Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน1 กุมภาพันธ์ 2551
ธนารักษ์เพิ่มราคาประเมินคอนโดติดรถไฟฟ้า             
 


   
www resources

โฮมเพจ กรมธนารักษ์

   
search resources

กรมธนารักษ์
Real Estate




กรมธนารักษ์เล็งปรับราคาประเมิน 200 คอนโดฯหรู แนวรถไฟฟ้าขึ้นอีก 15-20% ส่วนคอนโดฯราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาทปรับลด 15-20% เพื่อลดภาระค่าภาษี พร้อมเตรียมทะยอยประเมินราคาที่ดินใหม่ทุกปี ประเดิมประเมินรายแปลง 5 เขตในกทม. และประเมินรายบล็อก 50 จังหวัด ประกาศใช้ปี 2552 ด้าน ธอส.เตรียมดึงเอกชนร่วมหาแนวทางกระตุ้นอสังหา ชงรัฐบาลใหม่เชื่อรัฐมีมาตรการออกมากระตุ้นคนซื้อบ้านแน่ เล็งให้การเคหะฯ ค้ำประกันกลุ่มอาชีพอิสระที่บ้านเอื้ออาทรจาก 5 ปีเป็น 7 ปีเพื่อลดความเสี่ยง

นายแคล้ว ทอง สม ผู้อำนวยการสำนักประเมินราคาทรัพย์สิน กรมธนารักษ์ เปิดเผยว่า กรมธนารักษ์เตรียมปรับราคาประเมินอาคารชุดคอนโดมิเนียมระดับบน ที่ตั้งอยู่แนวรถไฟฟ้าและถนนเมนหลักในเขตกรุงเทพมหานครขึ้นอีก 15-20% ซึ่งปัจจุบันมีอยู่จำนวน 200 อาคาร ส่วนโครงการคอนโดมิเนียมราคาถูกต่ำกว่า 1 ล้านบาท ที่ตั้งอยู่ห่างจากถนนหลัก จะทำการปรับลดลงมา 15-20% เช่นกันเพื่อลดภาระให้แก่อาคาร

นอกจากนี้ กรมธนารักษ์จะทำการประเมินราคาที่ดินใหม่ทุกปีโดยทยอยทำในแต่ละพื้นที่ โดยจะพิจารณาจากพื้นที่ๆมีการซื้อ-ขายเปลี่ยนมือมาก โดยในปีนี้จะทำการประเมินราคาที่ดินใหม่ในเขตกรุงเทพ ได้แก่ ดอนเมือง, มีนบุรี, ลาดพร้าว, บึงกุ่มและบางกะปิ ปรับขึ้นเฉลี่ยประมาณ 5% และประเมินเป็นรายบล็อกอีก 50 จังหวัด โดยปรับขึ้นเฉลี่ยอย่างน้อย 10% ซึ่งราคาประเมินใหม่จะประกาศใช้ในปี 2552

จากเดิมกรมธนารักษ์ จะทำการทำการประเมินที่ดินใหม่ทุกๆ 4 ปี ทำให้ไม่สะท้อนราคาที้แท้จริงของตลาดอีกทั้งยังต้องใช้เจ้าพนักงานจำนวนมาก ดังนั้นจึงต้องทะยอยประเมินราคาที่ดินไปอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เหมาะสมและใกล้เคียงกับราคาตลาด

ส่วนการประกาศปรับขึ้นราคาประเมินที่ดินใหม่นั้น จะทำให้รัฐบาลสามารถจัดเก็บภาษีที่ดินได้เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 20% โดยในปีงบประมาณ 2550 (1 ตุลาคม 49 – 30 กันยายน 50) สามารถจัดเก็บภาษีที่ดินได้จำนวน 50,003 ล้านบาท ลดลงจากปีงบประมาณก่อนหน้า 0.89% จากจำนวนผู้เสียภาษี 5,363,000 ราย ลดลงจากปีงบประมาณ 2549 จำนวน 2.67%

สำหรับการจัดเก็บภาษีในปีงบประมาณ 2551 ช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2550 สามารถเก็บภาษีได้ 9,046 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2549 จำนวน 7.30% จากจำนวนผู้เสียภาษี 907,484 ราย

ด้านนายขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ กล่าวว่า ธนาคารกำลังเตรียมข้อมูลรายงานต่อคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ถึงแนวทางที่จะดำเนินการเพื่อกระตุ้นภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทั้งโครงการที่ดำเนินการอยู่แล้ว และโครงการที่จะดำเนินการในอนาคต รวมถึงเรื่องที่ต้องการให้รัฐบาลสนับสนุน โดยจะหารือร่วมกับภาคเอกชนถึงแนวทางที่จะนำมาใช้ในการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์

