ผู้บริหารของเอเซอร์สัญชาติไต้หวันนั่งอยู่แถวหน้าของงานแถลงข่าว โดยมีผู้บริหารฝั่งไทยนั่งขนาบข้างตอบคำถามสื่อมวลชนหลายข้อถึงทิศทางของเอเซอร์ แบรนด์คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ไอทีจากฝั่งไต้หวัน ในปี 2551 เมื่อไม่นานมานี้
คำถามหลายข้อถูกส่งไปยังผู้บริหาร หนึ่งในนั้นคือการถามถึงความสามารถในการขายคอมพิวเตอร์แบบพกพาหรือโน้ตบุ๊กของเอเซอร์ในช่วงปีที่ผ่านมาและในปีที่เพิ่งจะมาถึงได้หนึ่งเดือน
"เอเซอร์ขายโน้ตบุ๊กได้เป็นอันดับหนึ่งในไทยมา 4 ปีกับอีกหนึ่งเดือน นับจน ถึงเดือนธันวาคม หรือ 13 ไตรมาสซ้อน" นี่คือคำตอบที่ผู้บริหารตอบกลับมาโดยใช้เวลานิ่งคิดคำนวณระยะเวลาไม่นานนัก
ในปีที่ผ่านมาเอเซอร์ขายโน้ตบุ๊กได้มากกว่าการคาดหมายของสำนักวิจัยชื่อดังทั้งหลายที่คาดการณ์การเติบโตของตลาดเมื่อปีกลายหลายเท่าตัว โดยสามารถขายโน้ตบุ๊กทั้งสิ้น 333,000 ตัว จากตลาดโน้ตบุ๊กของไทยที่ขายได้ในปีที่ผ่านมาทั้งสิ้น 1,700,000 ตัว คิดเป็นสัดส่วนของการเติบโตเฉพาะโน้ตบุ๊กเทียบกับสินค้าอื่นๆ ในเครือนั้นสูงถึง 60 เปอร์เซ็นต์
เมื่อเทียบกับตลาดโน้ตบุ๊กในไทยแล้วเอเซอร์กินส่วนแบ่งไปแล้วกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ โดยมีเอชพีเป็นอันดับสองขายโน้ตบุ๊กได้ 27 เปอร์เซ็นต์ของทั้งตลาด มีโตชิบ้ารั้งอันดับสาม 8 เปอร์เซ็นต์ เลโนโว แบรนด์จีน 5 เปอร์เซ็นต์ และรายอื่นๆ แบ่งปันสัดส่วนกันไป
การขายโน้ตบุ๊กของเอเซอร์นั้นเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าจากภาวะ ราคาของโน้ตบุ๊กขยับเข้าใกล้พีซีเข้าไปทุกที ผู้บริโภคหลายคนเลือกจะซื้อคอมพิวเตอร์ที่พกพาได้ ประสิทธิภาพความเร็วดี และมีราคาที่พอรับไหวแทนการซื้อพีซีแล้วรอกลับไปใช้งานที่บ้านเหมือนอย่างเคย โดยปีที่ผ่านมาราคาโน้ตบุ๊กถูกสุดอยู่ที่ไม่ถึง 17,000 บาท ชนิดที่มีประสิทธิภาพในการทำงานแบบเต็มพิกัดหรือ full function และนั่นทำให้ตลาดของโน้ตบุ๊กนั้นแซงหน้าพีซีเป็น 60 : 40 เปอร์เซ็นต์ กลับด้านกับปี 2549 อย่างเห็นได้ชัด
เอเซอร์เป็นเบอร์หนึ่งได้ไม่ยาก เพราะทำตลาดด้วยการขายแบบเอา volumn หรือเอาจำนวนเข้าแลก การผลิตได้จำนวนมากๆ ทำให้ราคาถูกลงแต่ประสิทธิภาพนั้นมีให้เลือกหลายระดับ หลายราคา หน้าตาของสินค้าคล้ายๆ กัน ต่างกันตรงที่รายละเอียดด้านใน บวกกับโปรโมชั่นเงินผ่อนกับผู้ให้บริการสินเชื่อหลายราย บวกกับแผนประชาสัมพันธ์ที่เอเซอร์ใช้ไปกับการทำการตลาดซึ่งมากถึง 350 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา และอาจจะมากถึง 400 ล้านบาทในปีนี้ ทำให้เอเซอร์ขึ้นแท่นเบอร์หนึ่งได้ไม่ยากเย็นนัก
โดยรายได้รวมของบริษัทจากการขายโน้ตบุ๊ก คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ หรือพีซี จอแอลซีดี และเครื่องโปรเจ็กเตอร์รวมกันพุ่งไปถึง 14,500 ล้านบาท ผู้บริหารยังหวังว่าปีนี้จะทำรายได้ทั้งเครือที่อีก 400 ล้านจะถึง 20,000 ล้านบาท และหัวหอกสำคัญก็ยังคงเป็นโน้ตบุ๊กที่ขายได้จำนวน volumn มากๆ อีกเช่นเคย
มานับกันดูว่าเอเซอร์จะเป็นแชมป์ขายโน้ตบุ๊กอันดับ 1 ในไทย ได้นานกี่ไตรมาส
|