวเทียมแก่บริษัทเอกชน และหน่วยงานรัฐบาลในประเทศต่าง ๆ ทั้งในมาเลเซีย ฟิลิปินส์ ไทย เวียดนาม ออสเตรเลีย ปาปัวนิวกินี ซึ่งดาวเทียม PALAPA ทั้ง 2 ดวงนั้นมีช่องสัญญาณดวงละ 24 ทรานส์พอนเดอร์

- โครงการดาวเทียม ASIASAT ของประเทศฮ่องกง โดยมีบริษัท เอเชีย แซทเทิลไลต์เทเลคอมมูนิเคชั่น จำกัด มีดาวเทียมที่ให้บริการคือ ดาวเทียม ASIASAT 1 ซึ่งให้บริการได้ตั้งแต่เดือนเมษายน 2533 พื้นที่บริการครอบคลุมประเทศ พม่า จีน รัสเซีย ปากีสถาน ญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย และไทย ทั้งนี้ไทยเองได้เช่าสัญญาณดาวเทียมนี้เช่นบริษัทคอมพิวเนทโครงการเอเซียแซทมีแผนส่งดาวเทียมเพื่อการสื่อสารอีกดวงในกลางปี 2537

- โครงการดาวเทียม INTELSAT องค์กรดาวเทียมเพื่อการโทรคมนาคมระหว่างประเทศ เป็นโครงการที่สามารถครองตลาดในภูมิภาคนี้สูงที่สุด การครอบคลุมสัญญาณนี้มีตั้งแต่ ซานฟรานซิสโก จนถึงสิงคโปร์ ทั้งนี้การใช้โทรศัพท์ระหว่างประเทศนั้นจะใช้บริการของโครงการนี้เป็นหลัก

2. การใช้ระบบการสื่อสารผ่านดาวเทียมของไทย

การใช้ระบบดาวเทียมไทยจากอดีตถึงปัจจุบัน

ไทยได้สมัครเป็นสมาชิกขององค์การโทรคมนาคมทางดาวเทียมระหว่างประเทศ INTELSAT ใน ปี 2509 และเปิดการติดต่อผ่านดาวเทียม INTELSAT ครั้งแรกในปี 2510 โดยไทยได้เข้าร่วมถือหุ้นในโครงการระหว่างประเทศนี้ด้วนในสัดส่วนร้อยละ 1 ซึ่งถือเป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบันอยู่ในความรับผิดชอบของการสื่อสารแห่งประเทศไทย

จนกระทั่งปี 2511 ไทยเริ่มเปิดดำเนินการสถานีคมนาคมพื้นดินผ่านดาวเทียมที่ศรีราชา เพื่อทำการส่งสัญญาณต่าง ๆ เช่น สัญญาณโทรเลขต่าง ๆ เช่น สัญญาณโทรเลข โทรศัพท์ โทรทัศน์ และมีการถ่ายทอดรายการผ่านดาวเทียม PALAPA และในปี 2523 การสื่อสารแห่งประเทศไทยได้เช่าช่องสัญญาณจากดาวเทียม INTELSAT ซึ่งเป็นบทบาทของทางฝ่ายราชการทั้งสิ้น ปี 2526 กระทรวงคมนาคมได้ศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ และในปี 2531 กรมไปรษณีย์ฯ ได้อนุมัติสัมปทานให้แก่เอกชนครั้งแรก คือ บริษัท สามารถ เทลคอม และบริษัท คอมพิวเนท และในปี 2533 องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยได้อนุมัติสัมปทานให้แก่บริษัท อคิวเม้นท์ โดยใช้ดาวเทียม PALAPA ปี 2534 กระทรวงคมนาคมได้อนุมัติให้บริษัทชินวัตรคอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด ได้รับสัมปทานดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ

การใช้บริการสื่อสารผ่านดาวเทียมของไทยในปัจจุบัน

ดาวเทียมที่ไทยใช้อยู่เป็นการเช่าช่องสัญญาณดาวเทียมของต่างประเทศ คือ ดาวเทียม PALAPA, INTELSAT, ASIASAT ตารางต่อไปแสดงการเช่าช่องสัญญาณดาวเทียมจากหน่วยต่าง ๆ ในปัจจุบัน

ดาวเทียมของไทยในอนาคต

วันที่ 11 กันยายน 2534 บริษัท ชินวัตร แซทเทลไลท์ จำกัด ได้ชนะการประมูลโครงการสัมปทานดาวเทียมสื่อสารแห่งชาติ (NATIONAL PROJECT) ของกระทรวงคมนาคม ให้เป็นผู้ดำเนินงานจัดสร้าง จัดส่ง บริหารโครงการและการให้บริการวงจรดาวเทียมภายในประเทศในช่วงเวลาสัมปทาน 30 ปี ซึ่งจะเป็นดาวเทียมดวงแรกของไทย ทั้งนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อดาวเทียมสื่อสารดวงแรกของประเทศไทยว่า "ไทยคม" (THAICOM)

ภายใต้การลงทุนในสัมปทานดาวเทียมสื่อสารในประเทศนั้น บริษัท ชินวัตร แซทเทลไลท์ จำกัด ได้ตกลงให้บริษัท HUGHES AIRCRAFT เป็นผู้ทำการออกแบบก่อสร้างดาวเทียม และให้บริษัท ARIA-NESPACE เป็นผู้ดำเนินการยิงดาวเทียมขึ้นสู่ท้องฟ้า ซึ่งกำหนดยิงจรวดส่งดาวเทียมที่เกาะเฟรน กีอาน่า แถบอเมริกาใต้ ซึ่งกำหนดการยิงนั้นเป็นช่วงปลายปี 2536 และพร้อมปฏิบัติงานได้ในปี 2537 นอกจากนั้นได้จ้างบริษัท TELESPACE เป็นที่ปรึกษาโครงการทางด้านเทคนิค พร้อมทั้งหน้าที่ฝึกอบรมบุคลากร

บริษัท ชินวัตร แซทเทลไลท์ จำกัด ได้ตั้งขึ้นโดยมีทุนจดทะเบียน 1,000 ล้านบาทในช่วงแรก และมีแผนเพิ่มทุนเป็น 1,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นช่วงที่มีการกู้เงินจากธนาคารเพื่อการนำเข้าและส่งออกของประเทศอเมริกาและประเทศฝรั่งเศส เป็นเงิน 3,200 ล้านบาท

ด้านการระดมทุนของโครงการดาวเทียม 5,000 ล้านบาทนั้นแยกเป็นการระดมทุนจากแหล่งต่าง ๆ คือ

1. เพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทจาก 400 ล้านบาทเป็น 1,000 ล้านบาท

2. ออกหุ้นกู้แปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญ 1,000 ล้านบาท

