เรื่องของเทคโนโลยีขั้นสูงทางด้านที่ถูกนำมาใช้กับระบบการสำรองที่นั่งของสายการบิน
เป็นเรื่องใหม่สำหรับเมืองไทยที่มีคนรู้เรื่องอยู่แทบจะนับตัวได้ หนำซ้ำการบินไทยเจ้าของเรื่องก็กลับกลายทำยึกยักอมพะนำไม่ยอมชี้แจ้งแถลงไขให้กระจ่าง
จะมีเจตนาอำพรางประการใดหรือไม่ก็สุดที่จะรู้ได้ แต่เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือการบินไทยก็คือ
"น้า" ที่ไม่ค่อยจะสบอารมณ์นักกับวิธีการเสนอเรื่องของการบินไทย
ซึ่งดูเหมือนหวังอาศัยการที่ ครม.เองก็ยังไม่ถ่องแท้ในเรื่องนี้นัก มาเป็นเงื่อนไขผลักดันให้เรื่องนี้ผ่านไปอย่างง่ายๆ
โครงการมูลค่าพันล้านบาท ที่การบินไทยหมายมั่นปั้นมือว่าได้ไฟเขียวแน่ๆ ถึงกับไปตกลงจัดตั้งบริษัทขึ้นดำเนินการล่วงหน้าก่อนที่จะได้รับอนุมัติ
จึงต้องถูก "แช่แข็ง" เอาไว้ก่อน
การบินไทยเสนอโครงการร่วมลงทุนในระบบอบาคัสเพื่อขอความเห็นชอบต่อกระทรวงคมนาคมเมื่อกลางเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว
ศรีภูมิ สุขเนตร ปลัดกระทรวงคมนาคม ลงนามให้ความเห็นชอบกับโครงการนี้แล้วส่งต่อไปให้สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเมื่อวันที่
13 กรกฎาคม 2531 เพื่อให้สภาพัฒน์พิจารณาก่อนนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่ออนุมัติเป็นขั้นตอนสุดท้าย
(โปรดอ่านสาระสำคัญของโครงการในล้อมกรอบ "โครงการระบบตัวแทนจำหน่าย...")
โครงการลงทุนระบบอบาคัสนี้ต้องใช้เงินสูงถึงพันกวาล้านบาท แม้คนของการบินไทยบางคนจะเอ่ยปากว่า
การบินไทยนั้นชินเสียแล้วกับการใช้จ่ายเงินจำนวนมากๆ เช่นนี้ ก็เป็นการพูดที่ค่อนข้างจะละเลยข้อเท็จจริงไปว่า
ถึงจะเป็นเงินในกระเป๋าตัวเอง แต่ด้วยฐานะของการเป็นรัฐวิสาหกิจแห่งชาติ
การบินไทยไม่อาจจะปฏิเสธความระมัดระวังในการใช้เงินไม่ว่าจะมากหรือน้อยแค่ไหนไปได้
ยิ่งเป็นการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ซึ่งมีความสลับซับซ้อนความสมประโยชน์จากเงินที่ลงไปยิ่งเป็นเรื่องที่ต้องพินิจกันอย่างถี่ถ้วน
และกับข้อเสนอที่จะให้ศูนย์กลางควบคุมข้อมูลไปตั้งอยู่ที่สิงคโปร์ มิตรประเทศที่ไม่เคยละเว้นการแข่งขันในทุกๆ
ด้านกับไทย มีผลต่อความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างไทยกับสิงคโปร์ในการเป็นจุดยุทธศาสตร์ของระบบเทคโนโลยีข้อมูล
ข่าวสารและศูนย์กลางโทรคมนาคมในภาคพื้นเอเชียแปซิฟิค
ในโลกใบเล็กๆ ที่แคบลงทุกทีด้วยความก้าวหน้าของวิทยาการการติดต่อสื่อสารข้อมูลและข่าวสารได้กลายเป็นสินค้าที่มีราคาค่างวดไปแล้ว
ข้อเสนอเช่นนี้มีความสำคัญต่อยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศชาติในระยะยาว มากกว่าผลประโยชน์ทางธุรกิจของสายการบินแห่งชาติอย่างเทียบเคียงกันไม่ได้
โครงการขนาดใหญ่เช่นนี้ต้องใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่และเป็นโครงการที่มีความสำคัญต่อทิศทางของชาติอย่างนี้
สภาพัฒน์อาศัยรายละเอียดในเอกสารที่การบินไทยส่งให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาจำนวนรวมกันแล้วแค่เพียง
10 หน้า เป็นข้อมูลในการศึกษาความเหมาะสม และความเป็นไปได้โดยไม่ได้มีการสืบหาข้อมูลเพิ่มเติมเลยแม้แต่น้อย
แล้วสรุปเป็นความเห็น และข้อมูลประกอบที่ถอดเอามาจากข้อเสนอของการบินไทยมีความยาวจำนวน
7 หน้าเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2531 เพื่อให้ความเห็นชอบในการลงทุนตั้งระบบอบาคัสของการบินไทยทุกประการเป็นเงินลงทุนทั้งสิ้น
1,091.66 ล้านบาท
โดยวิถีทางที่เคยเป็นมาในการเสนอเรื่องให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติ ลองสภาพัฒน์เปิดไฟเขียวให้ความเห็นชอบอย่างนี้แล้ว
โอกาสที่เรื่องจะผ่าน ครม. อย่างสะดวกโยธินมีอยู่เกือบเต็มหนึ่งร้อยเปอร์เซนต์
