อีโคคาร์อีกความหวังอุตฯรถยนต์ไทย ชี้ปี’ 52 ทุกค่ายเร่งเดินหน้าเต็มตัวหลังภาษีลดเหลือ 17% หวังสร้างยอดผลิตทะลุ1.8 ล้านคัน ยกระดับเป็น “ดีทรอยต์ ออฟ เอเชีย” เผยอีก 4 ยักษ์ใหญ่รอ BOI อนุมัติลงทุนอีโคคาร์อีกกว่า 20,000 หมื่นล้าน ขณะที่หุ้นนิคมฯดีดรับการขยายตัว ทั้งHEMRAJ , ROJANA , AMATA ขายที่ดินได้อย่างต่อเนื่อง
ท่ามกลางวิกฤตราคาน้ำมันที่พุ่งทะยานอย่างต่อเนื่องทั่วโลกและดูเหมือนจะไม่มีทางที่ราคาน้ำมันที่ขายในบ้านเราจะต่ำไปกว่านี้อีกแล้ว ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ในประเทศเริ่มเดินหน้าโครงการผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานหรือที่เรียกกว่า อีโอคาร์ ( ECO CAR) เพื่อตอบโจทก์วิกฤติปัญหาราคาน้ำมัน อีกทั้งด้วยราคาที่ต่ำกว่ารถกระบะ หรือ รถเก๋งทั่วไปทำให้ลูกค้าหน้าใหม่ที่รายได้น้อย แต่ต้องการมีรถยนต์ไว้ใช้ ต่างจับจองเป็นเจ้าของกัน ซึ่งในปี2552 อีโคคาร์จึงจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง สนนราคาที่ไม่ถึง 500,000 บาทในอนาคตอันใกล้นี้
สะพัด 5 หมื่นล.ลงทุนอีโคคาร์
สุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ โฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ปัจจุบันผู้ผลิตรถยนต์ทุกค่ายต่างให้ความสนใจที่จะลงทุนผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงาน หรืออีโคคาร์ ดูได้จากตัวเลขการขอรับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI
(คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน) ที่มีเม็ดเงินเกือบ 5หมื่นล้านบาท ซึ่งในปี 2550 ที่ผ่านมามีบริษัทรถยนต์ยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนผลิตโครงการอีโคคาร์ไปทั้งหมด 7 ยี่ห้อแต่มีเพียง 3 ยี่ห้อได้แก่ บริษัทฮอนด้า ออโต้มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ที่ได้รับการอนุมัติให้เป็นผู้ผลิตรายแรกโดยมีเงินลงทุนรวม 6,700 ล้านบาทกำลังการผลิต 120,000 คันต่อปี, บริษัท ซูซูกิมอเตอร์ คอร์ปเปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น มูลค่าการลงทุน 9,500 ล้านบาท และบริษัท สยามนิสสัน ออโต้โมบิล มูลค่าการลงทุน 5,500 ล้านบาท รวมแล้วบีโอไออนุมัติโครงการอีโคคาร์ไปแล้ว 3 ราย ส่วนอีก 4 ยี่ห้อจะมีการลงทุนประมาณ 25,000 ล้านบาท คือ โตโยต้า โฟล์คสวาเกน ทาทา และมิตซูบิชิ กำลังอยู่ระหว่างการรอพิจารณาของบอร์ด BOI ซึ่งยังไม่มีกำหนดพิจารณาของที่ประชุมบอร์ด BOI ว่าจะเป็นวันไหน
