Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ กุมภาพันธ์ 2539








 
นิตยสารผู้จัดการ กุมภาพันธ์ 2539
ชุมพล พรประภา กับมาตรการป้องกันศึกสายเลือด             
 


   
search resources

เอส.พี.ซูซูกิ, บมจ.
ชุมพล พรประภา
Motorcycle




หลังจากดำเนินธุรกิจมาจนเกือบจะครบ 30 ปี บริษัท เอส.พี.ซูซูกิ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นสมบัติของตระกูล "พรประภา" อีกซีกหนึ่ง ภายใต้การนำของ"ดร.ชุมพล" ได้จัดให้มีพิธีลงนามแต่งตั้งผู้จัดจำหน่าย และรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนกับตัวแทนจากสถาบันการเงินทั้งไทยและต่างประเทศรวม 33 แห่ง เมื่อวันที่ 8 มกราคมที่ผ่านมา โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ เอกธำรง จำกัด (มหาชน) และบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ไอเอฟซีที ไฟแนนซ์ จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

นอกจากจะเป็นหุ้นในธุรกิจจำหน่ายรถจักรยานยนต์ตัวแรกในตลาดหลักทรัพย์และเป็นหุ้นตัวแรกของปีนี้แล้ว ชุมพล พรประภายังคุยว่า เป็นหุ้นที่ประธานบริษัทเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางอีกด้วย แม้จะฟังดูน่าหมั่นไส้ แต่หลายคนก็ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง

การนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ครั้งนี้ ชุมพลถือว่า เป็นก้าวสำคัญอีกก้าวหนึ่งในการพัฒนากิจการของบริษัท เพื่อจะได้เติบโตไปอย่างมั่นคงและขยายตัวอย่างต่อเนื่องในอนาคต

อย่างไรก็ดี ก่อนที่จะกลายมาเป็นบริษัท เอส.พี.ซูซูกิ จำกัด (มหาชน)ในวันนี้ ชุมพลเริ่มธุรกิจการค้ารถจักรยานยนต์ซูซูกิขึ้นเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2509 ในนามบริษัท เอส.พี.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ด้วยทุนจด

ทะเบียน 1 ล้านบาท

หลังจากก่อตั้งได้ 1 ปี เอส.พี.อินเตอร์เนชั่นแนลก็ขยายธุรกิจด้วยการเข้าไปร่วมทุนถือหุ้นในบริษัท ไทยซูซูกิมอเตอร์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้ประกอบการผลิตรถจักรยานยนต์และชิ้นส่วนอะไหล่ซูซูกิเพื่อจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยฝ่ายญี่ปุ่นเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 49% ขณะที่กลุ่มของชุมพลร่วมถือหุ้นอยู่ด้วย 19.5% (ปัจจุบันเป็นการถือในนามของเอส.พี.ซูซูกิ) ส่วนบ้านซูซูกิ ตัวแทนจำหน่ายรถจักรยานยนต์ซูซูกิใน 14 จังหวัด ภาคใต้ ถือหุ้นอยู่ประมาณ 6%

1 กรกฎาคม 2530 บริษัท เอส.พี.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ได้ซื้อกิจการจากบริษัท ทีทีซี ซูซูกิเซลส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทประกอบธุรกิจจำหน่ายรถจักรยานยนต์ซูซูกิ ที่มีทุนจดทะเบียน 60 ล้านบาท

ปี 2537 ได้โอนกิจการในส่วนการจัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ซูซูกิ รวมถึงศูนย์บริการ โชว์รูมและพนักงานทั้งหมดจากบบริษัท เอส.พี.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เข้ามารวมไว้ด้วยกันและได้เปลี่ยนชื่อเป็นบริษัทเอส.พี.ซูซูกิ จำกัด โดยปล่อยให้เอส.พี.อินเตอร์เนชั่นแนลทำธุรกิจขายรถยนต์โตโยต้ารายใหญ่ในกรุงเทพฯ อย่างเต็มตัว