ถ้ารัฐบาลผลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เรื่องอบาคัสก็ดูเหมือนจะอยู่ในวิถีทางเช่นนี้ด้วย
เพราะความเห็นของสภาพัฒน์มีน้ำหนักมากต่อการตัดสินใจของพลเอกเปรม
แต่ในยุคของพลเอกชาติชาย ชุณหวัณ นั้น มีทีมงานที่ปรึกษาส่วนตัวที่คอยทำหน้าที่หาข้อมูลและเสนอความเห็นต่อพลเอกชาติชายโดยตรง
ความเห็นของสภาพัฒน์จึงไม่ใช่แนวทางการตัดสินใจแต่เพียงแนวทางเดียวกันอีกต่อไป
หากแต่จะต้องถูกตรวจสอบเทียบเคียงกับความเห็นของคณะที่ปรึกษาไปพร้อมๆ กันด้วย
เป็นความเห็นที่ผ่านการกลั่นกรองจากกระบวนความคิดที่ทันสมัยและดลกทรรศน์ที่กว้างไกลกว่ากรอบของระบบราชการไทย
เรื่องอบาคัสจึงถูกยับยั้งในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม
2531 เมื่อพลเอกชาติชายสั่งให้กระทรวงคมนาคมและการบินไทยกลับไปทำการบ้านมาใหม่โดยเฉพาะในประเด็นความจำเป็นที่ศูนย์อบาคัสต้องไปอยู่ที่สิงคโปร์
รวมทั้งรายละเอียดความเหมาะสมของการตั้งระบบนี้ขึ้นมา
เพราะเรื่องที่เกี่ยวพันกับเทคโนโลยีชั้นสูงในการประมวลข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์เช่นนนี้
เอกสารเพียง 7 หน้า ย่อมไม่อาจทำให้รัฐมนตรี 44 คนซึ่งส่วนใหญ่ไม่คุ้นเคยกับวิทยาการสมัยใหม่เกิดความถ่องแท้ได้ว่าอบาคัสคืออะไร
นอกเหนือไปจากเครื่องคิดเลขในยุคเก่าก่อนที่เรียกว่า "ลูกคิด"
ในโลกการบินที่แข่งขันทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ ระบบการจองตั๋วด้วยคอมพิวเตอร์
(COMPUTER RESERVATION SYSTEM) หรือ CRS ได้กลายมาเป็นเครื่องมือสำคัญของสายการบินต่างๆ
ในการแย่งชิงผู้โดยสารและส่วนแบ่งทางการตลาดของตนเอง
เป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าวิธีการตัดราคาหรือโปรแกมล่อใจที่แถมพ่วงไปกับตั๋วเครื่องบิน
ระบบการจำหน่ายตั๋วเครื่องบินในปัจจุบันนั้น 75% เป็นการขายผ่านเอเย่นต์การสื่อสารระหว่างเอเย่นต์กับสายการบินเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องของเที่ยวบินแต่ละเที่ยวจึงเป็นเรื่องจำเป็น
ข้อมูลเหล่านี้ได้แก่ วันเวลาที่จะทำการบิน จำนวนที่ว่างในเครื่องที่จะขายได้
(SEAT AVALIBILITY AND STATUS) และราคาตั๋วซึ่งเป็นข้อมูลที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้โดยสาร
ยิ่งเป็นการเดินทางที่ผู้โดยสารต้องต่อเครื่องบินเป็นช่วงๆ ต้องมีการจองตั๋วล่วงหน้าแล้วข้อมูลเหล่านี้ยิ่งมีความสำคัญ
เมื่ออุตสาหกรรมการบินขยายตัวเส้นทางการบินของสายการบินแต่ละสายแผ่ขยายไปในขอบเขตที่กว้างขึ้น
มีเอเย่นต์กระจายออกไปตามพื้นที่ต่างๆ เที่ยวบินที่มากมาย และการเปลี่ยนแปลงตารางการบินและราคาค่าโดยสารบ่อยๆ
ทำให้ความถูกต้องแม่นยำและความรวดเร็วในการสื่อสารระหว่างเอเย่นต์กับสายการบินก็กลายเป็นเรื่องจำเป็นมากยิ่งขึ้น
การติดต่อโดยทางโทรศัพท์ โทรเลขหรือเทเล็กซ์กลายเป็นความล้าหลังและล่าช้าไปเสียแล้วสายการบินต่างๆ
ได้นำเอาคอมพิวเตอร์มาใช้ในระบบการสำรองที่นั่งผ่านเอเย่นต์แทน
"คอมพิวเตอร์กลายเป็นหัวใจสำคัญของสายการบิน" แบร์รี่ เอ โคตาร์
ประธานกิจการบริษัทในเครือของ อัลลีจิส คอร์ป เจ้าของระบบจองตั๋วดวยคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า
"อพอลโล" ยอมรับความสำคัญของระบบคอมพิวเตอร์ "หากปราศจากคอมพิวเตอร์เสียแล้ว
สายการบินทั้งหลายจะไม่สามารถดำนินธุรกิจไปได้เลย"
ระบบสำรองที่นั่งด้วยคอมพิวเตอร์นี้เป็นเครื่องมือในการขยายช่องทางการจำหน่ายตั๋วเครื่องบินสายการบินต่างๆ
แข่งขันกันชักจูงเอเย่นต์จำหน่ายตั๋วให้เลือกใช้ระบบของตนเอง เพราะบนจอเทอร์มินัลที่ตั้งอยู่ที่สำนักงานของเอเย่นต์จะแสดงเที่ยวบินของสายการบินเจ้าของระบบเท่านั้น
และผู้โดยสารจะตัดสินใจซื้อจากข้อมูลที่ปรากฏอยู่บนจอ
