“แสนสิริ” ฟุ้งผู้นำตลาดคอนโดฯ ยอดขายปี 50 ทั้งกลุ่ม 10,500 ล้านบาท ส่วนยอดขายรวมทะลุ 20,000 ล้านบาท รับรู้รายได้ 13,500 ล้านบาท ปี 51 เปิดใหม่ 15 โครงการ มูลค่า 15,300 ล้านบาท เล็งลดค่าใช้จ่ายสร้างแบรนด์หวังเพิ่มกำไร เชื่อรัฐบาลใหม่เรียกความเชื่อมั่นนักลงทุน คาดดอกเบี้ยลดอีก 0.5% จากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว พร้อมยอมรับเพิ่มทุนลำบากยันไม่กระทบแผนดำเนินงาน ระบุมีเงินทุนอีกเพียง เตรียมงบซื้อที่ดิน 3,300 ล้านบาท
นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลการดำเนินของกลุ่มบริษัทแสนสริว่า ผลการดำเนินธุรกิจในปี 2550 กลุ่มบริษัทแสนสิริและบริษัทในเครือ ซึ่งประกอบด้วย พลัส พรอ็พเพอร์ตี้ จำกัด และพร้อมพัฒนา พร็อพเพอร์ตี้ มียอดขาย ทั้งสิ้น 4,300 ยูนิต รวมมูลค่า 20,000 ล้านบาท รับรู้รายได้ 13,500 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายจากพลัสฯ 30% ส่วนที่เหลือเป็นของแสนสิริและพร้อมพัฒน์ ในจำนวนดังกล่าวเป็นยอดขายสินค้าประเภทคอนโดมิเนียมถึง 10,500 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นยอดขายสูงสุดในตลาด ส่วนอัตรากำไรยังไม่สามารถเปิดเผยได้ ขณะที่มียอดขายรอรับรู้รายได้อีกจำนวน 21,000 ล้านบาท โดยจะสามารถรับรู้ได้ภายในปี 2551 จำนวน 12,000 ล้านบาท
“ ในปี 2551 นี้ กลุ่มบริษัทแสนสิริจะยังคงใช้กลยุทธ์การพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยที่ครบวงจร โดยมีแผนจะเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ๆ อย่างน้อย 15 โครงการ ในทำเลที่เหมาะสมสำหรับการอยู่อาศัย มูลค่าโครงการขายประมาณ 15,300 ล้านบาท เป็นโครงการของแสนสิริ 6 โครงการ มูลค่า 7,500 ล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นของบริษัทในเครือ เมื่อรวมกับโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาที่ต่อเนื่องจากปีก่อน กลุ่มบริษัทแสนสิริและบริษัทในเครือจะมีโครงการที่อยู่อาศัยรองรับการขายในปี 2551 อย่างน้อย 54 โครงการ ส่วนประมาณการยอดขายรวมสำหรับปี 2551 ไว้ที่ประมาณ 20,000 ล้านบาท” นายเศรษฐา กล่าว
สำหรับแผนการขยายโครงการใหม่ในปี 2551 ของกลุ่มบริษัทแสนสิริและบริษัทในเครือ อีก 15 โครงการ ประกอบด้วย โครงการบ้านจัดสรร 5 โครงการ มูลค่าโครงการประมาณ 6,000 ล้านบาท โครงการคอนโดมิเนียมประมาณ 6 โครงการ มูลค่าโครงการประมาณ 5,800 ล้านบาท และโครงการทาวน์เฮ้าส์ประมาณ 4 โครงการ มูลค่าโครงการประมาณ 3,500 ล้านบาท รวมมูลค่าโครงการที่จะพัฒนาใหม่ทั้งสิ้นประมาณ 15,300 ล้านบาท
สำหรับแผนการเพิ่มทุนเพื่อก้าวกระโดดสู่ความเป็นผู้นำตลาดอสังหาฯ เป็น 14,300 ล้านบาท ในราคาพาร์ 4.28 บาท ขณะที่ราคาตลาดเพียง 3.50-3.60 บาท ยอมรับว่าทำได้ยากหากระดมทุนภายในประเทศ จึงต้องหานักลงทุนจากต่างประเทศ แต่มาเจอกับปัญหาเศรษฐกิจโลกชะลอตัว รวมถึงปัญหาซับไพรม์ของสหรับอเมริกา จึงทำให้การระดมทุนไม่สำเร็จ แต่อย่างไรก็ตามปัญหาดังกล่าวจะไม่กระทบต่อการดำเนินของบริษัท ทั้งในเรื่องเงินลงทุนและแผนการลงทุน โดยปัจจุบันบริษัทมีหนี้สินต่อทุน 1.5 : 1 ส่วนเงินลงทุนซื้อที่ดินนั้นยังเป็นกระแสเงินสดของบริษัทเองอีกด้วย
นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า สำหรับรับบาลใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศ เชื่อว่าแค่มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งก็จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นในแก่นักลงทุนทั้งในและนอกประเทศ ส่วนตัวบุคคลที่จะมาเป็นทีมบริหารนั้นจะเป็นส่วนที่สร้างความเชื่อมั่นมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของทั้งโลกหลายคนระบุว่าเป็นวิกฤตเศรษฐกิจโลก ซึ่งจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มปรับลดลงอีกประมาณ 0.5%
“ตราบใดที่ดอกเบี้ยยังต่ำ ก็เชื่อว่าตลาดอสังหาฯจะยังเติบโตได้ ส่วนมาตรการที่รัฐจะเข้ามาช่วยก็ขอให้ช่วยเลยไม่ใช้ประกาศแล้วทิ้งไว้อีก 3-4 เดือน กลับเกิดผลในเชิงลบมากกว่า” นายเศษฐา กล่าวและว่า
สำหรับการปรับขึ้นของราคาน้ำมันนั้นได้ส่งผลให้ต้นทุนวัสดุและต้นทุนการก่อสร้างปรับขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการหลายรายได้ปรับขึ้นราคาบ้านไปบ้างแล้ว ส่วนแสนสิริจะยังพยายามคงราคาเดิมไว้ให้นานที่สุด แต่จะต้องดูจากกำไรขั้นต้นต้องไม่ต่ำกว่า 30% หากมีอัตราที่ต่ำกว่า ก็คงต้องปรับขึ้นราคา เชื่อว่าอย่างน้อย 5%
“เราจะประวิงเวลาไว้ให้นานที่สุด และพยายามลดค่าใช้จ่ายในส่วนอื่นลง แต่เชื่อว่าจะได้ไม่นานคงต้องปรับขึ้นราคาอีกประมาณ 5% ส่วนผลกำไรในปรที่ผ่านมาที่มีน้อยเนื่องจากมีค่าใช้จ่ายจากการสร้างแบรนด์ทั้งแสนสิริและพลัส ซึ่งนับว่าได้ผลเป็นอย่างดี ในปีนี้จึงเตรียมที่จะลดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ลง จึงเชื่อว่าจะทำให้มีกำไรเพิ่มมากขึ้น เศรษฐากล่าว
|