หลังจากนั้นไม่นาน บริษัท เอส.พี.ซูซูกิ จำกัด (มหาชน) ก็ได็เข้าซื้อกิจการของ บริษัท สินพล จำกัด ที่นอกจากจะเป็นผู้แทนจำหน่ายและให้บริการหลังการขายรถจักรยานยนต์ซูซูกิในเขตภาคกลางแล้ว ยังให้บริการเช่าซื้อ ซึ่งถือเป็นธุรกิจสำคัญของธุรกิจการจำหน่ายรถจักรยานยนต์อีกด้วย

วันที่ 31 สิงหาคม 2537 ผู้ถือหุ้นมีมติที่จะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชน เพื่อระดมทุนจากประชาชน และได้เพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 800 ล้านบาท (แบ่งเป็น 80 ล้านหุ้น) เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2538

โดยก่อนเสนอขายหุ้นสามัญให้แก่ประชาชนทั่วไปจำนวน 16 ล้านหุ้น ในราคาเสนอขายหุ้นละ 76 บาท

คิดเป็นมูลค่า 1,216 ล้านบาท ในวันที่ 15-17 มกราคมนี้ ผู้ถือหุ้นของบริษัทประกอบไปด้วยเอส.พี.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด และบริษัท ซี.เอ.อาร์.เอส. จำกัด ถือหุ้นใหญ่เท่ากัน คือ บริษัทละ 38.1% ตระกูลพรประภา 9.5% อื่นๆ 14.3%

เงินที่ได้จากการระดมทุนจะถูกนำมาใช้ในการขยายธุรกิจตามแผนงาน 2 ปี ซึ่งประกอบไปด้วย 5 แผนงานหลัก เริ่มจากใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ 246 ล้านบาท สร้างศูนย์บริการ ศูนย์ฝึกอบรม และสนามฝึกสอนการขับขี่ปลอดภัยบริเวณคลอง 4 ถ. รังสิต - องครักษ์ 100 ล้านบาท ซื้อคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เพื่อพัฒนาระบบข้อมูลของบริษัท 20 ล้านบาท ให้บริษัท สินพล จำกัด กู้ยืมเพื่อนำไปขยายวงเงินให้เช่าซื้อรถจักรยานยนต์ 590 ล้านบาท นอกจากนี้ยังให้บริษัทสินพลกู้ไปใช้ในการขยายช่องทางการจำหน่ายอีก 260 ล้านบาท

แต่ถ้าจะพิจารณากันจริงๆ แล้ว การนำบริษัทเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ของชุมพลครั้งนี้มีความลึกซึ้งมากกว่าการนำเงินมาใช้ในการขยายธุรกิจ ประการแรกชุมพลมองว่า เป็นการสร้างความเข้มแข็งให้กับเอส.พี.ซูซูกิในฐานะบริษัทคนไทย ทั้งในการต่อสู้กับคู่แข่งที่มีบริษัทแม่จากต่างประเทศให้การสนับสนุน อย่างฮอนด้าหรือสยามยามาฮ่าที่เพิ่งร่วมลงทุนกับยามาฮ่า ญี่ปุ่นเมื่อปี 2538 ที่ผ่านมา

"บางบริษัทอาจไม่จำเป็นต้องเข้ามาระดมทุนในตลาด เพราะบริษัทแม่เขาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศอยู่แล้ว จึงสามารถนำเงินทุนราคาถูกกว่าเข้ามาใช้ในการขยายงานได้ แต่สำหรับบริษัทคนไทยอย่างเราถ้าไม่เข้าตลาดหลักทรัพย์จะเสียเปรียบมาก โดยนอกจากจะเสียเปรียบคู่แข่งแล้ว ในฐานะที่เราเป็นบริษัทร่วมทุนกับญี่ปุ่นก็อาจจะเสียเปรียบ เมื่อมีความจำเป็นในเรื่องการเพิ่มเงินลงทุน เพราะถ้าบริษัทไม่พร้อมก็จะถูกลดสัดส่วนการถือหุ้นลงไปโดยปริยาย ซึ่งที่ผ่านมามีลักษณะเช่นนี้ให้เห็นบ่อยๆ "ชุมพลกล่าว