3. กู้เงินจากธนาคารเพื่อการนำเข้าและส่งออกของสหรัฐอเมริกา 2,125 ล้านบาท

4. กู้เงินจากธนาคารเพื่อการนำเข้าและส่งออกของฝรั่งเศส 2,125 ล้านบาท

การกู้เงินจากต่างประเทศนั้นจะมีธนาคารในประเทศค้ำประกันการกู้คือ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารทหารไทย และธนาคารไทยพาณิชย์

เงื่อนไขของสัมปทานดาวเทียมไทยคม

ภายใต้ข้อกำหนดของสัมปทานนั้น ดาวเทียมไทยคมจะใช้ระบบดาวเทียมสำรองโดยระยะแรกจะส่งดาวเทียมขึ้นไป 2 ดวงเป็นดาวเทียมสำรองกันซึ่งต้องยิงดาวเทียมสำรองขึ้นไปหลังจากยิงดวงแรก 1 ปีระยะสองของโครงการจะทำการยิงดาวเทียมอีก 2 ดวง ซึ่งรวมโครงการระยะเวลา 30 ปี นั้นจะทำการยิงดาวเทียมทั้งหมด 4 ดวง ทั้งนี้ระยะเวลาการคุ้มครองสัมปทานโครงการเป็นเวลา 8 ปีนับจากเซ็นสัญญาคือสิ้นสุดการคุ้มครองในปี 2542 ในระหว่างการคุ้มครองนั้น หน่วยของงานภาครัฐบาลและเอกชนในประเทศไทยที่ต้องการเช่าสัญญาณดาวเทียมต้องใช้ดาวเทียมไทยคมเท่านั้น และห้ามเอกชนรายอื่นมาลงทุนในโครงการดาวเทียมในระยะเวลานี้ นอกจากนั้นให้ถือว่ากระทรวงคมนาคมเป็นเจ้าของโครงการดาวเทียมนี้รวมทั้งตัวดาวเทียมสถานีควบคุมภาคพื้นดินและอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องจะเป็นทรัพย์สินของรัฐในทันทีที่การจัดสร้างและจัดส่งดาวเทียมเสร็จสิ้น

หลังจากที่ไทยคมขึ้นไปปฏิบัติงานแล้วหน่วยงานต่าง ๆ ต้องเปลี่ยนมาใช้บริการเช่าช่องสัญญาณดาวเทียมของดาวเทียมไทยคม โดยความต้องการเริ่มแรกคือหน่วยงานที่ใช้ดาวเทียมห่างก่อนแล้วซึ่งขณะนี้มีการใช้อยู่ประมาณ 10 ทรานส์พอนเดอร์ เท่ากับความสามารถของไทยคม

โดยช่วงแรกที่ส่งดาวเทียมขึ้นไปนั้นหน่วยงานต่าง ๆ อาจยังไม่สามารถเปลี่ยนมาใช้ดาวเทียมไทยคมได้ เนื่องจากสัญญาเช่าช่องสัญญาณที่ทำกับดาวเทียมต่างประเทศยังไม่หมดอายุใช้งานเช่น องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยหมดสัญญากับดาวเทียม PALAPA ในปี 2538 และหลังจากหมดอายุสัญญากับดาวเทียมต่างประเทศแล้วหน่วยงานนั้นต้องกลับมาใช้ดาวเทียมไทยคมแต่ส่วนใหญ่แล้วหน่วยงานต่าง ๆ จะหมดอายุสัญญาประมาณปี 2536

สำหรับแนวโน้มการใช้สัญญาณดาวเทียมที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคตนั้นดาวเทียมไทยคมก็สามารถให้บริการได้เพียงพอจากการยิงดาวเทียมดวงสำรองในปี 2537 ที่มีความสามารถให้บริการได้อีก 12 ทรานส์พอนเดอร์ ซึ่งจะเพียงพอกับความต้องการที่จะมีเพิ่มในอนาคต

ความสามารถให้บริการของดาวเทียมไทยคม

ความสามารถของดาวเทียมไทยคมแต่ละดวงซึ่งมีจำนวนช่องสัญญาณดาวเทียม 12 ทรานส์พอนเดอร์ โดยแบ่งเป็นคลื่น C-BAND 10 ทรานส์พอนเดอร์ และ KU-BAND 2 ทรานส์พอนเดอร์ ซึ่งคลื่น KU-BAND นี้มีความสามารถให้บริการได้ครอบคลุมพื้นที่ประเทศไทยและใช้ประโยชน์ในการส่งสัญญาณแบบ DIRECT TO HOME เช่นใช้ในสถานีโทรทัศน์ทั่วไป หรือสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม การทำธุรกิจบรอดคาสติ้งหรือเคเบิลทีวี การทำธุรกิจสื่อสารข้อมูล เช่น VSAT ซึ่งจะทำให้มีความสะดวกในการติดตั้ง และการใช้งานเนื่องจากคลื่น KU-BAND มีความแรงคลื่นสูงสุดครอบคลุมพื้นที่ประเทศไทยทำให้การใช้งานนั้น จะรับสัญญาณได้ชัดเจนทำให้จากเดิมที่ใช้สัญญาณของดาวเทียมต่างประเทศนั้นมีกำลังแรงของสัญญาณอ่อนต้องใช้จานรับดาวเทียมขนาดใหญ่ แต่เมื่อเปลี่ยนมาใช้ไทยคมที่มีกำลังสัญญาณแรงกว่า ทำให้ใช้อุปกรณ์คือจานรับสัญญาณดาวเทียมได้ในขนาดเล็กลงและทำให้ราคาถูกลงด้วย คลื่นแบบ C-BAND จะใช้สำหรับระบบโทรคมนาคมทำให้สามารถติดต่อกับต่างประเทศที่อยู่ในวงจรของดาวเทียมได้ทั้งระบบ โทรทัศน์ และการสื่อสารข้อมูล หรือ ระบบ VSAT ได้

ทางด้านความพร้อมของบริษัท ชินวัตร แซทเทลไลท์ นั้นได้ทำการก่อสร้างสถานีดาวเทียม "ไทยคม" โดยใช้งบประมาณ 500 ล้านบาท ซึ่งจะมีจานสายอากาศแบบ C-BAND 2 จาน และแบบ KU-BAND 2 จาน และแบบ KU-BAND 2 จาน และมีจานสำรอง 1 จาน เพื่อเป็นศูนย์ควบคุมดาวเทียม นอกจาก นั้นที่สถานีจะมีกำลังบุคลากร 70 คน ที่จะทำหน้าที่ควบคุมดาวเทียมให้อยู่ในตำแหน่งโคจรที่ถูกต้อง มีการควบคุมระบบรวมทั้งระบบคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานช่างเทคนิค และสำคัญคือวิศวกรที่ประยุกต์ใช้งานดาวเทียมและการวิจัยให้ความรู้แก่ลูกค้ารวมทั้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด การเงิน ธุรการ และผู้บริหารงานให้โครงการนี้มีประสิทธิภาพทั้งด้านเทคนิค การปฏิบัติงาน การทำตลาด ให้ประสบความสำเร็จ นอกจากนั้นยังพยายามพัฒนาความเชี่ยวชาญทางด้านการเผยแพร่ออกอากาศ และการนำเทคโนโลยีมาพัฒนาใช้งานกับดาวเทียม โดยเน้นระบบดิจิตอลที่สามารถประหยัดช่องสัญญาณ ซึ่งจะเป็นการเน้นในด้านเทคนิคให้มีประสิทธิภาพ

