มีเดียพลัสและไทยสกายเคเบิลทีวี คือ 2 สื่อที่เครือวัฏจักรกรุ๊ปเข้าไปซื้อกิจการเพื่อหวังขยับขยายบทบาทจากสื่อสิ่งพิมพ์ไปในสู่สื่อวิทยุและโทรทัศน์
ในการใช้ประโยชน์จากข้อมูลข่าวสารที่มีอยู่กระจายไปตามสื่อต่าง ๆ ให้ครบวงจร
รวมเป็นเวลาถึง 2 ปีเต็มที่กลุ่มวัฏจักรเพียรพยายามพลิกฟื้น สื่อทั้งสองประเภทนี้ให้ลุกขึ้นยืนหยัดอยู่ในวงการ
แต่ดูเหมือนกับความพยายามของกลุ่มวัฏจักรจะไม่ใช่เรื่องง่ายนัก
แม้ว่าภายหลังจากการสิ้นสุดยุคของอิทธิวัฒน์ เพียรเลิศ ผู้ก่อตั้งมีเดียพลัสภายใต้ร่มเงาของกลุ่มวัฏจักรยังคงมียอดรายได้เพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาตลอดปี
2538 มีเดียพลัสมีรายได้ 760 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายได้ที่มาจากค่าโฆษณาจากธุรกิจวิทยุทั้ง
6 สถานีและเป้าหมายปี 2539 คืออัตราเติบโต 10% หรือ 1,070 ล้านบาท
หากไม่คิดอะไรมาก ก็ถือว่ามีเดียพลัสทำรายได้ที่ค่อนข้างดีให้กับวัฏจักร
เพียงแต่อาจจะต้องเผชิญปัญหา 2 ประการคือ หนึ่ง-ความไม่แน่นอนของสัมปทานวิทยุ
ที่เปลี่ยนกับแทบจะทุกปีสอง-การปรับองค์กรภายในที่มีเดียพลัสมีการเปลี่ยนแปลงบ่อยมาก
นอกจากนั้นการขยับขยายไปสู่โครงการใหม่ ๆ เพื่อเป็นตัวเสริมสร้างรายได้
ก็เป็นเรื่องจำเป็นสำหรับมีเดียพลัส โดยเฉพาะการที่กลุ่มวัฏจักร ซึ่งมีทั้งสื่อและฐานข้อมูลข่าวสารในมือ
เป้าหมายของมีเดียพลัสที่ผู้บริหารพยายามชี้แจงมาตลอด คือ การขยายโครงการเคเบิลเรดิโอ
หรือรายการวิทยุแบบบอกรับสมาชิก ธุรกิจจัดคอนเสิร์ตจากต่างประเทศโครงการวิทยุดาวเทียม
โครงการพิเศษสไมล์คลับ ซึ่งโครงการเหล่านี้ล้วนแต่เกิดตั้งแต่ในยุคอิทธิวัฒน์ทั้งสิ้น
เพียงแต่นำปัดฝุ่นใหม่เท่านั้น แต่ไม่สำคัญเท่ากับว่าโครงการเหล่านี้ยังไม่เริ่มดำเนินการเลย
หากสังเกตให้ดีช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีเดียพลัสใช้เวลาส่วนใหญ่ไปในเรื่องจัดองค์กรภายใน
เพราะภายหลังจากอิทธิวัฒน์ขายหุ้นทั้งหมดในมีเดียพลัสทิ้ง ลูกหม้อเก่าที่ร่วมบุกเบิกมีเดียพลัส
ไม่ว่าจะเป็นวนิดา ทักษิณาภินันท์ อดีตกรรมการผู้จัดการ มรว.รุจยาภา อาภากร
และวินิจ เลิศรัตนชัย พร้อมกับทีมงานจำนวนหนึ่งต่างก็ทยอยกันลาออกไป
แม้ว่ากลุ่มวัฏจักรจะมีความพร้อมทั้งข้อมูลและสื่อต่าง ๆ ในมือ แต่ธุรกิจวิทยุเป็นเรื่องใหม่
การขาดบุคลากรยุคบุกเบิกที่สร้างให้มีเดียพลัสเติบโตมาจนระดับนี้ย่อมมีปัญหาแน่
มีเดียพลัส ได้มีการปรับเปลี่ยนตัวผู้บริหารครั้งแล้วครั้งเล่า ด้วยการดึง
สรจักร เกษมสุวรรณ อาจารย์จากคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป้นกรรมการผู้จัดการแทน