จุดแข่งขันของสายการบินต่างๆ ในการเสนอระบบของตัวเองนั้นอยู่ที่การพัฒนาซอฟท์แวร์ให้สามารถแสดงข้อมูลได้มากที่สุด
เป็นข้อมูลที่ทันสมัยที่สุดและใช้ได้ง่ายที่สุด
สหรัฐอเมริกาเป็นตลาดที่มีการแข่งขันกันด้วยระบบนี้มากที่สุด และมีการพัฒนาระบบได้ทันสมัยมากที่สุด
เพราะเป็นตลาดขนาดใหญ่และการเดินทางด้วยเครื่องบินเป็นสิ่งปกกติธรรมดา
การแข่งขันเริ่มมาตั้งแต่กลางทศวรรษ 1970 จนถึงตอนนี้สหรัฐอเมริกามีระบบ
CRS อยู่ด้วยกันห้าระบบคือ "ซาเบร" ของอเมริกันแอร์ไลน์ ซึ่งมีส่วนแบ่งตลาดมากที่สุด
ประมาณ 38%
อันดับสองคือ ระบบ "อพอลโล" ของยูไนเต็ดแอร์ไลน์ มีส่วนแบ่ง
30%
อันดับสามคือ ระบบ "ซิสเต็มวัน" ของเท็กซัสแอร์ มีส่วนแบ่ง 15%
อันดับสี่คือ ระบบ "พารส์" ของทีดับบริวเอและนอร์ธเวสท์ มีส่วนแบ่ง
10%
สุดท้ายคือ ระบบ "ดาต้าทู" ของสายการบินเดลต้าซึ่งมีส่วนแบ่งอยู่
7%
ในระบบใหญ่ๆ อย่างเช่น "ซาเบร" และ "อพอลโล" นั้น
นอกจากสายการบินเจ้าของระบบแล้วยังมีสายการบินเล็กๆ ที่มาขอร่วมใช้ระบบด้วย
โดยจ่ายค่าบริการให้กับเจ้าของระบบ
ยูไนเต็ดแอร์ไลน์นั้นคิดค่าธรรมเนียมจากสายการบินอื่นๆ ที่ใช้การจองตั๋วผ่านระบบอพอลโลของตน
1.85 เหรียญต่อการจองตั๋วหนึ่งเที่ยวบิน
จอห์น ซี โนเบิ้ล ประธานของ "นอร์ธเวสเทิร์น บิสซิเวล" ซึ่งเป็นเอเย่นต์ขายตั๋วที่มีสาขาในเครือ
12 แห่ง กล่าวว่าปี 2529 เอเย่นต์ในเครือของเขาขายตั๋วได้ 180,000 ใบ เป็นตั๋วของยูไนเต็ด
แอร์ไลน์เพียง 5% อีก 95% เป็นตั๋วของสายการบินอื่นที่จองผ่านอพอลโล
เฉพาะการขายตั๋วของนอร์ธเวสเทิร์นเพียงแห่งเดียว ยูไนเต็ดก็มีรายได้จากค่าธรรมเนียมการใช้อพอลโลร่วมๆ
สามแสนเหรียญเข้าไปแล้ว
ระบบ CRS นอกจากจะเป็นเครื่องมือในการเพิ่มส่วนแบ่งตลาดแล้ว ยังเป็นตัวสร้างรายได้อย่างมหาศาลให้กับเจ้าของระบบด้วย
การแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นและก้าวหน้าทางวิทยาการคอมพิวเตอร์เป็นแรงผลักดันให้มีการพัฒนาระบบ
CRS ขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง ไปเป็นระบบตัวแทนจำหน่ายแบบเบ็ดเสร็จ (GLOBAL DISTRIBUTION
SYSTEM หรือ GDS
GDS นั้นมีหลักการในการทำงานที่ไม่แตกต่างไปจาก CRS เพียง แต่มีเครือข่ายข้อมูลที่ใหญ่กว่า
โดยมีข้อมูลของสายการบินหลายๆ สายที่เป็นสมาชิกเชื่อมต่อกับตัวแทนจำหน่ายทั่วโลก
และมีข้อมูลที่เกี่ยวกับการบริการอื่นๆ ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเช่น การจองห้องพักโรงแรม
การจองรถ การซื้อโปรแกรมทัวร์ เป็นต้น
ระบบคอมพิวเตอร์ของ GDS ไม่เพียงแต่จะเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ของเอเย่นต์ขายตั๋วเท่านั้น
แต่จะเชื่อมกับคอมพิวเตอร์ของโรงแรม เอเย่นต์ขายทัวร์หรือบริการท่องเที่ยวอื่นๆ
ที่เป็นสมาชิกของ GDS ด้วย
ผู้โดยสารที่ซื้อตั๋วจากเอเย่นต์ของ GDS สามารถจองโรงแรมหรือซื้อทัวร์ในประเทศจุดหมายปลายทางโดยผ่านเทอร์มินัลของเอเย่นต์ขายตั๋วได้ทันที
ในทางกลับกัน ลูกค้าของโรงแรมหรือเอเย่นต์ทัวร์ก็สามารถจองตั๋วเครื่องบินผ่านเทอร์มินัลของโรงแรมหรือบริษัททัวร์ได้ในทันทีเช่นกัน
GDS จึงเป็นระบบที่สามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับการบริการต่อเนื่องในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวได้อย่างเบ็ดเสร็จครบวงจร
ณ จุดขายเพียงจุดเดียวเท่านั้น เป็นความสะดวกของผู้โดยสารที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อได้เป็นอย่างมาก
และเป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้เอเย่นต์ขายตั๋วได้ง่ายขึ้นจึงเท่ากับเป็นแรงจูงใจที่จะดึงเอเย่นต์ให้เข้ามาเป็นสมาชิกของระบบ
GDS มากขึ้น
ความสำคัญของ GDS ในฐานะเครื่องมือขยายส่วนแบ่งตลาดโดยผ่านช่องทางจำหน่ายที่เพิ่มมากขึ้นอยู่ที่ตรงนี้!!