ภาระรับผิดชอบของโครงการ

1. การประกันโครงการดาวเทียมซึ่งจะมีมูลค่าประกันประมาณ 15% ของมูลค่าดาวเทียมหรือประมาณ 375 ล้านบาทซึ่งการประกันจะแบ่งเป็นส่วน

-ประกันความสำเร็จในการสร้าง

-ประกันการยิง

-ประกันการเข้าวงโคจรของดาวเทียม

2. บริษัทต้องรับภาระในการปรับด้านเทคนิคสำหรับจานดาวเทียมของลูกค้าให้หมุนมารับสัญญาณจากดาวเทียมไทยคมจากที่เคยรับสัญญาณจากดาวเทียมดวงอื่น เช่น ในระบบสื่อสารผ่านดาวเทียม VSAT ที่มีผู้ให้บริการอยู่ขณะนี้ 4 บริษัทที่ใช้บริการดาวเทียมต่างประเทศซึ่งจะมีลูกค้าใช้บริการอยู่และมีการติดตั้งจานดาวเทียมไปแล้วเป็นจำนวนมาก ทั้งขณะปัจจุบัน และที่จะมีในอนาคตจนกว่าไทยคมจะขึ้นไปปฏิบัติงาน ซึ่งจานดาวเทียมนี้มีอยู่ทั้งในเขตกรุงเทพฯ และภูมิภาคต้องทำการปรับให้หันมารับสัญญาณจากดาวเทียมไทยคมได้จนครบทุกจาน ทำให้เป็นภาระค่าใช้จ่ายจำนวนมากของทางบริษัทชินวัตร แซทเทลไลท์

การทำตลาดของโครงการดาวเทียมไทยคม

เนื่องจากด้วยความสามารถ และคุณลักษณะของดาวเทียมที่มีความเหมาะสม ในการสื่อสารในรูปแบบต่าง ๆ การประยุกต์ใช้งานในการสื่อสารได้มาก และเป็นการเสริมประสิทธิภาพการสื่อสารได้ดีขึ้นทั้งด้าน โทรทัศน์ วิทยุ โทรศัพท์ การสื่อสารข้อมูล เช่น VSAT หรือธุรกิจประเภทต่าง ๆ ที่ให้บริการสื่อสารโทรคมนาคม สามารถนำระบบดาวเทียมเป็นการเสริมประสิทธิภาพการสื่อสารให้ดีขึ้น เป็นการรองรับกับความต้องการบริโภคข่าวสารของผู้บริโภคที่เพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับความได้เปรียบของโครงการในแง่การเป็นโครงการแห่งชาติที่ได้รับการคุ้มครองจากเงื่อนไขสัมปทาน 8 ปี ทำให้หน่วยงานต่าง ๆ ในไทยต้องใช้ดาวเทียมไทยคมทั้งสิ้นถึงแม้หน่วยงานเหล่านั้นจะมีการทำสัญญากับดาวเทียมต่างประเทศอยู่ เช่น บริษัท คอมพิวเนท ซึ่งทำสัญญากับ ASIASAT หรือบางหน่วยงานจะมีการลงุทนในโครงการดาวเทียมอื่นและมีความสัมพันธ์ต่อกันมานาน เช่น การสื่อสารแห่งประเทศไทยที่มีการลงทุนในดาวเทียม INTELSAT ซึ่งต้องมาเป็นลูกค้าของโครงการไทยคม โดยมีทั้งหน่วยงานที่เป็นรัฐบาลและหน่วยงานเอกชน

การให้เช่าสัญญาณดาวเทียมนั้นจะสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือ แบบเช่าตลอด 24 ชั่วโมง เช่น โทรทัศน์ วิทยุ กับการเช่าใช้สัญญาณดาวเทียมเป็นช่วงเวลาตามความต้องการใช้ ซึ่งบริษัท ชินวัตรฯ ต้องพยายามใช้การตลาดในลักษณะให้ความสะดวกทั้งด้านการติดต่อการให้บริการ การให้คำแนะนำแก่หน่วยงานต่าง ๆ ซึ่งก็สามารถให้บริการได้สะดวกกว่าของดาวเทียมต่างประเทศที่ไม่สามารถให้บริการหลังการขายได้ โดยข้อแม้เรื่องราคานั้นไม่แตกต่างกันมาก เป็นการผูกพันลูกค้าให้ยังคงใช้ไทยคมต่อไป หลังจากหมดอายุการคุ้มครองแล้วอีกทั้งอาศัยความได้เปรียบดาวเทียมต่างประเทศทั้งในด้านประสิทธิภาพการบริการ และคุณภาพของคลื่นที่มีความเข้มสูงกว่าทั้งคลื่นแบบ C-BAND และ KU-BAND

และที่สำคัญทางบริษัท ชินวัตรฯ จะเน้นการให้ความรู้และการส่งเสริมให้ผู้บริโภคมีความรู้เรื่องการสื่อสารผ่านดาวเทียมในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งนอกจากจะเป็นการช่วยให้ระบบการสื่อสารได้รับการยอมรับในหมู่ผู้บริโภคแล้ว ทำให้หน่วยงานที่เป็นผู้ขอเช่าช่องสัญญาณดาวเทียมที่ให้บริการสื่อสารผ่านดาวเทียม ซึ่งจะเป็นผลกระทบที่ดีที่จะกลับมาทางบริษัท ชินวัตรฯ ด้วยในฐานะเป็นผู้ให้บริการเช่าช่องสัญญาณที่จะสร้างแนวโน้มการใช้สัญญาณดาวเทียมเพิ่มขึ้นเป็นการเติบโตของธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคมโดยรวม

ลูกค้าของโครงการดาวเทียมไทยคมนี้คือ หน่วยงานด้านวิทยุกระจายเสียง และวิทยุโทรทัศน์และการถ่ายทอดรายการโทรทัศน์ระบบโทรศัพท์ทั้งระบบโทรศัพท์ข้ามประเทศ เป็นหลัก นอกจากนั้นมีส่วนที่เป็นบริการสื่อสารข้อมูลผ่านดาวเทียม ระบบโทรคมนาคมทุกประเภท โดยเฉพาะบริการ VIDEO CONFERENING

