หากเอ่ยถึง "คู่กัด" ในสมาคมธุรกิจแล้ว คู่กัดที่เป็นมหาอมตะนิรันตร์กาลคู่หนึ่งน่าจะได้แก่คู่ของโค้กกับเป๊ปซี่ที่ทุกแห่งในโลก
ทั้งค่ายโคคาโคล่า และค่ายเป๊ปซี่-โคล่าต่างก็งัดกลยุทธ์ทางการตลาดมาต่อกรกันอย่างดุเดือด
สำหรับเมืองไทยนั้นคู่กัดระหว่างค่ายน้ำดำทั้งสอง ก็ดุเดือดไม่แพ้ที่ไหนในโลก
ในการเผชิญหน้ากัน ระหว่างค่าย "ไทยน้ำทิพย์" ในฐานะตัวแทนจำหน่ายโค้กกับ
"เสริมสุข" ตัวแทนจำหน่ายเป๊ปซี่ในไทย
สงครามค่ายทั้งสองมีทั้งการดึงศิลปิน นักกีฬามาเผชิญหน้ากันในฐานะ PRESENTER
ของแต่ละค่าย
แต่ในตลาดน้ำดำนั้น มีพื้นที่หนึ่งที่ต่างจากพื้นที่อื่นนั่นคือภาคใต้
!!
เพราะบังเอิญตัวแทนน้ำดำของโคคา-โคล่า อินเตอร์เนชั่นแนลในภาคใต้นั้นได้แก่
"หาดทิพย์" ไม่ใช่ "ไทยน้ำทิพย์" อย่างภาคอื่น ๆ
ตำนานของหาดทิพย์นั้นเริ่มจากการเข้าไปเป็นตัวแทนจำหน่ายน้ำดื่มของค่ายโคคา-โคล่าแห่งสหรัฐอเมริกาของหลวงศุภชลาศรัยในนามบริษัท
"นครทิพย์" แต่จากการที่มีปัญหาบางประการ กลุ่มผู้ถือหุ้นปัจจุบันจึงได้มีการรวบรวมทุนตั้งเป็นบริษัท
"ไทยธนา" เข้าไปบริหารในปี 2517 และซื้อกิจการของนครทิพย์ แล้วเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท
"หาดทิพย์" ขึ้นเมื่อ 3 ตุลาคม 2521 จนกระทั่งปัจจุบัน และเข้าจดทะเบียนซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นบริษัทภูมิภาคบริษัทต้น
ๆ
หาดทิพย์เปลี่ยนผู้บริหารมาหลายคนจนปัจจุบันผู้บริหารสูงสุดคือ ร.ต. ไพโรจน์
รัตตกุล น้องชายพิชัย รัตตกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะกรรมผู้จัดการ
ร.ต. ไพโรจน์ กล่าวกับ "ผู้จัดการ" ว่าตลาดของน้ำดื่มในภาคใต้นั้น
เป็นตลาดที่เล็กมากเมื่อเทียบกับตลาดอื่น ๆ เพราะภาคใต้ มีประชากรเพียงแค่
6 ล้านคนโดยประมาณ ในขณะที่ภาคอีสาน มีประชากรนับสิบล้าน จึงเป็นตลาดที่ใหญ่มาก
การทำตลาดของหาดทิพย์ ในฐานะที่เป็นตัวแทนที่แปลกแยกของโคคา-โคล่าอินเตอร์
จึงไม่ได้เป็นเช่นเดียวกับไทยน้ำทิพย์ รายการพรีเมียมต่าง ๆ ของไทยน้ำทิพย์มีข้อผูกมัดตามสัญญากับโคคา-โคล่าอินเตอร์เนชั่นแนลตั้งหาดทิพย์เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มของบริษัทยกเว้นการนำเข้าของหาดทิพย์
เช่นกรณีโค้กแคน ที่หาดทิพย์ไม่มีการผลิตเองเพราะตลาดแคบเกินที่จะลงทุนในสินค้าตัวดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาแม้จะไม่ได้รับสิทธิ์สำหรับดื่มแต่ค่ายหาดทิพย์
ได้รับประโยชน์ในเรื่องการประชาสัมพันธ์หรือโฆษณาของไทยน้ำทิพย์เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
นับตั้งแต่เครือข่ายของทีวีแต่ละช่องครอบคลุมพื้นที่มากขึ้น
ตลาดเล็ก ๆ แห่งนี้ในสายตาของเสริมสุขเอเย่นต์ค่ายเป๊ปซี่ไม่ใช่ตลาดเล็กอีกต่อไปแล้ว
!!