เนื่องจาก GDS เป็นระบบที่ใหญ่มากต้องใช้เงินลงทุนสูง และต้องมีการพัฒนาซอฟท์แวร์ให้ทันสมัยอยู่เสมอ
จึงมีเพียงสายการบินของสหรัฐฯเท่านั้นที่สร้างระบบของตัวเองขึ้นใช้ได้โดยการพัฒนา
GDS ที่มีอยู่แล้วให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
สงครามการแย่งชิงเอเย่นต์ให้มาใช้ระบบการจองตั๋วของแต่ละระบบในสหรัฐฯได้ขยายวงออกไปสู่นอกประเทศ
โดยมีระบบซาเบรและอพอลโลซึ่งใหญ่กว่าเพื่อนเป็นหัวหอกตะลุยเข้าไปยังยุโรป
เอเย่นต์ในยุโรปทำสัญญาเช่าอุปกรณ์และใช้ระบบซาเบรและอพอลโลถึง 400 ราย!
เมื่อคู่แข่งบุกมาแย่งตลาดถึงภายในบ้านตัวเอง สายการบินในยุโรปจึงต้องขยับตัวหาทางปกป้องการแย่งชิงเอเย่นต์จากสหรัฐอเมริกา
ด้วยการสร้างระบบของตัวเองขึ้นมาบ้าง
ลำพังแต่ละสายการบินโดๆ การสร้างระบบที่เป็นของตัวเองเพียงสายเดียวไม่คุ้มค่าต่อการลงทุน
สายการบินในยุโรปจึงต้องใช้วิธีการรวมตัวกันหลายๆ สายเพื่อสร้างระบบร่วมกัน
และการที่จะไปตั้งต้นพัฒนาซอฟท์แวร์ของตนเองขึ้นมาใหม่นั้นก็เป็นเรื่องที่กินเวลาและต้องใช้เงินมาก
วิธีที่เร็วที่สุดคือซื้อซอฟท์แวร์จาก GDS ของสหรัฐฯมาปรับปรุงให้เหมาะกับตลาด
ซึ่งดูเหมือนจะสอดคล้องกับผลประโยชน์ของผู้เป็นเจ้าของซอฟท์แวร์ได้อย่างพอดิบพอดี
เพราะการแข่งขันระหว่างระบบต่างๆ นั้น ด้านหนึ่งเป็นการแข่งกันดึงเอเย่นต์เข้ามาใช้ระบบของตน
อีกด้านหนึ่งนั้นก็เป็นการแข่งกันขายซอฟท์แวร์ของตนให้กับสายการบินที่ต้องการจะสร้างระบบของจนเอง
การแข่งขันในด้านของการดึงเอเย่นต์นั้น สำหรับเอเย่นต์ในตลาดที่มีความแตกต่างจากตลาดในสหรัฐฯ
เจ้าของระบบต้องลงทุนปรับปรุงซอฟท์แวร์ของตนเพื่อให้เหมาะสมกับผู้ใช้บริการ
ในขณะที่การขายซอฟท์แวร์ออกไปเลยนั้น ไม่ต้องมีการลงทุนเพิ่มเติมมากเท่าไรนักเพราะเป็นสิ่งที่ตัวเองมีอยู่แล้ว
แถมยังได้เงินนก้อนใหญ่เป็นการถอนทุนคืนด้วย
ซอฟท์แวร์ของ "ซาเบร" นั้นเสนอขายกันในราคา 30 ล้านเหรียญ
และเพื่อรักษาช่องทางการจัดจำหน่ายของตนให้ยังคงอยู่ เมื่อสายการบินที่ซื้อซอฟท์แวร์ของตนไปสามารถสร้าง
GDS ของตัวเองได้แล้ว เจ้าของระบบ GDS เดิมในสหรัฐฯก็จะต้องใช้วิธีเข้าไปถือหุ้นในระบบ
GDS ที่กำลังจะเกิดขึ้นใหม่ เพื่อให้สามารถขายตั๋วผ่านเอเย่นต์ในยุโรปได้ด้วย
การเกิดขึ้นของ GDS ในยุโรปจึงเป็นไปในแนวทางนี้
บริติช แอร์เวย์,เคแอลเอ็ม,ออสเตรียนแอร์ไลน์และสวิสแอร์ รวมกันตั้งระบบ
GDS ของตนในชื่อว่า กาลิเลโอ โดยใช้ซอฟท์แวร์ของระบบอพอลโลจากยูไนเต็ดแอร์ไลน์มาพัฒนา
และยูไนเต็ดแอร์ไลน์ได้ลงทุน 120 ล้านดอลลาร์เพื่อเข้าเป็นหุ้นส่วนในระบบกาลิเลโอด้วย
เชินเดียวกับการเกิดขึ้นของระบบอมาดิอุสซึ่งเป็นระบบร่วมของแอร์ฟรานซ์,ลุฟท์ฮันซ่า,เอสเอเอส
และไอบีเรียของสเปน โดยใช้ซอฟท์แวร์ของระบบซาเบรของอเมริกันแอร์ไลน์ซึ่งได้เข้ามาถือหุ้นด้วยเช่นกัน
ทั้งกาลิเลโอและอมาดิอุสจะเสร็จสมบูรณ์พร้อมที่จะใช้งานได้ในต้นปีนี้
ซาเบรและอพอลโลยังขยายเครือข่ายข้อมูลของตนเข้าไปยังญี่ปุ่นซึ่งเป็นตลาดการบินที่ใหญ่แห่งหนึ่งของโลกด้วย