และในส่วนสัญญาณดาวเทียมที่เหลือจากความต้องการในประเทศแล้ว ยังสามารถทำตลาดได้ในต่างประเทศ เนื่องจากมีความสามารถในการให้บริการได้ครอบคลุมพื้นที่ตั้งแต่ปักกิ่ง โตเกียว ลงมาจนถึงพื้นที่ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยเฉพาะประเทศเวียดนามซึ่งไทยนั้นเป็นประตูสำคัญในการเป็นรากฐานการลงทุนในเวียดนาม ซึ่งโอกาสนี้ความต้องการสื่อสารที่ทันสมัยนั้นมีความสำคัญมากต่อการทำธุรกิจที่ต้องการติดต่อระหว่างกัน ในขณะที่เวียดนามเองยังไม่สามารถพัฒนาระบบการสื่อสารของตนเองให้ทันสมัยได้ทำใหห้ระบบดาวเทียมสามารถเข้าไปช่วยเสริมจุดนี้ได้ดี

รายได้ของโครงการดาวเทียมไทยคม

รายได้ของโครงการดาวเทียมไทยคม คือ รายได้จากการให้เช่าช่องสัญญาณดาวเทียมโดยการคิดค่าเช่าสัญญาณดาวเทียมนั้น ราคาที่จะกำหนดขึ้นต้องผ่านการพิจารณาของกระทรวงคมนาคมก่อนและต้องพิจารณาด้านราคาโดยต้องเปรียบเทียบค่าบริการกับดาวเทียมที่มีใช้อยู่ในปัจจุบันด้วย โดยราคาค่าเช่าอยู่ในอัตราที่ใกล้เคียงกับดาวเทียมที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกันเพื่อให้สามารถแข่งขันทางราคาได้

การคิดค่าเช่าช่องสัญญาณดาวเทียม (TRANSPONDER) ในปัจจุบัน

การประยุกต์ดาวเทียมไทยคมมาใช้ในกิจการของบริษัท ชินวัตร กรุ๊ป

นอกเหนือจากรายได้จากการให้เช่าช่องสัญญาณดาวเทียมแล้วประโยชน์สำคัญที่สุดที่บริษัท ชินวัตรกรุ๊ป จะได้รับจากดาวเทียมไทยคม ในฐานะที่เป็นโครงการที่ดำเนินการ โดยบริษัทในเครือทั้งนี้ระบบดาวเทียมสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในธุรกิจโทรคมนาคมสื่อสารได้กว้างขวางและสามารถรองรับกับธุรกิจโทรคมนาคมที่ทางบริษัท ชินวัตรมีเครือข่ายการบริการอย่างกว้างขวางอยู่แล้วซึ่งเครือข่ายของบริษัทที่สามารถใช้ดาวเทียมเป็นสื่อได้คือธุรกิจโทรคมนาคมและบรอดคาสติ้งทำให้ธุรกิจของบริษัท ชินวัตรสามารถพัฒนาด้านการบริการได้ครบวงจร และเพิ่มความสามารถด้านการสื่อสารโดยใช้ดาวเทียมเป็นสื่อที่มาใช้เสริมสื่อที่ใช้อยู่เดิมให้มีประสิทธิภาพขึ้น คือ คลื่นวิทยุ สายโทรศัพท์ คลื่นไมโครเวฟ เช่น ระบบเคเบิลทีวี ที่ปัจจุบันใช้สัญญาณไมโครเวฟอยู่มีอุปสรรคในการส่งสัญญาณแต่ถ้าใช้ระบบดาวเทียมแล้วปัญหาเรื่องการ ส่งสัญญาณจะหมดไป

ในธุรกิจเคเบิลทีวีนั้นมีบริษัทในเครือคือบริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล บรอดเคสติ้ง จำกัดดำเนินการอยู่โดยจะใช้ดาวเทียมในคลื่นแบบ KU-BAND ทำให้ช่วยเอื้อประโยชน์ในด้านการลดต้นทุน และเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายของบริษัทในเครือที่จะเปลี่ยนมาใช้ดาวเทียมทำให้มีความได้เปรียบคู่แข่ง

นอกจากนั้นยังเป็นตัวเสริมธุรกิจในด้านอื่น ๆ เช่น ด้านเทคโนโลยี ด้านช่องทางธุรกิจบริการเสริมใหม่ ๆ ที่สามารถนำระบบดาวเทียมมาปรับใช้กับเทคโนโลยีที่มีใช้อยู่ เช่น บริการเคเบิลทีวีโฟนลิ้งค์ โฟนพ้อยต์ ดาต้าเน็ต โดยเฉพาะเซลลูล่าร์ 900 ที่กำลังมีการศึกษาการเชื่อมโยงระบบ เซลลูล่าร์กับระบบดาวเทียมซึ่งถ้าทำได้จะทำให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นด้วยสามารถขยายเครือข่ายได้ เร็ว และมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นประโยชน์เสริมต่อธุรกิจหลักอื่น ๆ ของบริษัทชินวัตรฯ ได้อย่างดีในตลาดสื่อสารโทรคมนาคมหรือทำให้สามารถสร้างธุรกิจแบบใหม่ขึ้นมาให้บริการแก่ผู้บริโภคได้หลากหลายซึ่งยังคงมีความต้องการสื่อสารในรูปแบบต่าง ๆ ที่ยังไม่ถึงจุดอิ่มตัว ทำให้สามารถรองรับความต้องการสื่อสารของผู้บริโภคที่เพิ่มสูงขึ้น

ค่าใช้จ่ายในโครงการดาวเทียม

ค่าใช้จ่ายของโครงการดาวเทียมนั้น ต้องให้รายได้แก่รัฐบาลขั้นต่ำประมาณ 1,415 ล้านบาท ตลอดเวลาสัมปทานราคาดาวเทียมสองดวงดวงละประมาณ 2,500 ล้านบาท และค่ายิงดาวเทียมประมาณ 1,500 ล้านบาท

บริการสื่อสารผ่านดาวเทียม

1. ระบบโทรทัศน์ (TV DISTRIBUTION RELAY)

1.1 การแพร่ภาพโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมซึ่งจะสามารถกระจายสัญญาณโทรทัศน์ให้กระจายไป

ในพื้นที่ห่างไกลโดยไม่มีอุปสรรคด้านภูมิประเทศซึ่งสถานีโทรทัศน์ในประเทศคือ ช่อง 3,5,7,9,11 ได้ใช้ดาวเทียมเป็นสื่อในการแพร่สัญญาณโทรทัศน์ นอกจากนั้นยังมีสถานีโทรทัศน์ของต่างประเทศที่ถ่ายทอดผ่านดาวเทียมคือสถานีโทรทัศน์ของต่างประเทศที่ถ่ายทอดผ่านดาวเทียมคือสถานีโทีทัศน์ สตาร์ทีวีของประเทศฮ่องกงและสถานีโทรทัศน์ แปซิฟิคเน็ทเวิร์คที่ ประเทศออสเตรเลียซึ่งผู้รับชมรายการจะรับคลื่นสัญญาณทางอากาศโดยจานรับสัญญาณทางอากาศโดยจานรับสัญญาณดาวเทียมขนาดเล็กได้