วันนี้ เสริมสุขจึงเตรียมบุกตลาดภาคใต้ครั้งใหญ่
สำหรับที่ผ่าน ๆ มานั้นไม่ว่าจะด้วยการมองตรงกับไพโรจน์ ที่ว่าตลาดภาคใต้เป็นตลาดที่เล็กหรือไม่ก็ตาม
แต่ตลาดนี้ นับเป็นจุดบอดมาโดยตลอดของเสริมสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครือข่ายการเป็นแขนขาในการกระจายสินค้า
เพราะตลาดที่มีผู้ดื่มเพียง 6 ล้านคนนั้น เสริมสุขเองก็รู้ว่าไม่คุ้มที่จะลงทุนตั้งโรงงานอย่างหาดทิพย์ที่มีโรงงานอยู่ที่หาดใหญ่
ปัญหาของเสริมสุขมีเพียงว่า จะหาใครที่มีเครือข่าย และแขนขาไม่ด้อยกว่าเครือข่ายของหาดทิพย์
ที่ตั้งหลักปักฐานในภาคใต้มานาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำโฆษณาที่ว่าหาดทิพย์เป็นบริษัทของคนใต้สร้างความสำเร็จให้กับหาดทิพย์มานาน
กระทั่งกล่าวกันว่าภาคใต้เป็นภาคเดียว ที่น้ำดื่มโค้กขายสูงกว่าเป๊ปซี่
มองไปมองมา เสริมสุขก็ตกลงใจเลือกบ้านซูซูกิ ว่าเหมาะสมที่จะเป็นเอเย่นต์ของตนใน
14 จังหวัดภาคใต้
"บ้านซูซูกิ" ของตระกูล "ลาภาโรจน์กิจ" ที่มีบุญเลิศ
ลาภาโรจน์กิจ อดีตประธานหอการค้าจังหวัดสงขลา 2 สมัยเป็นหัวเรือใหญ่ในภาคใต้นั้น
ยิ่งใหญ่ไม่แพ้ใคร เพราะในฐานะตัวแทนจักรยานยนต์ "ซูซูกิ" ใน 14
จังหวัดภาคใต้ (จนกระทั่งนำมาใช้เป็นชื่อบริษัท) นั้น แขนขาเครือข่ายที่มีดีลเลอร์เกือบ
100 แห่งที่กำลังขยายฐานออกไปเป็นดีลเลอร์สินค้าอื่น เช่นรถยนต์โตโยต้าคอมพิวเตอร์ไอบีเอ็ม
เครื่องไฟฟ้าซันโย วิทยุติดตามตัวฮัทชิสันทำให้บ้านซูซูกิในวันนี้เริ่มมั่นใจศักยภาพของตัวเองมากขึ้น
ว่าจะสามารถทำตลาดได้ในการรับเป็นตัวแทนเป๊ปซี่ได้
อภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้จัดการฝ่ายการตลาดเป๊ปซี่อินเตอร์กล่าวกับ "ผู้จัดการ"
ว่าการทาบทามเพื่อตั้งกลุ่มบ้านซูซูกิ ให้เป็นเอเย่นต์นั้นมีการเตรียมมานานแล้วแต่รายละเอียดคงต้องให้ทางบ้านซูซูกิเป็นผู้เปิดเผย
แหล่งข่าวในบ้านซูซูกิกล่าวกับ "ผู้จัดการ" ว่าการตั้งบริษัทเอเย่นต์ของเสริมสุขในครั้งนี้
ไม่สร้างความหนักใจกับบริษัทนัก และเชื่อว่าบริษัทที่จะให้ สุปัญญา ลาภาโรจน์กิจน้องชายของบุญเลิศเป็นผู้ดูแลงานนี้คงจะทำตลาดได้
เมื่อเสริมสุขรุก มีหรือที่หาดทิพย์จะรับเพียงฝ่ายเดียว !!