ซาเบรเข้าสู่ญี่ปุ่นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2529 โดยเข้าร่วมกับระบบเรซานนาซึ่งเป็น
CRS ของออลนิปปอน แอร์เวย์ สายการบินอันดับสองในญี่ปุ่น ส่วนอพอลโลใช้วิธีชักชวนเอเย่นต์ในญี่ปุ่น
โดยตรงให้มาใช้ระบบของตน นับตั้งแต่เดือนเมษายน 2529 ซึ่งอพอลโลเริ่มเข้าตลาดญี่ปุ่นได้มีการติดตั้งเทอร์มินัลไปแล้ว
120 เครื่อง
การบุกตลาดของระบบ GDS จากสหรัฐฯ เป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้สายการบินในภูมิภาคอื่นๆ
จำเป็นต้องสร้างระบบของตัวเองข฿นมาเพื่อปกป้องตลาดเอาไว้
การเกิดขึ้นของกาลิเลโอและอมาเดอุสก็เพื่อปกป้องการรุกรานของอพอลโลและซาเบรในยุโรป
ความคิดในภาคพื้นเอเชียแปซิฟิคก็เกิดขึ้นในทำนองเดียวกัน
นี่คือที่มาของ อบาคัส ระบบ GDS ของสายบินในแถบเอเชียแปซิฟิค
แรกเริ่มเดิมทีนั้น มีห้าสายการบินที่จะร่วมกันลงทุนสร้างระบบ คือ แจแปนแอร์ไลน์
แควนตัส สิงคโปร์แอร์ไลน์ คาเธ่ย์แปซิฟิคและการบินไทย โดยมีการประชุมครั้งแรกเมื่อต้นปี
2530 แต่แล้วแจแปนแอร์ไลน์กับแควนตัสก็ขอถอนตัวในระยะต่อมา เหลืออยู่เพียงสามสายการบินเท่านั้น
แจแปนแอร์ไลน์นั้น มีตลาดใหญ่พอที่จะสามารถสร้างระบบเป็นของตนเองขึ้นมาได
้และมีความต้องการซอฟท์แวร์ที่เป็นภาษาญี่ปุ่น เพื่อให้เอเย่นต์ในประเทศใช้ได้โดยสะดวก
เงื่อนไขสำคัญประการหนึ่งที่เชื่อกันว่ามีผลต่อการตัดสินใจถอนตัวของแจแปนแอร์ไลน์ก็คือ
คู่แข่งสำคัญภายในประเทศอย่างออลนิปปอนแอร์เวย์ได้เชื่อมระบบของตนเข้ากับระบบซาเบรที่มีเครือข่ายขนาดใหญ่ไปแล้ว
และอพอลโลก็กำลังรุกดึงเอเย่นต์ในประเทศให้มาเข้ากับระบบของตนอยู่เช่นกัน
ความได้เปรัยบเสียเปรียบในการเลือกใช้ GDS แต่ละระบบจึงเป็นข้อพิจารณาที่สำคัญอันหนึ่ง
เช่นเดียวกับแควนตัสของออสเตรเลียที่มีตลาดภายในที่หใญ่มาก และมีสายการบินในประเทศอีกสองสายคือ
แอนเซ็ทและออสเตรเลียนแอร์ไลน์ ในขณะที่ระบบกาลิเลโอของยุโรปกำลังเจรจากับแอนเซ็ทให้ใช้ระบบของตัวเองอยู่
แควนตัสเองก็มีแผนการที่จะสร้างระบบของตนเองร่วมกันอีกสองสายการบินในประเทศ
พร้อมๆ กับข่าวว่าแควนตัสกับแจแปนแอร์ไลน์นั้นอาจจะจับมือกันสร้างระบบ GDS
ขึ้นมาอีกระบบหนึ่งก็ได้
เหตุผลอีกประการหนึ่งในการถอนตัวของแควนตัสคือ ต้องการดึงศูนย์อบาคัสไปอยู่ที่ประเทศของตนซึ่งสายการบินอื่นๆ
ไม่เห็นด้วย
แควนตัสและสายการบินแจแปนแอร์ไลน์มีจำนวนผู้โดยสารถึง 62% ของจำนวนผู้โดยสารทั้งหมดของสายการบินในภูมิภาคนี้
ในขณะที่การบินไทย สิงคโปร์แอร์ไลน ์และคาเธ่ย์แปซิฟิค มีผู้โดยสารรวมกันแล้วแค่
13% เท่านั้น
การถอนตัวของแควนตัสและแจแปนแอร์ไลน์ จึงทำให้ขนาดของอบาคัสหดเล็กลงไปในทันที
แต่ทั้งสามสายการบินก็ยังเดินหน้าต่อไป เดือนธันวาคม 2530 ได้มีการประกาศร่วมกันอย่างเป็นทางการในการจัดตั้งระบบอบาคัสขึ้น
และตั้งบรัทอบาคัสขึ้นเป็นเอกเทศเพื่อดำเนินการเรื่องนี้โดยเฉพาะตั้งอยู่ที่สิงคโปร์
อบาคัสจะใช้ซอฟท์แวร์ของระบบพาร์สมาพัฒนาเป็นระบบของตนเอง!