และเนื่องจากมีการผ่อนคลายกฎหมายเรื่องการอนุญาติให้เอกชนสามารถติดตั้งจานดาวเทียมได้เสรีที่จะทำให้เปิดตลาด ของผู้บริโภคที่ต้องการรับข่าวสารจากต่างประเทศได้มากขึ้น และรายได้ของสถานีโทรทัศน์นั้นได้มาจากการขายเวลาโฆษณาในช่วงเวลาออกอากาศซึ่งจะมีกลุ่มลูกค้าจาก สถาบันเงินทุน โรงแรม สินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า และสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ ทำให้เกิดการขยายตัวของกลุ่มธุรกิจอื่น เช่น ธุรกิจโฆษณาโดยใช้สื่อผ่านดาวเทียม

1.2 บริการเคเบิลทีวี (CABLE TV) เป็นการดำเนินการให้บริการโทรทัศน์ระบบบอกรับเป็นสมาชิกโดยการเสียค่าติดตั้งค่าสมาชิกรายเดือนซึ่งต้องขอสัมปทานกับองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันเป็นการส่งสัญญาณแบบไมโครเวฟ ทำให้มีปัญหาในเรื่องขีดจำกัดการส่งสัญญาณแต่เมื่อมีสื่อดาวเทียมเข้ามาบริษัท จะหันไปใช้สื่อแบบดาวเทียมซึ่งจะทำให้มีประสิทธิภาพในการส่งสัญญาณเคเบิลทีวีสูงขึ้นทั้งนี้ บริษัทที่ให้บริการอยู่คือ บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล บรอดเคสติ้ง จำกัด และบริษัทไทยสกายทีวี จำกัด

1.3 บริการรับสัญญาณโทรทัศน์จากต่างประเทศโดยตรงผ่านดาวเทียมที่ผู้ใช้สามารถติดตั้งจานรับดาวเทียมขนาดเล็ก ในการรับสัญญาณจากสถานีโทรทัศน์ต่างประเทศไว้ที่บ้านส่วนบุคคล ซึ่งสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจดังเช่นปัจจุบันนี้ ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นมิใช่เฉพาะภายในประเทศเท่านั้นที่มีผลกระทบ แต่รวมถึงภาวะภายนอกประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง การปกครอง การทหาร การเงิน ฯลฯ ของประเทศหนึ่งประเทศใดในโลก ย่อมส่งผลกระทบต่อธุรกิจในประเทศไม่มากก็น้อย

การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจึงส่งผลต่อความจำเป็นในการติดต่อหรือรับส่งข่าวสารให้ทันต่อเหตุการณ์นั้น เพื่อให้การปรับเปลี่ยนหรือรองรับสถานการณ์นั้นๆ ให้มีผลกระทบต่อธุรกิจน้อยที่สุดเครื่องมือสื่อสารจึงมีบทบาทมากขึ้นและในช่วงภาวะเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นข่าวการเมืองภายในประเทศที่ไม่มีการเปิดเผยภาพข่าวที่เป็นจริง อีกทั้งความต้องการรับข่าวภายนอกประเทศให้ฉับไวต่อสถานการณ์ได้เพิ่มขึ้นการสื่อสารผ่านดาวเทียมจึงมีบทบาทมากขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เป็นของใหม่สำหรับโลกใบนี้ แต่มันเป็นสื่อใหม่สำหรับคนไทยที่สามารถได้รับสิทธิ์การมีอุปกรณ์ดาวเทียมเป็นของตนเอง

2. ระบบวิทยุกระจายเสียง (RADIO DISTRIBUTION&RELAY)

ผู้ใช้บริการสามารถรับสัญญาณเสียงได้โดยตรงหรือรับสัญญาณเสียงผ่านสถานีทวนสัญญาณนอกจากนั้นยังสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการสื่อสารเช่น ระบบวิทยุติดตามตัว เช่น แพ็คลิ้งค์ ฮัทชิสันเพจโฟน และ บริษัท แมทริกซ์ เทเลคอมมิวนิเคชั่น จำกัด ที่ให้บริการ "EAST CALL" ทั้งนี้เป็นระบบที่ใช้ระบบดาวเทียมอยู่และกำลังจะปรับมาใช้ระบบดาวเทียม เป็นการปรับตัวให้ทันเทคโนโลยีที่ทันสมัยในการเชื่อมโยงในการติดต่อให้มีประสิทธิภาพขึ้น

3. ระบบโทรศัพท์ (SATELLITE TELEPHONY)

สามารถเชื่อมโยงเครือข่ายโทรศัพท์จากชุมสายในภูมิภาคที่ห่างไกลต่างๆ เข้าด้วยกันอย่างทั่วถึงโดย ประหยัดและใช้อุปกรณ์ขนาดเล็ก ซึ่งหน่วยงานทั้งการสื่อสารแห่งประเทศไทย และองค์การโทรศัพท์ก็ใช้บริการผ่านดาวเทียมอยู่ด้วย นอกจากนั้นก็ยังสามารถปรับใช้กับโทรศัพท์มือถือทั้งระบบ CELLULAR 900 และระบบ AMP 800 ได้ ซึ่งกำลังให้บริการอยู่ในปัจจุบันด้วย

4. การสื่อสารข้อมูล (SATELLITE COMMUNICATION NETWORK&VSAT)

บริการสื่อสารผ่านดาวเทียมนั้นจะสามารถทำให้การติดต่อระหว่างกันในการรับและส่งข้อมูลระหว่างจุดหนึ่งกับอีกจุดหนึ่งได้กว้างขวาง ทำให้ระบบข้อมูลสามารถต่อเนื่องกันจากระบบคอมพิวเตอร์ในที่ต่างๆ สามารถต่อเชื่อมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงรวดเร็ว และแม่นยำซึ่งการใช้สื่อดาวเทียมทำให้มีรูปแบบบริการได้กว้างขวางโดยสามารถส่งข้อมูลได้ทั้งรูป เสียง ภาพ และข้อมูลพร้อมกัน ซึ่งระบบการส่งข้อมูลผ่านดาวเทียมมีดังนี้คือ

1. ระบบ VSAT (VERY SMALL SATELLITE) คือการสื่อสารข้อมูลผ่านดาวเทียมโดยใช้สถานีภาคพื้นดินขนาดเล็กซึ่งมีบริษัทที่ได้รับสัมปทานดำเนินงาน 3 บริษัทคือ บริษัท COMPUNET CORPORATION บริษัท SAMART TELCOMS และบริษัท THANAYONG ซึ่งทำให้มีการ ส่งข้อมูลด้านรายงานหุ้น วิทยุติดตามตัว และรายงานข้อมูลด้านการเงิน โดยสามารถเชื่อมระบบกับคอมพิวเตอร์ได้