ทั้งนี้ เชื่อว่ารัฐบาลชุดใหม่จะมีมาตรการออกมากระตุ้นให้คนซื้อบ้าน เพราะมาตรการที่เคยใช้ เช่น การลดค่าธรรมเนียมการโอน ลดค่าธรรมเนียมจดจำนอง ลดภาษีธุรกิจเฉพาะเป็นต้น ประสบความสำเร็จในการกระตุ้นภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มาแล้ว

ส่วนนโยบายในการปล่อยสินเชื่อบ้านให้กับโครงการบ้านเอื้ออาทร ล่าสุดได้หารือร่วมกับผู้บริหารการเคหะแห่งชาติ (กคช.) ถึงความพร้อมด้านการปล่อยสินเชื่อกู้ซื้อบ้านล็อตใหม่ที่ธอส.มีการจัดเตรียมวงเงินไว้ประมาณ 20,000 ล้านบาท ขณะที่จำนวนหน่วยที่สร้างเสร็จที่อยู่กว่า 70,000 หน่วยนั้น ในจำนวนดังกล่าวมีประมาณ 70 % หรือคิดเป็น 49,000 หน่วยมีรายชื่อของประชาชนที่ยังคงยืนยันการจองสิทธิ์

ทั้งนี้ ในจำนวนหน่วยที่ประชาชนยืนยันนั้น จะต้องนำมาพิจารณาหรือตรวจสอบเครดิตของผู้ซื้อว่ามีขีดความสามารถในการผ่อนชำระมากหรือน้อยแค่ไหน ซึ่งการปล่อยในช่วงที่ผ่านมานับตั้งแต่เริ่มจัดทำโครงการบ้านเอื้ออาทรตั้งแต่ปี 2546 นั้นได้มีการปล่อยสินเชื่อไปแล้วคิดเป็นวงเงิน 20,000 ล้านบาท และมีเงื่อนไขร่วมกับการเคหะฯว่า การเคหะฯ จะต้องค้ำประกันการซื้อคืนภายใน 5 ปีในกรณีที่ลูกค้าค้างชำระติดต่อกันเกิน 3 งวด วงเงินที่ทำไว้เดิมประมาณ 300 ล้านบาท และได้ขยายเพิ่มเป็น 780 ล้านบาท

“เพื่อลดความเสี่ยงกับการเกิดหนี้เสียขึ้น นอกจากจะใช้วิธีการเพิ่มวงเงินการประกันการซื้อคืนแล้ว

ทางกคช.น่าจะมีการขยายเวลาการค้ำประกันการซื้อคืนออกไปจาก 5 ปีเป็น 7 ปี หรือไม่ก็ขยายเพิ่มอีก 5 ปีหลังครบ 5 ปี โดยกลุ่มลูกค้าที่เข้าข่ายที่จะต้องค้ำประกันการซื้อคืนนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มที่มีอาชีพอิสระ พ่อค้า แม่ค้า ที่ไม่มีแหล่งที่มาของรายได้แน่นอน และเพื่อให้การดำเนินการปล่อยสินเชื่อดังกล่าวมีความต่อเนื่อง ทางกคช.ควรจัดทำรายละเอียดส่งมายังธอส.ว่าในแต่ละปีจะมีบ้านสร้างเสร็จและพร้อมส่งมอบให้กับลูกค้ากี่ราย หรือกี่หน่วย ”นายขรรค์กล่าวแสดงความเห็น

ส่วนโครงการที่ธนาคารดำเนินการอยู่ในขณะนี้ คือ การปล่อยสินเชื่อให้กับโครงการบ้านเอื้ออาทร บ้านมั่นคง และโครงการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยให้กับข้าราชการในโครงการธอส.-กบข. โดยในส่วนของโครงการบ้านเอื้ออาทรในปีนนี้จะมีบ้านสร้างเสร็จ 7 หมื่นหลังที่จะต้องปล่อยกู้ในวงเงิน 20,000 ล้านบาท ส่วนโครงการธอส.-กบข.จะมีการดำเนินการต่อเป็นระยะที่ 5 ส่วนแผนงานที่จะทำต่อไปอยู่ระหว่างการเตรียมข้อมูล

สำหรับการเพิ่มทุนของธอส.อีก 10,000 ล้านบาทนั้น เป็นการเพิ่มเพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับธนาคารในการนำมาจัดสรรในการปล่อยกู้ให้กับประชาชนที่ซื้อบ้านทั้งจากทั่วๆไป และจากโครงการที่เกิดจากนโยบายของรัฐบาล นอกจากความต้องการการอนุมัติการเพิ่มทุนจากรัฐบาลชุดใหม่แล้ว ธอส.ต้องการให้รัฐบาลค้ำประกันการออกพันธบัตรธอส.อีก 5,000 ล้านบาท เพราะหากรัฐบาลไม่ค้ำประกันธอส.ก็ต้องไปแข่งกับธนาคารพาณิชย์อื่นๆ   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us