ตามแผนการเมื่ออบาคัสเสร็จสมบูรณ์แล้วปลายปี 2532 จะเชื่อมเข้ากับระบบพาร์สระบบอมาดิอุสของยุโรป
และระบบเจมินิของแคนาดาซึ่งพัฒนามาจากระบบพาร์สเช่นเดียวกัน
เป็นสัญญาพันธมิตรเพื่อขยายเครือขายออกไปครอบคลุมตลาดให้มากที่สุด โดยอบาคัสจะคุ้มครองตลาดดในเอเชียแปซิฟิคพาร์สคุ้มครองตลาดในสหรัฐฯ
อมาดิอุสคุ้มครองตลาดในยุโรปและเจมินิคุมตลาดในแคนาดา
โดยการเชื่อมกันอย่างนี้ทั้งสามสายการบินที่เป็นเจ้าของอบาคัสก็จะสามารถขายตั๋วผ่านเอเย่นต์ที่เป็นสมาชิกของระบบพาร์ส
อมาดิอุสและเจมินิได้เพิ่มขึ้นอีกกว่า 10,000 ช่อง เพราะเที่ยวบินของทั้งสามสายจะปรากฏอยู่บนจอเทอร์มินัลของเอเย่นต์ในระบบดังกล่าวได้เพื่อเป็นข้อมูลให้ผู้โดยสารเลือกซื้อ
อบาคัสจึงเป็นทั้งเครื่องมือที่จะปกป้องตลาดจากการรุกของระบบ GDS อื่ๆ
และเป็นเครื่องมือขยายตลาดเข้าไปในภูมิภาคอื่นๆ พร้อมกันไปด้วย
ความจำเป็นที่การบินไทยจะต้องใช้ระบบ GDS เป็นเครื่องมือทางการตลาดของตนนั้น
เป็นเหตุผลที่ไม่มีใครปฏิเสธ
แต่วิธีการที่จะให้ได้มานั้น เป็นปัญหาอยู่ว่า การไปลงทุนสร้างระบบอบาคัสขึ้นมาเองเป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุดและดีที่สุดแล้วหรือไม่
ประการแรก การถอนตัวของแควนตัส และแจแปนแอร์ไลน์จากอบาคัสทำให้เครือข่ายของอบาคัสเล็กลงไปทันที
เพราะทั้งสองสายการบินที่ถอนตัวไปมีส่วนแบ่งผู้โดยสารในภาคพื้นเอเชีย แปซิฟิครวมกันถึง
62% ในขณะที่การบินไทย สิงคโปร์แอร์ไลน์และคาเธ่ย์แปซิฟิคมีส่วนแบ่งรวมกันแล้วแค่
13% เท่านั้น
ระบบอบาคัสที่กะเก็งกันว่าจะมีส่วนแบ่งตลาดในเอเชียถึง 75% จึงกลับกลายเป็นแค่เสี้ยวเล็กๆ
เสี้ยวหนึ่งในตลาดไปเท่านั้น
คำถามก็คือว่า อบาคัสเป็น GDS หรือเป็นเพียงการเชื่อมกันของระบบสำรองที่นั่งด้วยคอมพิวเตอร์ของสายการบินทั้งสามสายเท่านั้น?