ดังนั้นการลงทุนของบริษัทต่าง ๆในการผลิตรถยนต์ อีโคคาร์ ทั้ง 7 ค่ายจะประมาณ 50,000 ล้านบาท อย่างไรก็ดีจากที่คณะรัฐมนตรีได้มติเห็นชอบอัตราภาษีสรรพสามิตของอีโคคาร์ให้อยู่ที่ระดับ 17% ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2552 เป็นต้นไปโดยในระหว่างนี้ค่ายผู้ผลิตรถยนต์ที่ได้รับการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนไปก่อนหน้านี้ก็เริ่มสร้างโรงงานและปรับปรุงไลน์การผลิตเพื่อรอวันที่ 1 ต.ค. 2552 เพราะจะได้รับลดภาษีสรรพสามิตเหลือ 17% จากนั้นเชื่อว่าปลายปี 2552 หรือต้นปี 2553 ผู้ลิตแต่ละค่ายจะได้นำรถยนต์อีโคคาร์ของตนออกวางขายในท้องตลาดอย่างแน่นอน
ส่วนกรณีรถยนต์อีโคคาร์จากบริษัท ทาทา มอเตอร์ (ประเทศไทย) หากนำเข้ามาขายในประเทศไทยจะต้องเสียภาษีนำเข้า 80% และเสียภาษีสรรพสามิตอีก 30% ซึ่งก็ยังอยู่ในราคาเดียวกันกับราคาอีโคคาร์ที่จะผลิตเพื่อขายในประเทศเพราะยังไม่ได้รับสิทธิพิเศษ FTA ไทย-อินเดียที่อยู่ระหว่างการเจรจา แต่หากFTA ทั้ง 2 ประเทศบรรลุข้อตกลงการค้าเสรีร่วมกันจะทำให้ภาษีนำเข้าเหลือ 5% ซึ่งตรงนี้ค่ายรถยนต์จากค่ายทาทาค่อนข้างจะได้เปรียบพอสมควร เพราะราคารถยนต์ทาทา จะตกประมาณ 2-3 แสนบาท แต่เป็นรถยนต์ขนาด700 ซีซี ขณะที่อีโคคาร์ ที่ผลิตในเมืองไทยขนาด 1,300 ซีซี จะประมาณ 350,000-450,000บาท
ปี’52 ขึ้นแท่น “ดีทรอยต์ ออฟ เอเชีย”
ขณะที่เป้าหมายต่อไปคือการส่งออกเพราะทุกค่ายต่างมีลูกค้าในกลุ่มแต่ละประเทศต่างๆกันทำให้เชื่อได้ว่าการส่งออกรถยนต์อีโคคาร์ไปจำหน่ายทั่วโลกจะเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของอุตสาหกรรมรถยนต์ไทย เพราะหากตลาดทั่วโลกตอบรับรถยนต์ประหยัดพลังงานจะทำให้ไทยผลิตรถได้ถึง 1.8 ล้านคันภายในปี 2552 ซึ่งจะทำให้ไทยเป็น“ ดีทรอยต์ ออฟ เอเชีย ” อย่างแน่นอน
สำหรับมาตรฐานของรถยนต์อีโคคาร์ตามที่ BOI กำหนดคือต้องมีความจุของกระบอกสูบไม่เกิน 1300 ลูกบาศก์เซนติเมตร(ซีซี) สำหรับเครื่องยนต์เบนซิน และความจุกระบอกสูบไม่เกิน 1400 ซีซี สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลโดยไม่จำกัดกำลังเครื่องยนต์ ขณะที่อัตราการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงต้องไม่เกิน 5 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร หรือ 20 กิโลเมตรต่อลิตร มาตรฐานมลพิษอยู่ในระดับ EURO 4 ตามที่สำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.) กระทรวงอุตสาหกรรม ประกาศกำหนด และปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ที่ปล่อยจากท่อไอเสียไม่เกิน 120 กรัมต่อกิโลเมตรและกำลังการผลิตปีละ 1 แสนคันในปีที่ 5 หรือปีพ.ศ.2557
“ราคาที่วางขายจะอยู่ที่ 350,000- 450,000 บาทเหมือนกันทุกค่ายเพราะการแข่งขันค่อนข้างสูง แต่การออกแบบรูปลักษณ์ทั้งภายในและภายนอกจะแต่งต่างกันออกไปตามเอกลักษณ์แต่ละค่าย ซึ่งราคาที่ไม่สูงมากจะทำให้ผู้มีรายได้น้อย สามารถมีรถยนต์เป็นของตัวเอง และยังประยัดพลังงาน จึงทำให้มั่นใจว่าจะประสบความสำเร็จ” โฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ระบุ
หุ้นนิคมฯสดใสขานรับอีโคคาร์
