Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน24 มกราคม 2551
ฝรั่งจ่อทิ้งอีก5หมื่นล้านตลาดหุ้นไทยเมินข่าวเฟดหั่นดอกเบี้ย0.75%             
 


   
search resources

Stock Exchange




ตลาดหุ้นไทย เมินข่าวเฟดหั่นดอกเบี้ย 0.75% ระหว่างวันเทรดสุดสวิง เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์ คาดฝรั่งรอทิ้งอีก 5 หมื่นล้าน ขณะที่ระยะเวลาแค่ 7 เดือนขายไปแล้ว 1.1 แสนล้านบาท ระบุยังไม่ถึง 1 ใน 3 ของยอดที่ซื้อสุทธิในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา บล.ยูบีเอส เผยต่างชาติยังมีมุมมองบวกต่อตลาดหุ้นไทย เหตุผลตอบแทนสูง รอรีเทิร์นรอบใหม่หลังปรับพอร์ตทั่วโลก โบรกเกอร์คาดเฟดพร้อมหั่นดอกเบี้ยอีก 1% พยุงเศรษฐกิจสหรัฐฯ

ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (23 ม.ค.) นักลงทุนต่างประเทศยังคงเทขายหุ้นออกมาอย่างต่อเนื่อง สวนทางกับนักลงทุนสถาบันที่ฉวยจังหวะราคาหุ้นปรับตัวลดลงเก็บของเข้าพอร์ต ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นลงอย่างผันผวน โดยปรับตัวขึ้นไปทำราคาสูงสุดของวันที่ 759.82 จุด และจุดต่ำสุดที่ 739.47 จุด ก่อนจะปิดที่ 740.65 จุด ลดลง 0.89 จุด หรือ 0.12% มูลค่าการซื้อขาย 22,233.33 ล้านบาท

ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,915.32 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 1,488.59 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 426.73 ล้านบาท

นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ เปิดเผยว่า นับจากนี้ไปจนถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2551 คาดว่านักลงทุนต่างประเทศจะยังคงขายหุ้นออกมาอีกประมาณ 40,000-50,000 ล้านบาท หรือเฉลี่ยวันละ 2,000 ล้านบาท โดยจากปัญหาซับไพรม์ทำให้ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 50 ถึงปัจจุบันนักลงทุนต่างประเทศขายหุ้นไทยแล้วจำนวน 1.1 แสนล้านบาท

โดยแนวโน้มตลาดหุ้นไทยมีโอกาสจะปรับตัวลดลงเหลือ 710 จุดได้ ซึ่งจะทำให้มีค่า P/E ประมาณ 8 เท่าถือว่าอยู่ในระดับต่ำมาก โดยการที่ราคาหุ้นไทยถูกนั้นจะมีส่วนช่วยดึงดูดเม็ดเงิน เพราะเมื่ออัตราดอกเบี้ยมีการปรับตัวลดลงต่ำ ทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรจะอยู่ในอัตราต่ำ ส่งผลให้นักลงทุนต้องหาแหล่งลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่สูง ซึ่งจะทำให้มีเม็ดเงินเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น

"ช่วง 3 ปีที่ผ่านมาต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยเกือบ 4 แสนล้านบาท การขายออกมาจากปัญหาซับไพรม์ถึงปัจจุบันจำนวน 1.1 แสนล้านบาทยังไม่ถึง 1 ใน 3 ถือว่ายังมีเม็ดเงินเหลืออีกเยอะหากจะมีการขายหุ้นออกมา โดยหุ้นที่จะขายก็มีประมาณ 10 ตัวที่เป็นหุ้นขนาดใหญ่ ในกลุ่มพลังงาน ธนาคาร อาจทำให้ดัชนีลดลงมาอยู่ที่ 710 จุด แต่คงจะไม่ถึง 680 จุด เพราะ หากลดลงจริงจะแสดงถึงว่าเศรษฐกิจจะล่มสลาย"

นายสมบัติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในสัปดาห์หน้าสมาคมนักวิเคราะห์จะมีการสำรวจความคิดเห็นของนักวิเคราะห์ในเรื่องเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้ ซึ่งคาดว่านักวิเคราะห์ต่างๆ จะปรับเป้าดัชนีลดลง ซึ่งอาจจะไม่ถึงประมาณการเดิมที่ตั้งไว้ 1,000 จุด โดยส่วนตัวมองว่าดัชนีปีนี้จะอยู่ที่ 858-900 จุด ได้ และคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะมีการลดดอกเบี้ยในช่วงไตรมาส2/51ในอัตรา 0.25-0.5%

ลุ้นดาวโจนส์ชี้นำดัชนีโลก

นายแสงธรรม จรณชัยกุล ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ธนชาต กล่าวว่า ตลอดทั้งวัน ดัชนีเคลื่อนไหวอย่างผันผวนตอบรับข่าวการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดถึง 0.75% มาอยู่ที่ 3.50% เพื่อบรรเทาปัญหาทางซับไพรม์ แต่นักลงทุนเองยังมีความกังวลต่อเรื่องเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่กำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย ทำให้ช่วงท้ายตลาดมีแรงขายออกมาอย่างหนักจนส่งผลทำให้ดัชนีพลิกกลับมาปิดในแดนลบ

