|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
"บิ๊กธอส." คาดธปท.ลดดอกเบี้ยตามเฟดอย่างน้อย 0.25% ระบุส่งผลดีต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ ทั้งผู้ประกอบการและคนกู้ซื้อบ้าน เล็งปรับนโยบายปล่อยสินเชื่อให้ทันสมัยแข่งแบงก์พาณิชย์ได้ เริ่มจากกู้มากโขกดอกสูง กู้น้อยคิดดอกน้อย เล็งปล่อยกู้ลูกค้าบริษัทรับสร้างบ้านหวังขยายฐานลูกค้า ล่าสุดคณะกรรมกฤษฎีกาอนุมัติตั้งบริษัทประกันสินเชื่อ ด้านเอกชนชี้ดอกเบี้ยกำลังซื้อผู้บริโภคเพิ่ม พร้อมตั้งข้อสังเกตพรรคใหญ่ไม่มีมือดีด้านการเงินการคลัง
นายขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด ลง 0.75% จาก 4.25% เหลือ 3.50% เนื่องจากเฟดเล็งเห็นว่า เศรษฐกิจในสหรัฐฯปัจจุบันจะต้องทำการแก้ไขอย่างรวดเร็ว จำเป็นต้องลดดอกเบี้ยลงมากเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งอัตราดอกเบี้ยระดับดังกล่าวอยู่ใกล้กับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยที่ปัจจุบันอยู่ในระดับ 3.25% ซึ่งอาจทำให้เกิดการไหลเข้าของเม็ดเงินจากต่างชาติ จึงเชื่อว่าภายในเดือนเมษายนนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) อาจปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีกประมาณ 0.25% เพราะในเดือนเมษายนจะมีการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่งหากธปท.ประกาศลดอัตราดอกเบี้ย ธอส.ก็จะพิจารณาปรับลดตาม
อย่างไรก็ตาม หากอัตราดอกเบี้ยในตลาดปรับลดลง เชื่อว่าจะส่งผลดีต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ ทำให้ผู้บริโภคมีกำลังซื้อเพิ่มมากขึ้น รวมถึงต้นทุนทางการเงินของผู้ประกอบการลดลง แม้ว่าต้นทุนก่อสร้างจะปรับขึ้นก็ตาม โดยสินค้าที่อยู่อาศัยที่จะขายได้ จะต้องอยู่ในทำเลที่ดี มีศักยภาพ ราคาย่อมเยา
"นโยบายของรัฐบาลใหม่ ที่คาดว่านพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี จะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้กล่าวว่าจะใช้การลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.50% เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่เฟดก็ลดอัตราดอกเบี้ย จึงมีความเป็นไปได้มากว่า ธปท.จะลดดอกเบี้ยลงอีก" นายขรรค์กล่าว
ทั้งนี้ ภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกในปัจจุบันอยู่ในภาวะที่ชะลอตัวถึงตกต่ำ ทำให้ไม่เหมาะสมที่จะทำการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ (ซีเคียวริไทเซชัน) ในช่วงเวลานี้ อย่างไรก็ตามขั้นตอนต่างที่จะนำไปสู่การทำซีเคียวริไทเซชันจะดำเนินการต่อไป เพราะหากตลาดเปิดช่วงไหนก็จะสามารถดำเนินการได้ทันที และหากตลาดไม่เปิดก็สามารถระงับแผนได้ ขึ้นอยู่กับภาวะ และสามารถขายได้ทั้งภายในและต่างประเทศ
ปรับรูปแบบคิดดอกเบี้ยสินเชื่อบ้าน