ด้านนักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ กล่าวว่า การลงทุนในอุตสาหกรรมอีโคคาร์ ส่งผลให้หุ้นในกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมมีการเติบโตที่ดีในปี 2551 เพราะ โครงการอีโคคาร์ได้ทำให้ยอดขายที่ดินในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหุ้น 3 ตัวหลักๆได้แก่ HEMRAJ , ROJANA , AMATA หุ้นตัวแรกที่น่าสนใจคือ HEMRAJ มีความน่าสนใจและโดดเด่นที่สุดเพราะส่วนใหญ่จะสามารถขายที่ดินจำนวนล็อตใหญ่ได้ ล่าสุดสามารถขายที่ดินให้กับบริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ คอร์ปอชั่น จำกัดเพื่อเป็นฐานการผลิตรถยนต์อีโคคาร์จึงทำให้หุ้นมีความน่าสนใจมากขึ้น โดยคาดว่าในปีนี้บริษัทจะสามารถขายที่ดินได้กว่า 1,200 ไร่
ส่วนหุ้น ROJANA ถือว่ามีจุดแข็งในเรื่องของลูกค้ากลุ่ม HONDA เช่นกันซึ่งที่ผ่านมาเดินหน้าขยายกำลังการผลิตเพื่อรองรับโครงการอีโคคาร์ ทำให้มีการซื้อที่ดินกับทางบริษัทอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับมีความได้เปรียบในด้านรายได้จากการขายสาธารณูปโภค ทั้งไฟฟ้า และน้ำ ทำให้บริษัทมีรายได้เข้ามาอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งได้มีการประเมินยอดขายที่ดินในปี 2551 ของ ROJANA ไว้ที่ระดับ 605 ไร่ โดยที่ผ่านมาROJANA ได้เซ็นสัญญากับทางกลุ่ม HONDA ในการซื้อขายที่ดินแล้วประมาณ 110 ไร่ มูลค่าประมาณ 330 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้ดังกล่าวภายในไตรมาส 1/2551 นี้ ขณะเดียวกันยังมีการเจรจากับลูกค้าใหม่อย่างต่อเนื่องรวมถึงการขยายตัวในอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยเฉพาะอีโคคาร์จะทำให้อุตสาหกรรมนิคมจะเติบโตอย่างเด่นชัด
ขณะที่พื้นที่นิคมอุตสาหกรรม AMATA ปัจจุบันก็มีลูกค้าที่อยู่ระหว่างการเจรจาและคาดว่าจะมีการเซ็นสัญญาขายที่ดินล๊อตใหม่ได้ในไตรมาส 1/2551 ซึ่งคาดว่าทั้งปีบริษัทจะสามารถขายที่ดินได้กว่า 1,300 ไร่ในระยะเวลา 3 ปี
หวั่นนักการเมืองเรียกรับสินบน
อย่างไรก็ดี แหล่งข่าวจากบริษัทรถยนต์รายหนึ่งแสดงความเป็นห่วงว่านโยบายด้านอุตสาหกรรมที่รัฐบาลเดิมกำหนดไว้ดีอยู่แล้ว รัฐบาลชุดสมัคร สุนทรเวช เมื่อเข้ามาบริหารก็ไม่ควรเปลี่ยน โดยเฉพาะการส่งเสริมการลงทุนรถยนต์ประหยัดพลังงาน (อีโคคาร์) ซึ่งเป็นนโยบายที่ดี มีผู้ประกอบการหลายรายยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนหากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมคนใหม่ปรับเปลี่ยนนโยบายใหม่จะทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนลดลง
“เป็นห่วงว่านักการเมืองที่กำลังจะเข้ามาเป็นรัฐมนตรีอาจจะมีผลประโยชน์มาเกี่ยวข้องจากการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนได้เพราะทั้ง 4 โครงการรวมกันมีมูลค่าลงทุนกว่า 2 หมื่นล้านบาท” แหล่งข่าวระบุ
|