2. ระบบ ISBN หรือโครงการสื่อสารเพื่อบริการธุรกิจผ่านดาวเทียมที่มีบริษัท ACUMEN ได้รับสัมปทานการลงทุน ซึ่งจะสามารถให้บริการข้อมูลได้เป็นการเสริมบริการสื่อสารให้ธุรกิจได้โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ระบบโทรศัพท์ยังเข้าไม่ถึงซึ่งจะสามารถสนองความต้องการในธุรกิจที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล เช่น โรงแรม รีสอร์ต หรือโรงงานอุตสาหกรรม

การบริการ VIDEO CONFERENCING

VIDEO ONFERENCING เป็นการประชุมร่วมกันโดยส่งสัญญาณผ่านดาวเทียมได้ทั้งภาพและเสียงของผู้ประชุมจากที่ห่างไกลกันผ่านทางจอภาพได้เป็นการประหยัดและมีประสิทธิภาพเป็นอย่างมาก และบริการส่งโทรสาร (FAX) ที่สามารถทำได้ในความเร็วสูง ซึ่งผู้ให้บริการในรูปแบบนี้ เช่น บริษัทชินวัตรแซทเทลไลท์, บริษัท อคิวเม้นท์ และบริษัท ธนายง จำกัด

ผู้ใช้คือใคร

1. ธุรกิจธนาคาร

ในธุรกิจธนาคารมีการสื่อสารข้อมูลในรูปคอมพิวเตอร์แบบออนไลน์ระหว่างสาขาของแบงก์โดยใช้สายโทรศัพท์และระบบเคเบิลใต้น้ำ ปัจจุบันมีการนำระบบสื่อสารดาวเทียมมาใช้เพื่อการออนไลน์ข้อมูลเป็นระบบสำรองการใช้สายโทรศัพท์ทำให้สามารถตัดปัญหาการมีสัญญาณรบกวน นอกจากนี้ยังสามารถส่ง ข่าวสารไปในพื้นที่ที่สายโทรศัพท์ยังเข้าไปไม่ถึงเป็นการแก้ปัญหาด้านการสื่อสารของธนาคาร ระบบสื่อสารผ่านดาวเทียมที่ธนาคารเป็นกลุ่มเป้าหมายคือธนาคารคือ ระบบ VSAT ปัจจุบันธนาคารต่าง ๆ กันมาใช้บริการกันมาก เช่น ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ นอกจากนั้นธนาคารยังใช้บริการสื่อสารโทรคมนาคมทางการเงินระหว่างประเทศหรือ เรียกว่า SWIFT เป็นการเชื่อมโยงจากศูนย์กลางไปยังศูนย์ย่อยในประเทศต่าง ๆ ด้วยการสื่อสารผ่านดาวเทียม ทำให้เกิด ความปลอดภัย รวดเร็ว ในการทำธุรกิจได้คล่องตัว เช่น ด้านการนำเข้าส่งออก การขอ L/C การส่งตั๋วแลกเงิน หรือ DRAFT และการ MONEY ORDER ทำให้การบริการมีประสิทธิภาพขึ้น

2. ตลาดเงินทุน

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้เลือกใช้ระบบสื่อสารข้อมูลผ่านดาวเทียมในระบบ VAST เพื่อใช้เป็นระบบสื่อสารสำรอง ในการเชื่อมโยงการสื่อสารและการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการซื้อขายราคาหุ้น การสั่งซื้อ ขาย ยืนยัน และโอนหลักทรัพย์ ระหว่างตลาดหลักทรัพย์กับบริษัทสมาชิกทั้ง 40 แห่งและระหว่างบริษัทสมาชิกกับสาขารวมทั้งประชาชนทั่วไป โดยการติดตั้งจานรับสัญญาณและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ทำให้เป็นประโยชน์แก่นักลงทุนที่สามารถรับทราบข่าวสารได้รวดเร็ว

3. กลุ่มธุรกิจที่มีเครือข่ายจำนวนมาก

กลุ่มบริษัทที่มีสาขาจำนวนมากนั้นจะมีปัญหาในการติดต่อข่าวสารระหว่างสาขาต่างๆ ซึ่งจำเป็นต้องมีระบบสื่อสารที่มีความรวดเร็วทันสมัย ที่พร้อมจะให้บริการได้ทั้งนี้ลักษณะการสื่อสารผ่านดาวเทียมมีความสามารถส่งข่าวสารทั้ง ข้อมูล ภาพ เสียง ซึ่งเป็นที่ยอมรับแก่บริษัททั้งหลายทั้งนี้ยังช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนบริการการสื่อสารได้นโยบายของรัฐบาลต่อธุรกิจสื่อสาร

- รัฐเริ่มผ่อนคลายการควบคุม

รัฐบาลทำการผูกขาดโครงการบริการสื่อสารโทรคมนาคมไว้ให้หน่วยงานของรัฐ ทำให้การลงทุนด้านบริการสื่อสารไม่สามารถทำได้เพียงพอ อีกทั้งการขาดประสิทธิภาพในการบริหารและการบริการของรัฐที่ยังไม่ได้มาตรฐานสากลพอที่จะตอบสนองต่อระดับความต้องการได้ทำให้ไม่สามารถแข่งขันได้ทั้งด้านคุณภาพและราคา รวมทั้งนโยบายด้านโทรคมนาคมของรัฐที่ผ่านมายังขาดการวางแผนระยะยาวที่จะแก้ปัญหาต่าง ๆ ทำให้ไทยประสบปัญหาขาดสาธารณูปโภคด้านการสื่อสาร

- รัฐเริ่มผ่อนคลายการควบคุม

เนื่องจากปัญหาที่รัฐบาล ไม่สามารถสนองความต้องการด้านการสื่อสารได้เพียงพอ จึงมีนโยบายเร่งพัฒนาการสื่อสารโดยการเปิดโอกาสให้เอกชนได้เข้ามาร่วมลงทุนในโครงการการสื่อสารมากขึ้น และพยายามปรับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 7 (2535-2539) ให้ได้ตามวัตถุประสงค์คือการรักษาความเจริญเติบโตและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และการกระจายรายได้การพัฒนาไปสู่ภูมิภาค

- สาระสำคัญของแผนพัฒนาฯ นั้นได้กำหนดเป้าหมายด้านการสื่อสารของไทยไว้ดังนี้คือ

1. ปรับปรุงกฎหมายและระเบียบด้านการสื่อสารให้ทันสมัยและเอื้ออำนวยต่อธุรกิจ

2. จัดทำแผนแม่บทระยะ 10 ปีในการเป็นกรอบและทิศทางพัฒนาการสื่อสารให้ต่อเนื่องและมี

เป้าหมาย รวมถึงการพัฒนาองค์กรด้านการพัฒนาเทคโนโลยี การผลิต การพัฒนาบุคลากร การพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ และการปรับปรุงระบบการบริหารและการดำเนินงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการอีกทั้งการเพิ่มการผลิตบุคลากรด้านการสื่อสารให้เพียงพอ