นอกจากนี้ ธอส.ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา ปรับนโยบายการปล่อยสินเชื่อให้เหมาะสมกับตลาด เพื่อให้สามารถแข่งขันกับธนาคารพาณิชย์ได้ โดยเริ่มจากการพิจารณาอัตราดอกเบี้ยตามวงเงินกู้ โดยขอสินเชื่อมากจะคิดอัตราดอกเบี้ยที่สูง หากวงเงินสินเชื่อไม่มากจะคิดอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ แต่จะมีช่องว่างไม่มากนัก ซึ่งจะต้องพิจารณาในรายละเอียดอีกครั้ง อีกทั้งยังอยู่ระหว่างพิจารณาปล่อยสินเชื่อให้แก่ลูกค้าบริษัทรับสร้างบ้าน ขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาอัตราดอกเบี้ยว่าจะเป็นเท่าใดโดยคาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ในเร็วนี้
"ที่ผ่านมาเราประสบปัญหาลูกค้าหนีไปแบงก์อื่น แต่ปัจจุบันมีน้อยลง ทำให้เราต้องเร่งปรับตัวเองใหม่ เพื่อให้เกิดความเหมาะสมกับตลาดและสามารถแข่งกับแบงก์อื่นๆได้ ส่วนการปล่อยกู้ให้แก่ลูกค้าบริษัทรับสร้างบ้านนั้น ตอนนี้กำลังเจรจากับสมาคมรับสร้างบ้านว่า จะคิดดอกเบี้ยเท่าใด ซึ่งจะทำให้ธอส.มีลูกค้ากลุ่มใหม่เพิ่มเข้ามา" นายขรรค์กล่าว
นายขรรค์ กล่าวต่อว่า เมื่อวันที่ 23 ม.ค. ที่ผ่านมา ได้มีการประชุมคณะกรรมการกฤษฎีกา ธอส.สามารถเรียกผู้ถือหุ้นหารือเรื่องสัดส่วนการถือหุ้น ให้จัดตั้งบริษัทค้ำประกันเงินกู้ (มอร์เกจอินชัวร์รัน) ซึ่งภายหลังจากคณะกรรมการกฤษฎีกาประกาศออกมาเป็นกฤษฎีกาแล้วธอส.สามารถเรียกผู้ถือหุ้นมาร่วมพิจารณาถือสัดส่วนการถือหุ้น โดยธอส. ถือ 25% ส่วนที่เหลือเป็นบริษัทปันภัย ประกันชีวิต ธนาคารของรัฐ ธนาคารพาณิชย์
อย่างไรก็ตาม การจัดตั้งบริษัทประกันเงินกู้ จะต้องขอมติจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่ออนุมัติให้ตั้งบริษัทประกันใหม่ได้ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ไม่อนุมัติให้มีการตั้งบริษัทประกันใหม่ อย่างไรก็ตามเชื่อว่า ครม.จะอนุมัติเพราะถือว่าเป็นกรณีพิเศษ
"ผู้ถือหุ้นจะเป็นธอส. 25% ส่วนรายอื่นจะเป็นธุรกิจประกันชีวิต ที่ปัจจุบันร่วมทำธุรกิจกับธอส.อยู่ 11 ราย บริษัทประกันภัย 23 ราย บรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย (SMC ) และหากธนาคารพาณิชย์สนใจก็สามารถเข้ามาร่วมได้" นายขรรค์กล่าว
ส่วนผลการดำเนินงานของธอส. ในปี 2550 สามารถปล่อยสินเชื่อได้ 94,000 ล้านบาท จากเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ 95,000 ล้านบาท ส่วนในปี 2551 อยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะปล่อยสินเชื่อระหว่าง 90,000 - 100,000 ล้านบาท ซึ่งจะต้องพิจารณาจากคณะรัฐบาลใหม่โดยเฉพาะรัฐมนตรีกระทรวงการคลังว่าจะเป็นใคร ซึ่งใครจะขึ้นมาดำรงตำแหน่งก็ได้ แต่จะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถในด้านการเงินการคลัง อีกยังต้องได้รับการยอมรับจากภาคประชาชน วงการการเงิน และนักลงทุนด้วย
สำหรับนโยบายที่ต้องการฝากให้รัฐบาลชุดใหม่ดำเนินการ คือ 1.การสนับสนุนให้มีการออมก่อนกู้ซื้อบ้าน ซึ่งที่ผ่านมา ธอส.มีโปรแกรมนี้โดยลูกค้าสามารถฝากเงินออมเป็นเวลา 5 ปี และขอกู้ได้ในอัตราดอกเบี้ยพิเศษคงที่ 7 ปี 2. สนับสนุนให้เกิดการคำประกันเงินกู้ และ 3. จัดหาสินเชื่อเพื่อซื้อบ้านอัตราดอกเบี้ยคงที่ระยะยาว