มรว.รุจยาภา พร้อมทั้งดึงเอามืออาชีพในวงการต่าง ๆ อาทิ ศรัณย์ จันทพลาบูรณ์
มือการตลาดจากฟิลม์สีฟูจิมาเป็นผู้จัดการทั่วไป รวมทั้งมือดีจากเอไทม์ มีเดีย
ชัยยุทธ เลาหะชนะกูร มาเป็นกรรมการผู้จัดการ และกินรี หินอ่อน ดำรงตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจและธุรกิจพิเศษ
แต่มีเดียพลัสในยุคของสรจักรต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอีกโครงการต่าง
ๆ ที่วางไว้ยังไม่สามารถบรรลุเป้าหมาย แถมยังเกิดกรณีเกย์ไลน์ คลื่น 107.0
เมกะเฮิรตซ์จนเป็นข่าวอื้อฉาวบนหน้าหนังสือพิมพ์อยู่หลายวัน
มีเดียพลัสจึงต้องลงมือปรับทัพอีกหน ด้วยการโยกสรจักรไปเป็นนั่งรองประธานกรรมการบริหาร
และให้รับผิดชอบเฉพาะโครงการสกายเรดิโอ ที่หวังกันว่าจะเป็นรูปเป็นร่างภายในปี
2539 พร้อมกับดึงเอายงยุทธ ฟูพงศ์ศิริพันธ์จากไทยสกายทีวีมาเป็นกรรมการผู้จัดการแทน
โดยมีประดิษฐ์ รัตนวิจารณ์
มือบริหารของวัฏจักรซึ่งในระยะหลังมีบทบาทค่อนข้างมากขึ้นมานั่งเป็นประธานมีเดียพลัสดูแลธุรกิจกลุ่มวิทยุทั้งหมด
การปรับในครั้งนี้แม้โครงสร้างจะมองดูชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะในส่วนธุรกิจวิทยุเช่น
การจัดแยกทีมขายเป็น 4 กลุ่ม ทำหน้าที่ดูแลลูกค้าในแต่ละประเภท เช่น ทีมขายและการตลาดคลื่น
96, 98, และ 99.5 ทีมขายและตลาดคลื่น 100 เมกกะเฮิรตซ์ขึ้นไป และทีมขายดูและ
ลูกค้าธุรกิจโทรทัศน์ส้มหล่น ที่มีเดียพลัสจะผลิตรายการป้อนให้
หากพิจารณากันให้ดีแล้วโครงสร้างใหม่นี้ เป็นเพียงแค่การจัดทัพใหม่ให้ดูดีขึ้นเท่านั้น
เพราะยังคงยังให้ความสำคัญไปที่ธุรกิจวิทยุเช่นเดิม ในขณะที่ธุรกิจใหม่ ๆ
ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างที่จะมารองรับที่ชัดเจนแต่อย่างใด ทั้ง ๆ
ที่เป็นเป้าหมายสำคัญของมีเดียพลัสนับจากนี้
การปรับปรุงในครั้งนี้จึงน่าเป็นแค่การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่ และแต่งหน้าทาปากให้ดูดีเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับเป้าหมายสำคัญ
คือ การเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ภายในปี 2539 เท่านั้น
กระนั้นก็ตามสิ่งที่เกิดขึ้นกันมีเดียพลัส ยังไม่เท่ากับสถานการณ์ที่ไทยสกายคอมกำลังเผชิญอยู่ในเวลานี้
เพราะแม้มีเดียพลัสยังไม่มีโครงการอะไรใหม่ แต่ก็มีรายได้ต่อเนื่องผิดกับไทยสกายคอมอย่างชิ้นเชิง
หลังจากกลุ่มวัฏจักรซื้อไทยสกายคอมต่อจากคีรี
กาญจนพาสน์ที่ทำล้มเหลวมาแล้วโดยหวังจะใช้เป็น"สื่อ"ทางด้านทีวี
แต่การดิ้นรนพลิกฟื้นสถานการณ์ของกลุ่มวัฏจักรดูจะไร้ผล