3.ปรับโครงสร้างราคาค่าบริการสื่อสารให้สอดคล้องกับต้นทุนและสนับสนุนการลงทุน เพื่อความสามารถในการแข่งขัน

4. ส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยการพัฒนาเทคโนโลยีโทรคมนาคม และสนับสนุนการนำผลงานวิจัยมาใช้ประโยชน์ในการพาณิชย์

5. จัดทำแผนสารสนเทศแห่งชาติเพื่อส่งเสริมใช้วิทยาการสารสนเทศและเป็นแนวทางพัฒนาอุตสาหกรรมด้านสารสนเทศ

6. บริหารความถี่วิทยุให้มีประสิทธิภาพและเน้นการขยายและยกระดับคุณภาพ โดยให้ความสำคัญกับพื้นที่เขตอุตสาหกรรม เขต ธุรกิจการค้า และแหล่งท่องเที่ยวสนับสนุนการจัดตั้งเขตบริการโทรคมนาคมและสารสนเทศในเขตเศรษฐกิจเฉพาะ (TELEPORT) ซึ่งมีความจำเป็นให้เพียงพอ เพื่อความสะดวกคล่องตัวและหลีกเลี่ยงการลงทุนซ้ำซ้อน

- กฎหมายเกี่ยวกับโทรคมนาคมมีด้วยกัน 4 ฉบับ คือ

1. พระราชบัญญัติโทรเลขและโทรศัพท์ พ.ศ. 2477

2. พระราชบัญญัติองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2497

3. พระราชบัญญัติการสื่อสารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2519

4. พระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. 2497

เพื่อให้กฎหมายเข้ามามีส่วนในการช่วยสนับสนุนธุรกิจโทรคมนาคมนั้นจึงได้มีการพยายาม ปรับปรุงกฎหมายให้มีความทันสมัยขึ้นเพื่อสอดคล้องกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป และเปิดโอกาสให้เอกชนเข้ามาร่วมลงทุนในการบริการด้านการสื่อสารบริการหลักและสนับสนุนเอกชนให้มีบทบาทการลงทุน และดำเนินการในบริการเสริมให้มากขึ้น

สรุปและแนวโน้ม

1. การเปิดโอกาสในการลงทุนและการแข่งขัน

สำหรับสถานการณ์ทางด้านโทรคมนาคมในขณะนี้ จะเห็นว่ามีโอกาสดีตั้งต่อผู้ประกอบธุรกิจ และต่อผู้ใช้มากเนื่องจากสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย โดยเฉพาะรัฐบาลเปิดโอกาสทองให้เอกชนเข้ามาลงทุนซึ่งสิ่งนี้จะเป็นแรงดึงดูดให้ธุรกิจเข้ามาแข่งขันกัน ทางรัฐบาลมีสิทธิเลือกบริษัทที่ให้ผลตอบแทนแก่รัฐบาลได้มากที่สุดซึ่งผลประโยชน์นี้ก็จะตกแก่ประชาชนด้วย เพราะข้อกำหนดจากรัฐบาลที่เข้ามาควบคุมด้านราคา และคุณภาพซึ่งสภาพการณ์นี้ทำให้บริษัทเอกชนที่มาประมูลนั้นต้องมีความพร้อมด้านเงินทุน และเทคโนโลยี รวมทั้งความสามารถด้านการบริหาร การจัดการ ที่เหนือกว่าคู่แข่งเพื่อสามารถชนะการประมูลได้ ทั้งนี้ทำให้บริษัทที่เข้ามาประมูลมักจะมีการร่วมทุนกับต่างประเทศ หรือต้องพึ่งพิงด้านต่าง ๆ เช่น เทคโนโลยี และเงินทุนจากต่างประเทศ ทั้งนี้เป็นประโยชน์ต่อประเทศมากในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจที่ทำได้รวดเร็ว และเป็นการสร้างพื้นฐานการลงทุนต่อไปในธุรกิจอื่นด้วย การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศโดยรวมสามารถทำได้รวดเร็วและต่อเนื่อง

2. โครงการสื่อสารดาวเทียมสามารถเป็นฐานการลงทุนในธุรกิจโทรคมนาคม

โครงการดาวเทียมแห่งชาติ "ไทยคม" นี้ได้รับอนุมัติจากกระทรวงคมนาคมเนื่องจากความจำเป็นด้านการสื่อสารของไทยที่มีความต้องการพัฒนาการใช้งานให้มีประโยชน์สูงสุดที่จะสามารถตอบสนองความต้องการได้มากที่สุด และครบวงจรทั้งจากด้านรูปแบบและการประยุกต์ใช้ดูได้จากตัวโครงการดาวเทียม ซึ่งมูลค่าการลงทุนเริ่มต้น 5,000 ล้านบาทเป็นเงินลงทุนที่เทียบกับโครงการอื่นแล้วไม่สูงนักแต่สามารถทำให้การพัฒนาหรือการริเริ่มโครงการใหม่ ๆ ที่ใช้ดาวเทียมเป็นสื่อสามารถทำได้มากเช่น การอนุมัติโครงการสื่อสารผ่านดาวเทียมขนาดเล็ก (VSAT), โครงการสื่อสารเพื่อบริการธุรกิจผ่านดาวเทียม (ISBN) และโครงการอื่น ๆ ในหลาย ๆ บริการซึ่งล้วนมีมูลค่าจำนวนสูงซึ่งโครงการเหล่านี้ยังสามารถมีธุรกิจสืบต่ออีกมากทั้งในรูปโทรศัพท์ วิทยุ โทรทัศน์ และบริการใหม่ ๆ ที่จะเป็นตัวแพร่กระจายความเจริญไปสู่ประชาชนได้มาก ถึงแม้ผู้ใช้บริการเหล่านี้ได้จะเป็นผู้มีฐานะที่ดีแต่จะเป็นการพัฒนาการไหลเวียนการลงทุนไปสู่ส่วนรวมของประเทศด้วย