เหตุผลสำคัญอีกประการหนึ่ง ซึ่งอาจจะเป็นเหตุผลสำคัญที่สุดของชุมพล พรประภา ก็คือ เพื่อป้องกันปัญหาการเกิดศึกสายเลือดระหว่างลูกหลานของเขาและน้องๆในอนาคต อย่างที่เขาและลูกพี่ลูกน้องในเจนเนอเรชั่นที่ 2 ของตระกูลพรประภาเคยประสบมาจนกลายเป็นเรื่องสาวไส้ให้กากินเมื่อเร็วๆ นี้

"การเอาบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์เป็นการป้องกันปัญหาศึกสายเลือดที่ดีที่สุดวิธีหนึ่ง แม้ว่าจะไม่สามารถป้องกันได้ทั้งหมด เพราะฉะนั้นครอบครัวไหนที่ต้องการมีศึกสายเลือดน้อยๆ ก็คงต้องนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดให้เร็วที่สุด"ชุมพลแนะนำ ซึ่งในส่วนของเอส.พี.นั้น มีแนวโน้มที่จะนำบริษัทอื่นๆ ในกลุ่มเช่น เอส.พี.อินเตอร์เนชั่นแนลเข้าตลาดอีกก็ได้ ถ้าเอส.พี.ซูซูกิไปได้ดี

ส่วนที่ว่าการเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์จะทำให้เสียเปรียบคู่แข่ง เพราะต้องมีการเปิดเผยข้อมูลให้สาธารณชนรับทราบนั้น ไม่ใช่เรื่องที่ชุมพลหวั่นเกรง เพราะมั่นใจว่าความสำเร็จหรือความล้มเหลวของบริษัทใดก็ตาม 80 % ขึ้นอยู่กับฝีมือของตัวเอง ไม่ใช่เพราะคู่แข่ง โดยจุดที่จะทำให้ธุรกิจรถจักรยานยนต์ประสบความสำเร็จนั้น ปัจจัยหลักมี 4-5 ข้อ เริ่มจากการพัฒนาสินค้าให้มีรูปร่างหน้าตาถูกใจผู้ใช้ เหมาะสมกับรูปร่างผู้ใช้ คงทนประหยัดน้ำมัน และมีจุดจำหน่ายกว้างขวาง

จากตัวเลขการจำหน่ายรถจักรยานยนต์ช่วง 11 เดือนของปี 2538 ปรากฏว่า ซูซูกิมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 24.6 % ครองอันดับสองร่วมกับยามาฮ่า ซึ่งเป็นการขึ้นมาอยู่ในอันดับสองอีกครั้งหลังจากตกไปอยู่ในอันดับ 3 ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ขณะที่ฮอนด้าครองอันดับหนึ่งด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดสูงถึง 43.7% ส่วนคาวาซากินั้นมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 7.1 %

เป้าหมายทางการตลาดที่ซูซูกิวางไว้ในช่วง 5 ปีนี้ก็คือการเป็นอันดับ 2 ที่โดนอันดับหนึ่งทิ้งน้อยที่สุด ขณะเดียวกันก็พยายามทิ้งห่างจากยามาฮ่าซึ่งมียอดขายเท่ากันอยู่ในขณะนี้ให้มากที่สุด เพื่อจะได้ไม่ต้องถ่ายรูปตัดสิน ส่วนการจะขึ้นเป็นอันดับหนึ่งนั้นคงต้องมาคุยกันหลังพ้น 5 ปีไปแล้ว ซึ่งชุมพลคิดว่าไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปได้ เพราะในอดีตที่ผ่านมา ทั้งฮอนด้า ยามาฮ่าและซูซูกิต่างเคยเป็นเบอร์หนึ่งมาแล้วทั้งสิ้น

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us