เหมือนที่การบินไทย ได้เชื่อมระบบ ROYAL ของตนเข้ากับระบบของสิงคโปร์แอร์ไลน์
และคาเธ่ย์ แปซิฟิคอยู่แล้วในขณะนี้
อบาคัสมีแผนที่จะชักชวนสายการบินอื่นๆ ในแถบเอเชียนี้เข้ามาใช้ระบบนี้ด้วยเมื่อพัฒนาเสร็จสมบูรณ์แล้ว
เพื่อเป็นการขยายเครือข่ายให้กว้างขึ้น แต่อบาคัสอาจจะไม่ใช่ทางเลือกเพียงทางเดียวของสายการบินเหล่านั้น
เพราะมีข่าวว่า แควนตัสก็กำลังทาบทามสายการบินที่ไม่ได้เข้าร่วมกับอบาคัสมาร่วมสร้างระบบ
GDS ขึ้นใหม่เพื่อแข่งกับอบาคัสโดยตรง
เมื่อฐานะของอบาคัสเป็นอย่างนี้เสียแล้ว ความสามารถ หรือศักยภาพที่จะปกป้อง
และขยายส่วนแบ่งตลาดอย่างที่วางเอาไว้ตั้งแต่แรกก็เป็นที่น่าสงสัยว่า จะทำได้มากน้อยแค่ไหน
และเวลาที่จะไปเชื่อมกับพารส์หรืออแมดิอุส อบาคัสจะมีอำนาจต่อรองมากน้อยเพียงใดที่จะให้แสดงข้อมูลของตนอย่างทัดเทียมกันกับข้อมูลของสองระบบดังกล่าว
ลำดับก่อนหลังของข้อมูลที่ปรากฏบนจอเทอร์มินัลของเอเย่นต์นั้นมีผลต่อการขายอยู่ไม่น้อย
ข้อมูลที่ปรากฏในบรรทัดแรกๆ บนจอ มีโอกาสที่จะถูกเลือกซื้อมากกว่าข้อมูลในลำดับหลังๆ
การจัดลำดับของข้อมูลนั้นเป็นการจัดตามฐานะและอำนาจต่อรองของสายการบินที่อยู่ในระบบ
สายการบินที่เป็นเจ้าของระบบ จะได้สิทธิในการแสดงข้อมูลก่อน สายการบินอื่นที่เข้ามาเป็นสมาชิกภายหลัง
และในระดับของการเชื่อมระหว่างระบบต่อระบบแล้วระบบที่มีเครือข่ายหรือส่วนแบ่งตลาดมากย่อมได้เปรียบระบบที่มีขนาดเล็กกว่าอย่างแน่นอน
ประการที่สอง การเลือกใช้ซอฟท์แวร์ของระบบพารส์นั้น แท้ที่จริงแล้วก็คือการเข้าไปเป็นส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯแค่
10% เท่านั้น ในขญะที่ระบบซาเบรและอพอลโลมีส่วนแบ่งถึง 38 และ 30% ตามลำดับ
มีช่องทางจำหน่ายที่มากกว่ากันมาก
แหล่งข่าวในการบินไทยให้เหตุผลในการเลือกเข้าระบบพารส์ว่า เป็นเพราะพารส์มีขนาดที่เหมาะสมกับความต้องการของสายการบิน
ในกลุ่มอบาคัส และซอฟท์แวร์ของพารส์มีราคาเพียง 6 ล้านเหรียญแต่ของซาเบรนั้นสูงถึง
30 ล้านเหรียญ
แต่การบินไทยคงจะไม่หยุดยั้งการเติบโตแต่เพียงเท่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้เป็นแน่การเลืกใช้ระบบที่ใหญ่กว่า
แม้จะต้องลงทุนสูงในขั้นแรก แต่ในระยะยาวแล้วน่าจะเป็นการรองรับการขยายตัวในอนาคตได้อย่างทันท่วงที
การใช้ซอฟท์แวร์ของพารส์จึงถูกตั้งข้อสงสัยว่าจะให้ประโยชน์กับอบาคัสได้ทัดเทียมกับการใช้ซอฟท์แวร์ของซาเบรหรืออพอลโลได้หรือไม่?
ประการที่สาม การบินไทยทำไมถึงไม่ใช้วิธีเข้าไปเป็นสมาชิกของระบบ GDS ที่มีอยู่แล้วหลายระบบแทนที่จะต้องมาลงทุนสร้างขึ้นเอง
ในเอกสารชี้แจ้งเพิ่มเติมของการบินไทยได้ให้ข้ออธิบายในเรื่องนี้ไว้ว่า
การเข้าไปเป็นสมาชิกของระบบใดนั้น การบินไทยจะอยู่ในฐานะผู้ขอใช้ระบบ ไม่ใช่เจ้าของระบบแม้จะมีโอกาสได้ช่องทางจำหน่ายและโอกาสขายเพิ่มขึ้นบ้าง
แต่ก็ไม่ทัดเทียมกับสายการบินที่อยู่ในฐานะเจ้าของระบบ เพราะไม่มีอำนาจต่อรองที่จะนำเสนอข้อมูลของตนให้ปรากฏบนจอเทอร์มินัลในลำดับแรกๆ
เหมือนกับเจ้าของระบบ ทำให้โอกาสในการขายลดน้อยลง
เรื่องของอบาคัสนั้นว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องใหม่สำหรับสังคมไทยความที่เป็นเรื่องใหม่และเป็นเรื่องเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ชั้นสูงเช่นนี้
ทำให้การเปรียบเทียบผลดีผลเสียไม่อาจจะชี้ลงไปได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าในแง่ของเทคนิคหรือประโยชน์ในเชิงพาณิชย์
เป็นเรื่องที่แม้แต่ในการบินไทยผู้เป็นเจ้าของเรื่องโดยตรงก็มีคนรู้เรื่องอยู่เพียงไม่กี่คน
"มีคนที่รู้เรื่องนี้ดีในการบินไทยเพียงสองคนเท่านั้น คนหนึ่งเป็นคนไทยอีกคนหนึ่งเป็นชาวต่างประเทศที่ทำงานอยู่ที่นี่"
