|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
เซ็นทรัลรีเทล ยกเครื่องระบบซัปพลายเชนใหม่ รับการเติบโตธุรกิจ 7 บริษัท และขยายสาขารุกตลาดต่างประเทศ ทุ่ม 1,500 ล้านบาท ผุดศูนย์กระจายสินค้าใหม่ บนพื้นที่ 50,000 ตร.ม. พร้อมโยกศูนย์ฯ เดิม 6 แห่งไว้ที่ใหม่ หวังลดค่าใช้จ่ายขนส่ง 12% หรือกว่า 30 ล้านบาทต่อปี เท 300 ล้านบาท เชื่อมโยงบริหารคลังสินค้าใหม่ ปรับตัวลดต้นทุนนำพลังงานทดแทนมาใช้
นายดนัย คาลัสซี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายซัปพลายเชน บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือซีอาร์ซี เปิดเผยว่า บริษัทฯได้เตรียมทุ่มงบประมาณ 1,500 ล้านบาท ลงทุนศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่ เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจของบริษัทในเครือ 7 บริษัท (ไม่รวม บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล หรือ ท็อปส์) ตลอดจนการดำเนินธุรกิจรีเทลในต่างประเทศ อย่างเช่นในประเทศจีน เป็นต้น ซึ่งขณะนี้กำลังเล็งทำเลว่าจะตั้งอยู่ย่านพระราม 2 หรือบางนา คาดว่าจะแล้วเสร็จในปลายปี 2553
ทั้งนี้บริษัทฯได้วางแผนโยกศูนย์กระจายสินค้าเดิมทั้งหมด 6 แห่ง ได้แก่ เชิงสะพานกรุงเทพ เพาเวอร์บาย ปทุมธานี ย่านโรบินสัน บางแค และสุขสวัสดิ์ 76 ประกอบด้วย 3 กลุ่มสินค้า คือ ซูเปอร์สปอร์ต ออฟฟิศดีโป โฮมเวิร์ค มาไว้ที่ศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่ทั้งหมด ซึ่งศูนย์ฯเดิมทั้ง 6 แห่ง ใกล้จะหมดสัญญาแล้วในปี 2551-2552 นี้
สำหรับศูนย์กระจายสินค้าใหม่ บริษัทฯจะหาพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญการบริหารมาพัฒนาเป็นหลัก และเป็นศูนย์ฯในรูปแบบการเช่า เพราะมีความคล่องตัวมากกว่า โดยเงินลงทุนส่วนใหญ่เป็นที่ดิน บนพื้นที่ 50,000 ตร.ม. ระบบการจัดการ อาทิ การหยิบสินค้าด้วยเสียง แสงไฟ นอกจากนี้ยังปรับเปลี่ยนระบบสารสนเทศใหม่ทั้งระบบ ให้สามารถรองรับการใช้งาน RFID(Radio Frequency Identification) เพื่อติดตามจำนวนสินค้าและความเคลื่อนไหวต่างๆ ในระบบโลจิสติกส์แบบเรียลไทม์ นอกจากนี้จะมุ่งเน้นการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างคู่ค้า
ทั้งนี้เฟสแรกในช่วง 2-3 ปี ของการบริหารศูนย์ฯใช้พื้นที่ 30,000 ตร.ม. และคาดว่า 5 ปี ศูนย์จะสมบูรณ์แบบ และจากการโยกศูนย์กระจายสินค้าไว้ที่เดียวกัน ช่วยส่งสินค้าได้เร็วมากขึ้น และสร้างความเชื่อมั่นการลงทุนของซัปพลายเออร์ และจากการรวมศูนย์กระจายสินค้า สามารถลดค่าใช้จ่ายขนส่งได้ลงประมาณ 12% หรือกว่า 30 ล้านบาทต่อปี อย่างไรก็ตามได้เตรียมนำระบบการจัดการได้มาใช้ใน 6 ศูนย์กระจายสินค้าบ้างแล้ว เพื่อนำร่องก่อนที่จะใช้ระบบการจัดการอย่างเต็มรูปแบบในอนาคต
“ธุรกิจค้าปลีกของเซ็นทรัลรีเทล มีการขยายการเติบโตอยู่ตลอดในระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา บริษัทฯตระหนักว่าระบบลอจิสติกส์และซัปพลายเชนจำเป็นอย่างมาก สำหรับสภาพการแข่งขันในภาวะปัจจุบันที่น้ำมันมีราคาสูง จาก 14 บาทต่อลิตรเป็น 29-30 บาทต่อลิตร หรือเรียกว่าขึ้น 100% ดังนั้นการบริหารคลังสินค้า สินค้าคงคลัง และการกระจายสินค้า ตลอดจนการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างบริษัท จึงเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ เพราะช่วยลดขั้นตอนการทำงานและลดค่าใช้จ่ายโดยรวมระบบซัปพลายเชน”
ทุ่ม300ล.เชื่อมโยงบริหารคลังใหม่
นายดนัย กล่าวว่า ได้ทุ่มงบ 300 ล้านบาท นำระบบบริหารคลังสินค้าเชื่อมโยงกระบวนการทำงาน สินค้าและข้อมูลในระบบซัปพลายเชน นำไปสู่การพัฒนาโครงการต่างๆ ที่เสริมความสัมพันธ์กับบริษัทคู่ค้า ในการทำงานร่วมกัน นอกจากนี้ซัปพลายเชนยังวางแผนระบบการขนส่งสินค้าที่มีจุดหมายปลายทางเดียวหรือใกล้เคียงกันจัดส่งไปด้วยกัน ขณะเดียวกันขากลับก็วิ่งรับรถเปล่าแวะรับสินค้ากลับมาด้วย ก่อนหน้านี้ร่วมกับบริษัทคู่ค้ารายใหญ่ โดยมีสินค้าที่ร่วมถึง 12 แบรนด์ ได้แก่ ซีเอ็มจี สตาร์แฟชั่น และล่าสุดเริ่มทำกับคู่ค้าเอสเอ็มอี สามารถ ช่วยลดค่าใช้จ่ายกว่า 40%
อีกทั้งได้ศึกษาการใช้พลังงานการเลือกอย่าง NGV และ ไบโอดีเซล รวมถึงการขนส่งรถไฟ คาดว่าจะช่วยลดต้นทุนอย่างน้อย 20%รวมทั้งปีนี้ได้พัฒนาระบบ Wed Tracking เพื่อให้ทุกฝ่ายทั้งผู้ส่งและผู้รับสินค้าสามารถตรวจสอบสินค้าสถานะแบบเรียลไทม์ ขณะเดียวกันได้เปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ใหม่จากเดิมใช้ลังมาเป็นพลาสติก เพื่อป้องกันการชำรุดและส่งสินค้าได้มากขึ้น รวมทั้งจัดระบบการขนส่งสินค้าที่มีราคาแพง โดยจับมือร่วมกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญ
ปัจจุบันเซ็นทรัลรีเทล มีรถบรรทุกทั้งหมด 400 คัน ได้แก่ รถ 6 ล้อ จำนวน 100 คัน และรถ 4 ล้อ 300 คัน และมีซัปพลายเออร์จำนวน 5,000 ราย หรือคิดเป็น 70-80% ที่ใช้ศูนย์กระจายสินค้าผ่านบริษัทฯ ส่วนอีก 20-30% เป็นสินค้าใหม่ที่บริหารการกระจายสินค้าเอง
|
|
|
|
|