3. การเพิ่มขึ้นของการแข่งขันในธุรกิจโทรคมนาคม

การแข่งขันในธุรกิจมีความรุนแรงเพราะคู่แข่งแต่ละคนมีกำลังเงินและความพร้อมด้านต่าง ๆ ซึ่ง ในโครงการดาวเทียมไทยคมนั้น บริษัท ชินวัตร คอมพิวเตอร์แอนด์ คอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด นั้นเป็นบริษัทคนไทยที่มีความได้เปรียบด้านการติดต่อกับหน่วยงานราชการเป็นอย่างดี เนื่องจากโครงการต่าง ๆ นั้น ต้องอาศัยความสัมพันธ์กับราชการทั้งสิ้นเนื่องจากทางราชการเป็นเจ้าของโครงการต่าง ๆ โดยมีบริษัทที่ได้รับสัมปทานเป็นผู่ดำเนินงาน ซึ่งนอกจากโครงการไทยคมแล้วยังมีโครงการบริการสื่อสารผ่านสื่ออื่น ๆ อีกมากโดยต้องได้รับอนุมัติจาก 3 หน่วยงานหลักคือ การสื่อสารแห่งประเทศไทย องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย และกรมไปรษณีย์โทรเลย ซึ่งมูลค่าการลงทุนรวมของสัมปทานที่ได้รับอนุมัติจากหน่วยงานเหล่านี้มากกว่า แสนล้านบาทบริษัทที่ได้รับสัมปทานไปจะได้รับประโยชน์ต่อการลงทุนไปสูงมากและยิ่งเป็นตัวดึงดูดให้มีการแข่งขันในการประมูลยิ่งขึ้น

หลังจากที่ชนะการประมูลสัมปทานแล้วบริษัทต่างๆ ต้องมีการทำการประชาสัมพันธ์โครงการของตนให้เป็นที่รู้จัก และได้รับการยอมรับจากประชาชนด้วย ทั้งนี้ต้องมีการทำตลาดให้แข็งเพราะว่าเป็นการเปิดตลาดใหม่ที่ต้องอาศัยความยอมรับจากผู้บริโภคก่อน และต้องแข่งขันกับบริษัทที่ได้รับสัมปทานการสื่อสารในรูปแบบคล้ายคลึงกันด้วย เช่น โฟนลิ้งค์ กับ เพจโฟน หรือต้องแข่งขันกับบริษัทที่ได้รับสัมปทานในรูปแบบอื่นด้วย เช่น ระบบ DATANET กับ VSAT ในโครงการดาวเทียมแห่งชาติ "ไทยคม" นั้นเป็นรูปแบบผูกขาดในระยะเวลา 8 ปี ที่จะไม่มีคู่แข่งขันรวมทั้งหน่วยงานต่าง ๆ ต้องมาใช้บริการของไทยคมด้วยเป็นความได้เปรียบซึ่งถ้าพ้นระยะ 8 ปี แล้วจะสามารถมีการแข่งขันได้ ซึ่งต้องพิสูจน์ บริษัทชินวัตรฯ ในด้านการทำตลาดเพราะถึงแม้ว่าจะไม่มีคู่แข่งที่จะทำดาวเทียมขึ้นมาแต่ยังมีสื่ออื่นที่สามารถให้บริการด้านการสื่อสารได้ เช่น เคเบิลใยแก้ว ที่เป็นโครงการที่ได้รับอนุมัติเพื่อเริ่มดำเนินการด้วย นอกจากนั้นการทำตลาดในต่างประเทศยังต้องแข่งขันกับดาวเทียมสื่อสารของประเทศต่าง ๆ เช่น PALAPA ของอินโดนีเซีย, ASIASAT ของ ฮ่องกง, ดาวเทียม ซากุระ ของญี่ปุ่น รวมทั้งดาวเทียม INTELSAT ที่เปิดให้บริการในภูมิภาคเอเชียและทั่วโลกอีกทั้งต้องคำนึงด้านนโยบายของประเทศในเอเชียด้วย เช่น นโยบายปล่อยเอกชนทำธุรกิจด้านโทรคมนาคมในประเทศฮ่องกง และประเทศญี่ปุ่น ซึ่งถ้าเราต้องการที่จะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของโทรคมนาคมของภูมิภาคเอเชียตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 7 ต้องคำนึงถึงการแข่งขันระหว่างประเทศด้วย

4. ความได้เปรียบของเจ้าของโครงการสัมปทานต่อธุรกิจโทรคมนาคม

บริษัทชินวัตรฯ นั้นมีธุรกิจด้านโทรคมนาคมที่มีเครือข่ายกว้างขวางมาก ซึ่งแต่ละธุรกิจสามารถสร้างมูลค่าให้สูงมากและดาวเทียมไทยคมที่จัดสร้างนั้นจะสามารถให้บริการได้ในประเทศได้เพียงพอต่อความต้องการภายในประเทศของหน่วยงานต่าง ๆ ซึ่งดาวเทียมไทยคมเป็นระบบดาวเทียมสำรองที่สามารถมีช่องสัญญาณดาวเทียมใหห้บริการได้ทั้งดาวเทียมดวงแรกและดาวเทียมสำรอง ซึ่งเมื่อให้บริการที่เพียงพอ ต่อความต้องการในประเทศแล้วยังสามารถให้บริการแก่บริษัทในเครือที่จะพัฒนาระบบการสื่อสารให้มาใช้ระบบดาวเทียม ซึ่งจะพัฒนาประสิทธิภาพการทำงานได้สูงขึ้นอีกทั้งสามารถลดต้นทุนได้จำนวนมากซึ่งเป็นความได้เปรียบต่อธุรกิจที่แท้จริงของบริษัทชินวัตรฯ ทั้งด้านเทคโนโลยี และด้านการประหยัดนอกจากนั้นช่องสัญญาณดาวเทียมที่เหลือสามารถให้บริการในระดับต่างประเทศได้ด้วยโดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งเป็นตลาดเป้าหมายอยู่

นอกจากนั้นแล้วยังมีบริษัทอื่นๆ ที่ได้รับสัมปทานจากหน่วยงานของรัฐบาลทั้ง 3 แห่ง เช่น บริษัทธนายง, บริษัทล็อกซเล่ย์และบริษัทอื่น ๆ ที่มีเครือข่ายธุรกิจโทรคมนาคมกว้างขวางอยู่แล้วอีกทั้งยังเป็นการร่วมทุนกับบริษัทต่างประเทศที่มีความชำนาญด้านเทคโนโลยีระดับสูง ซึ่งโครงการสัมปทานนั้นส่วนใหญ่มีระยะเวลานานประมาณ 15-20 ปี ซึ่งในช่วงนี้ต้องมีการลงทุนสูงทั้งด้านอุปกรณ์และด้านระบบ ซึ่งในระหว่างนั้นบริษัทที่ได้สัมปทานได้รับการคุ้มครองจากหน่วยงานเจ้าของสัมปทานทำให้สามารถสร้างเครือข่ายธุรกิจได้กว้างยิ่งขึ้น โดยนอกจากจะนำไปใช้กับธุรกิจในสาขาของตนเองแล้วยังเป็นการกีดกันการเข้ามาในธุรกิจทีหลังซึ่งจะเสียเปรียบเป็นอย่างมาก ทั้งทางด้านตลาดที่ผู้เข้ามาในตลาดช่วงแรกจะได้ส่วนครองตลาดไป อีกทั้งอาณาจักรธุรกิจที่จะถูกครอบครองเกือบทั้งหมดด้วย

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us