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนชื่อไพโรจน์ รัตตกุล บิ๊กบอสส์ใหญ่ของหาดทิพย์เองไม่มีทางที่จะเป็นฝ่ายตั้งรับให้คนอื่นมาบุกถึงถิ่น
หลายคนจึงค่อนข้างแปลกใจที่เมื่อปลายเดือนที่ผ่านมา ไพโรจน์ตอบรับปากที่รับตำแหน่งประธานสมาพันธ์การท่องเที่ยวจังหวัดสงขลา
ที่เจ้าตัวปฏิเสธมาหลายครั้งแล้วโดยอ้างว่าตนต้องการที่จะอยู่ "หลังฉาก"
มากกว่าที่จะออกมา "หน้าฉาก"
"ผมยินดีที่จะรับตำแหน่งเพราะไม่สามารถที่จะปฏิเสธการขอจากผู้ใหญ่ได้โดยเฉพาะผู้ใหญ่จากกองทัพ
ที่ต้องการเห็นการท่องเที่ยวหาดใหญ่ฟื้นจากสภาพตกต่ำ" ไพโรจน์กล่าววันรับตำแหน่ง
สำหรับการตั้งสมาพันธ์การท่องเที่ยวจังหวัดสงขลานี้เกิดขึ้นจากการรวมตัวกันของ
6 องค์กรภาคเอกชนในจังหวัดสงขลา คือ หอการค้าจังหวัดสงขลา สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดสงขลา
สมาคมโรงแรมหาดใหญ่-สงขลา สมาคมมัคคุเทศก์อาชีพจังหวัดสงขลา ชมรมภัตตาคารและร้าน
อาหารหาดใหญ่ และชมรมผู้ค้าปลีกหาดใหญ่ ร่วมกับหน่วยงานราชการคือ กองทัพภาค
4 (ค่ายคอหงส์-หาดใหญ่) สถานีตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา และอำเภอหาดใหญ่เมื่อปลายปีก่อน
และลงมติที่จะให้ไพโรจน์รับตำแหน่งเพราะเชื่อมั่นใน "พลัง" ที่เขามีกับ
"ผู้ใหญ่"
นักธุรกิจในหาดใหญ่คนหนึ่งกล่าวกับ "ผู้จัดการ" ว่าการรับตำแหน่งของไพโรจน์ครั้งนี้ก็เพื่อหาดทิพย์
กล่าวคือถึงเวลาแล้วที่กรรมการผู้จัดการหาดทิพย์จะต้องออกโรงมาอุทิศตนเพื่อสังคมบ้างโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
สังคมที่โรงงานตั้งอยู่อย่างสงขลา
จะว่าไปแล้ว ไพโรจน์ไม่ใช่คนที่ไม่เคยทำอะไรเพื่อสังคมเพราะอย่างน้อยตำแหน่งนายกสมาคมมวยสมัครเล่นแห่งประเทศไทย
ในสมัยกีฬาโอลิมปิคที่สหรัฐอเมริกานั้น ไพโรจน์เคยทำให้ไทยได้รับเหรียญเงินกีฬาโอลิมปิคมาแล้ว
แต่คราวนั้นความคิดของนักธุรกิจหาดใหญ่มองว่าไพโรจน์ ยังไม่ได้ทำเพื่อหาดใหญ่ตรงกันข้าม
คราวนี้เป็นจังหวะที่เหมาะสมที่สุดเพราะหาดใหญ่กำลังวิกฤติจริง ๆ อันเนื่องมาจากสถานการณ์การท่องเที่ยวตกต่ำเพราะหลายปัจจัย
การขอให้ไพโรจน์รับตำแหน่งประธานสมาพันธ์การท่องเที่ยวจังหวัดสงขลา จึงทำให้ไพโรจน์ต้องคิดหนักและในครั้งแรกเจ้าตัวเองต้องปฏิเสธ
เนื่องจากยังไม่ต้องการที่จะทุ่มเวลาให้กับงานสังคม เพราะเป็นที่รู้กันว่าท่องเที่ยวหาดใหญ่นั้นเป็นทุกลมหายใจของเศรษฐกิจทีเดียว
แต่ถึงวันนี้ไพโรจน์ต้องยอมรับตำแหน่งแล้ว
ด้วยเหตุผลอรรถาธิบายได้สั้น ๆ ว่า "ธุรกิจ" อันเนื่องมาจากการรุกตลาดของเสริมสุขที่ตั้งกลุ่มบ้านซูซูกิเป็นเอเย่นต์มาแข่งขันนั่นเอง
หมากนี้ของไพโรจน์ จึงไม่ใช่หมากธรรมดาเพราะเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัว
และยังไม่รู้ว่าการลงทุน "เปลืองตัว" ของไพโรจน์ครั้งนี้จะคุ้มหรือไม่เพราะตอนนี้
เขากำลังจะเสียมิตรทางธุรกิจไปกลุ่มหนึ่งแล้ว นั่นคือกลุ่มแม่บ้านซูซูกิ
ด้วยการที่หอการค้าจังหวัดสงขลา ซึ่งรู้ ๆ กันว่าเป็นทีมงานของบ้านซูซูกิเกือบทั้งสิ้นได้ปฏิเสธที่จะร่วมงานกับสมาพันธ์ไปเรียบร้อยแล้ว
ด้วยเหตุผลว่า หอการค้าฯ เป็นองค์กรนิติบุคคล ไม่สามารถร่วมงานกับองค์กรที่ไม่ใช่นิติบุคคลได้
หากแต่ลึก ๆ รู้กันว่าบ้านซูซูกิ "เปิดศึก" กับ "หาดทิพย์"
แล้ว
เลยต้องรอลุ้นกันว่างานนี้ใครจะชนะ "ศึกน้ำดำ" ระหว่างบ้านซูซูกิกับหาดทิพย์
หรือระหว่างหอการค้าจังหวัดสงขลากับสมาพันธ์การท่องเที่ยวจังหวัดสงขลาที่เพิ่งตั้งและมีไพโรจน์
เป็นหัวเรือหลัก
และบางทีหมากที่ไม่ธรรมดานี้ ไพโรจน์จะเปลืองตัวฟรีก็เป็นได้ !!!