ไทยสกายทีวี ยังคงต้องวิ่งไล่ตามคู่แข่งอย่างไอบีซีที่วิ่งนำหน้าไปหลายช่วงตัวและยังไม่มีทีท่าว่าจะไล่ตามทัน
ในขณะที่ยูทีวีเคเบิลทีวีของค่ายยักษ์ใหญ่ซีพี ก็วิ่งไล่กวดมาติด ๆ
สองปีเต็มที่ผ่านมา กลุ่มวัฏจักรได้ลงมือปรับเปลี่ยนรูปแบบรายการด้วยการจับมือพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ
ไทยสกายทีวีจำต้องทุ่มเม็ดเงินจำนวนมากเพื่อซื้อรายการระดับอินเตอร์ หลังพบว่ากลุ่มลูกค้าคนไทยนิยมบิรโภครายการจากต่างแดนมากกว่ารายการท้องถิ่น
ไม่ว่าจะเป็นการจับมือสตาร์ทีวี เครือนิวส์ คอร์ป และรายการข่าวซีเอ็นเอ็น
และการ์ตูนทีเอ็นที
แม้ว่าไทยสกายทีวี จะลดจุดอ่อนของตัวเองในเรื่องรายการต่างประเทศ ที่เท่าเทียมเคเบิลทีวีรายอื่น
ๆ แต่รายการเหล่านี้ไม่ได้แตกต่างไปจากไอบีซี หรือ ยูทีวีเลย
ทีมข่าว เป็นอีกสิ่งที่ไทยสกายทีวีทุ่มเทอย่างมาก เพราะเป็นความภูมิใจ
ที่สร้างจุดแตกต่างให้กับไทยสกายทีวีในเวลานี้
จนกระทั่งต้องหันจับกับกลุ่มเนชั่นเพื่อเสริมสร้างจุดแข็งทางด้านนี้ให้มากยิ่งขึ้น
แต่ความพยายามของไทยสกายไม่สัมฤทธิผล
เพราะหลังจากร่วามือกันไม่นานกลุ่มเนชั่นก็ถอนตัวออกไป เช่นเดียวกันสารคดีของแปซิฟิก
ที่ไทยสกายทีวีเคยนำมาแพร่ภาพก็ต้องลาจากกันไป
ทางด้านคู่แข่งขันมีเปลี่ยนแปลงเพื่อรับมือกับการแข่งขัน ไอบีซีเฉือนหุ้นให้ช่อง
7 และแกรมมี่ สองยักษ์ใหญ่ซอฟ์ตแวร์ของไทยเข้ามาซื้อ ในขณะที่ยูทีวีซึ่งมีความพร้อมในเรื่องเงินทุน
และเครือข่ายก็เข้ามาในตลาด ยิ่งเป็นแรงกดดันให้กับไทยสกายทีวี
กระทั่งไทยสกายต้องมีการปรับโครงสร้างการบริหารใหม่ ด้วยการดึงเอาประมุทสูตะบุท
อดีตผู้อำนวยการองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (อ.ส.ม.ท.) เข้ามานั่งเป็นประธานบริษัทเพื่อสร้างภาพลักษณ์
และอาศัยสายสัมพันธ์ และประสบการณ์ของอดีตผู้อำนวยการอ.ส.ม.ท.นี้ให้เป็นประโยชน์ในเชิงธุรกิจ
แผนการเข้าตลาดหลักทรัพย์ ยังเป็นเป้าหมายของไทยสกายทีวี
เพื่อใช้ปรับตัวเองเพื่อวิ่งไล่คู่แข่งให้ทัน ก็เป็นต้องอาศัยซอฟต์แวร์มีคุณภาพ
และต้องปรับตัวให้ทันกับเทคโนโลยี ซึ่งต้องใช้เงินทุนเป็นจำนวนมาก
แต่การเข้าตลาดหลักทรัพย์ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
โดยเฉพาะข้อกำหนดที่ต้องมีกำไรจากการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นติดต่อกันตลอด
3 ปี ในขณะที่การเพิ่มยอดสมาชิกยังอยู่เกือบ 3 ปีเต็มไทยสกายทีวีมียอดสมาชิกยังไม่ถึงแสนเลย
และยังไม่มีผลกำไรที่เกิดจากการดำเนินงาน
ในสภาวะเช่นนี้แล้วความฝันของไทยสกายทีวีคงอีกยาวไกล