Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน6 กุมภาพันธ์ 2551
ตลาดมั่นใจกำไรบจ.ปีนี้ฟื้น แบงก์พุ่งหมดภาระตั้งสำรอง             
 


   
search resources

Stock Exchange




ตลท.คาดกำไรสุทธิบจ.ปี 50 ลดลง 13% จากปี 49 ที่มีกำไรสุทธิรวม 4.69 แสนล้านบาท เหตุต้นทุนการดำเนินงานเพิ่ม-การบริโภคชะลอตัว “วิเชฐ” คาดกำไรบจ.ปี51โตกว่าปีก่อน ขณะที่โบรกเกอร์ประเมินกำไรบจ.ปีนี้โต20% ระบุกลุ่มแบงก์กำไรโตโดดเด่นสุดเหตุไม่ต้องตั้งสำรอง ทั้งยังได้อานิสงส์จากนโยบายลงทุนโครงการเมกะโปรเจกต์

นายวิเชฐ ตันติวานิช รองผู้จัดการ สายงานศูนย์ระดมทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า กำไรของบริษัทจดทะเบียนในปี2550 มีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลง13% จากปี 2549 ซึ่งมีกำไรสุทธิรวม 469,354 ล้านบาท เนื่องจาก ช่วง 9 เดือนแรก 2550 เมื่อเทียบกับ 9 เดือน 2549 นั้นปรับตัวลดลง 13% จึงคาดว่าทั้งปีกำไรสุทธิน่าจะปรับตัวลดลงในระดับดังกล่าว เนื่องจากได้รับผลกระทบจากต้นทุนการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นไม่ว่าจะเป็นราคาน้ำมันในยังอยู่ในระดับสูงรวมถึงอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมที่เพิ่มขึ้น และการบริโภคในประเทศที่ชะลอตัว

ทั้งนี้คาดว่ากำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนในปี 2551 มีอัตราการเติบโตของกำไรจะที่สูงกว่าปี 2550 ซึ่งนักวิเคราะห์ประเมินว่ากำไรสุทธิปีนี้จะเพิ่มขึ้นประมาณ 20% จากปี 2550 เนื่องจากเชื่อว่าภาคเอกชนมีการปรับตัวได้ดีขึ้น แม้ว่าต้นทุนการดำเนินงานจะใกล้เคียงกับปี 2550 โดยคาดว่าราคาน้ำมันในปีนี้จะปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่สูงมาก โดยคาดว่าจะไม่ถึง 100 เหรียญฯต่อบาร์เรล ในส่วนของอัตราแลกเปลี่ยนนั้นเชื่อว่าทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะมีการดูให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ส่วนในเรื่องของอัตราดอกเบี้ยนั้นทาง ธปท.น่าจะพิจารณาเพื่อกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศ

สำหรับบริษัทจดทะเบียนที่จะมีการเติบโตของกำไรสุทธิที่สูงสุด คือ กลุ่มธนาคาร เนื่องจากในปีที่ผ่านมาได้มีการตั้งสำรองฯที่สูง ประกอบจะได้ประโยชน์จากรัฐบาลจะมีการเดินหน้าการลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐาน (เมกะโปรเจกต์) ซึ่งจะทำให้ธนาคารพาณิชย์มีการปล่อยกู้มากขึ้น โดยในขณะนี้ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)หรือ BBL มีการประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก เพื่อที่จะระดมเงินฝากให้มากขึ้น เพื่อรองรับการปล่อยกู้ในอนาคต ทำให้เชื่อว่าธนาคารพาณิชย์อื่นๆก็จะมีการประกาศปรับขึ้นดอกเบี้ยเช่นเดียวกัน

“กำไรบจ.ปี 51 คาดโตดีกว่าปี 50 จากที่จะปรับตัวลดลง 13% จากปี49 เพราะภาคเอกชนมีการปรับตัวได้แล้ว ส่วนเรื่องราคาน้ำมัน ค่าเงินบาทนั้นจะไม่เป็นปัญหากับบจ.เนื่องจากคาดว่าราคาน้ำมันไม่น่าปรับตัวแตะ100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ขณะที่ต้นทุนการดำเนินงานต่างๆจะเหมือนกับปีที่ผ่านมา ซึ่งหุ้นกลุ่มที่จะมีกำไรโดดเด่นคือ แบงก์ และหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่จะได้ประโยชน์จากการลงทุนโครงการภาครัฐ ”นายวิเชฐ กล่าว

นายวิเชฐ กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาบทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ฯต่างๆแนะนำลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคาร ซึ่งในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมาหุ้นกลุ่มธนาคารก็มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจำนวนมากเช่นกัน โดยบล.บางแห่งประเมินกว่ากำไรสุทธิของหุ้นกลุ่มแบงก์ปีนี้จะโตได้ถึง 50-60% นอกจากนี้หุ้นที่จะได้รับประโยชน์อีกจากการลงทุนของภาครัฐคือ หุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง

สำหรับหุ้นกลุ่มส่งออกส่วนตัวมองว่าปีนี้ไม่น่าเป็นห่วง เพราะบริษัทส่งออกน่าจะมีการปรับตัวได้แล้วจากปัญหาอเมริกาที่มีการส่งสัญญาณมานานแล้ว รวมถึงค่าเงินและราคาน้ำมัน โดยมองว่ายอดการส่งออกไปอเมริกาในปีนี้จะปรับตัวลดลงแต่จะเพิ่มขึ้นในประเทศในแถบเอเชียมากขึ้น

ทั้งนี้ส่วนตัวมองว่ารัฐบาลใหม่จะมีการเน้นกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจหลังรัฐบาลชุดก่อนนี้ไม่มีนโยบายในการกระตุ้นเศรษฐกิจมากนัก

อย่างไรก็ตามจากที่มีมองว่าผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการรวมถึงรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังนั้นไม่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับเศรษฐกิจนั้น ส่วนตัวมองว่าการทำงานนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับบุคคลคนเดียวแต่จะต้องอาศัยการทำงานเป็นทีมที่จะช่วยทำให้เศรษฐกิจของไทยมีการเติบโตที่มั่นคง   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us