ทั้งนี้ หุ้นในกลุ่มพลังงานที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่ว่าจะเป็น PTT , TOP, PTTEP , PTTAR ช่วยประคองไม่ให้ดัชนีปรับตัวลดลงไปมาก แต่ในวันนี้ (24 ม.ค.) ทิศทางของดัชนีจะต้องดีตลาดหุ้นต่างประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของดัชนีดาวโจนส์ เนื่องจากถือว่าเป็นดัชนีที่ชี้นำดัชนีตลาดหุ้นมาโดยตลอดในช่วงที่ผ่านมา

สำหรับ เรื่องการลงคะแนนเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ในวันที่ 25 ม.ค.นี้เชื่อว่าไม่น่าจะมีผลต่อจิตวิทยาในการลงทุน เนื่องจากเป็นเรื่องที่นักลงทุนรับทราบมาก่อนหน้านี้แล้ว โดยประเมินแนวรับไว้ที่ 735 - 730 จุด และแนวต้านอยู่ที่ 750 -755 จุด

เชื่อเฟดหั่นดอกเบี้ยเพิ่มอีก

นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บล. นครหลวงไทย จำกัด กล่าวว่า ผลกระทบของซับไพรม์มี 2 ด้าน คือ กระทบต่อราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ให้ปรับตัวลดลงและเกิดการเคลื่อนย้ายเงินทุนออกจากตลาดหุ้นในย่านเอเชีย ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นเป็นระยะเวลา 6 เดือน เพราะยังมีผลกระทบปัญหาซับไพรม์ออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าเฟดจะปรับลดดอกเบี้ยลงได้อีก 2-3% จากล่าสุดปรับลดลงไปแล้ว 0.75% ทำให้เป้าหมายดัชนีหลักทรัพย์ปีนี้ลดลงเหลือ 915 จุด

ทั้งนี้ คาดผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนคงจะมีการปรับลดลงเช่นกัน ขณะที่ผลกระทบต่อปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจอาจทำให้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยที่ประเมินไว้ที่ 4.5-5% ลดลงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลก

Mr.Keith Neruda Head of Research บล. ยูบีเอส (ประเทศไทย) กล่าวว่า นักลงทุนต่างประเทศยังคงมีมุมมองที่เป็นบวกต่อประเทศไทย จากที่เศรษฐกิจมีการเติบโตที่ดี และให้ผลตอบแทนการลงทนุที่สูง แต่การขายหุ้นออกมาต่อเนื่องเป็นเพราะปัจจัยภายนอกที่กดดัน ซึ่งทำให้นักลงทุนต่างประเทศมีการขายหุ้นในตลาดหุ้นต่างๆทั่วโลก โดยบริษัทได้ปรับลดประมาณการดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้เหลือ 950 จุด จากเดิม 1,080 จุด

ขายหุ้นชดเชยผลขาดทุน

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้บริหาร สถาบันวิจัยเพื่อตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวว่า ผลกระทบจากซับไพรม์กระทบไปยังวงกว้าง และกระทบถึงสถาบันทางการเงินซึ่งเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจึงต้องขายหุ้นเพื่อนำกำไรเพื่อชดเชยผลขาดทุน จึงทำให้มีแรงขายหุ้นต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ในตลาดหุ้นทั่วโลก

ทั้งนี้ การประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.75% ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นดาวโจนส์ดีดขึ้นจากปรับตัวลดลงกว่า 500 จุด มาปิดลดลงเพียง 200 จุด ขณะที่เฟดยังได้ส่งสัญญาณพร้อมที่จะดำเนินการแก้ปัญหาดังกล่าวเพิ่มเติมเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ โดยการประชุมครั้งต่อไปเฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยอีกหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับสถานการณ์ โดยคาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยในปีนี้อีกประมาณ 1%

"ตลาดหุ้นไทยมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี แต่ตลาดหุ้นไทยตอบรับปัญหาซับไพรม์นั้นเกินความเป็นจริง จึงทำให้หุ้นขึ้นและลงเร็ว ขณะที่เศรษฐกิจไทยแข็งแรงขึ้นพร้อมรับปัญหาที่เกิดเนื่องจากธนาคารและบริษัทจดทะเบียนไม่ได้ประสบปัญหา ทำให้รองรับปัญหาเศรษฐกิจโลกได้"

สำหรับประเด็นที่น่าจับตามองคือ เมื่อราคาหุ้นของสถาบันทางการเงินในสหรัฐฯปรับลดลง มีคนพร้อมที่จะเข้ามาลงทุน เพราะสหรัฐฯมีตัวกลางทางการเงินที่หลากหลาย และอาจต้องใช้ระยะเวลาในการฟื้นตัว แต่ขึ้นอยู่กับว่าสถาบันทางการเงินเหล่านั้นได้ปรับลดลงมากน้อยเพียงใด แต่ทั้งนี้ ต้องไม่ลืมที่จะคำนึงถึงสภาพคล่องทั่วโลกที่เข้ามาใช้แก้ปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯ ประกอบกับค่าเงินสหรัฐฯที่อ่อนค่ารวมถึงปัญหาซับไพรม์ จึงเชื่อว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นมีอีกมาก และใช้เวลานาน   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us