เอกชนชี้ดอกเบี้ยลดอสังหาฯดีแน่
นายอิสระ บุญยัง อุปนายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวแสดงความเห็นว่า การที่เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยมี 2 ประเด็น คือ 1. เฟดและรัฐบาลสหรัฐฯยอมรับว่า เศรษฐกิจมีการถดถอยจริง ซึ่งเป็นการลดอัตราดอกเบี้ยสูงสุดในรอบ 23-24 ปี และ2. เฟดและรัฐบาล รวมไปถึงสภาคอง เกรส ซึ่งเป็นความเห็นพ้องกันของทุกฝ่ายในการแก้ไขปัญหา เป็นเรื่องที่ดีว่า ปัญหาต่างๆที่มีอยู่จะเริ่มคลี่คลายลงไป โดยเฉพาะในเรื่องของซับไพรม์ เพราะเมื่อดอกเบี้ยนโยบายลดแล้ว ดอกเบี้ยประเภทย่อมลดตาม จะทำให้ภาระการผ่อนชำระของผู้กู้ลดลง อีกทั้งการอัดฉีดเม็ดเงินของเฟด รวมถึงธนาคารของญี่ปุ่นจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯดีขึ้น
สำหรับผลต่อประเทศไทย ที่คาดว่าจะมีการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนั้นจะทำได้ยากขึ้น เพราะอัตราดอกเบี้ยของไทยและเฟดใกล้เคียงกัน ส่วนผลทางอ้อมนั้นเมื่อเศรษฐกิจสหรัฐฯดี ภาวะการส่งออกของไทยไปสหรัฐฯประมาณ 30% ของการส่งออกทั้งหมดก็จะดีขึ้น
ส่วนว่าที่รัฐมนตรีฯคลังมีแนวคิดที่จะลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น ยิ่งเป็นผลดีต่อผู้กู้ซื้อบ้านจะทำให้มีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น โดยดอกเบี้ยลดทุกๆ 1% จะทำให้กำลังเพิ่มขึ้น 6-7% อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจะต้องพิจารณาหลายๆส่วนประกอบ เพราะหากลดลงมากอาจทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อได้
นายอิสสระ กล่าวว่า สำหรับบุคคลที่จะมานั่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น ไม่ว่าจะเป็นใครก็ต้องยอมรับ เพราะมาตามวิถีแห่งระบอบประชาธิปไตย แม้ว่าจะไม่เต็มร้อยก็ตาม ต้องยอมรับว่าคนเมืองกับคนชนบทมีแนวคิดที่ต่างกัน แม้แต่คนเมืองในต่างจังหวัดเองก็ตาม ซึ่งต้องมีการแก้ไขต่อไปเพื่อให้มีแนวคิดที่ใกล้เคียงกันระหว่างคนเมืองและคนชนบท
ส่วนตัวของรัฐมนตรีกระทรวงการคลังนั้น ต้องให้โอกาสได้แสดงความสามารถ เชื่อว่า เมื่อมีการตั้งข้อสังเกตในตัวนายสุรพงษ์ว่า มีความรู้ความสามารถไม่ตรงกับตำแหน่ง จะทำให้นายสุรพงษ์พิสูจน์ตัวเอง และใช้ความพยายามหลายเท่า นอกจากนี้ยิ่งมีการตั้งข้อสังเกตก็จะยิ่งระมัดระวังในการดำเนินงานมากขึ้น และหากเป็นปัญหาทางเทคนิคก็จะสามารถใช้ทีมที่ปรึกษาได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของตัวรัฐมนตรีเอง
"รัฐมนตรีคลังเป็นใครก็ต้องยอมรับ แต่หากเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถด้านการเงิน และการคลังก็จะดีกว่า แต่เป็นเรื่องที่น่าคิดว่า พรรคใหญ่ที่ได้รับเสียงข้างมากจนจัดตั้งรัฐบาลจะไม่มีคนที่มีความรู้ความสามารถในด้านนี้เลย จนต้องให้คนจากสาขาอาชีพอื่นมาเป็นแทน" นายอิสสระกล่าว
|
|
|
|
|