แหล่งข่าวใน "การบินไทย" เปิดเผยกับ "ผู้จัดการ"
เมื่อข่าวการเสนอเรื่อง อบาคัสเข้าสู่ครม. เปิดเผยขึ้น ความรับรู้ของสาธารณชนจึงมีอยู่เพียงแค่ว่า
อบาคัสคือศูนย์คอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการสำรองตั๋วเครื่องบินซึ่งจะช่วยปกป้องตลาดของการบินไทยเท่านั้น
ส่วนตื้นลึกหนาบางจะเป็นประการใดไม่มีใครล่วงรู้ได้
เหตุผลที่ประชุม ครม. ในการเบรกเรื่องนี้ไว้ในครังแรกนั้น คือ อบาคัสน่าจะมาอยู่ที่เมืองไทยมากกว่สิงคโปร์
การบินไทยไม่สามารถอธิบายให้ ครม.เข้าใจในเรื่องที่อบาคัสต้องไปตั้งที่สิงคโปร์ได้ดีพอ
พลอากาศเอกวีระ กิจจาทร ผู้อำนวยการใหญ่ของการบินไทยเปิดเผยกับ "ผู้จัดการ"
ว่าระบบการโทรคมนาคมของสิงคโปร์นั้นดีมาก โดยเฉพาะเรื่องเคเบิลใต้น้ำ ในกรณีที่ระบบธรรมดาเสียก็ยังใช้เคเบิลใต้น้ำได้
และเรื่องนี้เป็นการตัดสินใจในเรื่องธุรกิจต้องคำนึงถึงต้นทุน ค่าใช้จ่ายด้วย
ค่าใช้จ่ายในสิงคโปร์นั้นถูกที่สุด
คนของเราไปเสนอในประเด็นที่ว่าสิงคโปร์มีเครื่องมือ และกำลังคนพร้อมกว่าของเราสู้ไม่ได้
ก็เหมือนกับดูถูกคนไทยด้วยกัน แต่ไม่ได้พูดถึงรายละเอียดให้ชัดเจน ท่านนายกเลยตีกลับมาว่า
ถ้างั้นก็เอาเครื่องมือกับคนของเขามาตั้งที่เมืองไทยนี่ คนของเราไป PRESENT
ไม่ถูกจุด" พลอากาศเอกวีระกล่าวกับ "ผู้จัดการ" ในจุดบกพร่องของทีมงาน
แต่ถึงการบินไทยจะชี้แจงได้ตรงเป้าตรงประเด็นอย่างไร อบาคัสก็ไม่มีสิทธิไปอยู่ที่สิงคโปร์แน่
เพราะขอบเขตการพิจารณาในเรื่องที่ตั้งนี้ได้ขยายวงเลยออกไปถึงยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ
ให้เป็นศูนย์กลางของเทคโนโลยีการประมวลผลข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์และศูนย์กลางการโทรคมนาคมของสิงคโปร์
เทคโนโลยีสารสนเทศ (INFORMATION TECHNOLOGY) เป็นหนึ่งในหกอุตสาหกรรมเป้าหมายของสิงคโปร์ในช่วง
5-10 ปีข้างหน้าเพื่อรองรับเป้าหมายที่จะทำให้ประเทศเป็น FREE DATA PROCESSING
ZONE
คณะกรรมการด้านเศรษฐกิจของกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมสิงคโปร์ได้ระบุไว้ในรายงานเมื่อปี
2529 ว่า อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์และสื่อสารเป็น "คลื่นลูกใหม่ทางเศรษฐกิจของสิงคโปร์ในอนาคต"
GEE WEE POO ผู้บรรยายทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัยแห่งชาติ
สิงคโปร์ได้กล่าวไว้ในรายงานเรื่อง "TDF IN SINGAPORE" ของเขาว่า
"เทคโนโลยีสารสนเทศกำลังจะเป็นเส้นเลือดเศรษฐกิจใหม่ของสิงคโปร์ ความอยู่รอดของสิงคโปร์ขึ้นอยู่กับความก้าวหน้าของวิทยาการทางด้านนี้
ซึ่งจะเป็นการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในตลาดโลก"
คณะกรรมการคอมพิวเตอร์แห่งชาติของสิงคโปร่ได้รับการจัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินงานตามกลยุทธ์แห่งชาติด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
ซึ่งครอบคลุมถึงการพัฒนาบุคลากรและโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น
พร้อมกับการเกิดขึ้นของโครงการบริการด้านข้อมูลอย่างเช่น TELCOM (FLIGHT
INFORMATION DISTRIBUTION SERVICE), TRAVELNET (FOR AIRLINE RESERVATION
และ SSIS (SINGAPORE INTERNATIONAL SOFTWARE SERVICE) เป็นต้น
ข้อเสนอให้อบาคัสไปอยู่ที่สิงคโปร์อาจจะเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดในทางธุรกิจเมื่อมองกันในระดับเอกชนหรือบริษัท
แต่ถ้าพิจารณากันในระดับประเทศแล้ว ข้อเสนอเช่นนี้เป็นข้อเสนอที่ "เข้าทางปืน"
ของสิงคโปร์พอดี
ถึงแม้จนบัดนี้ นโยบายทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของไทยยังไม่แน่ชัดโครงสร้างพื้นฐานทางด้านนี้
ก็ยังไม่พร้อมแต่ความสำคัญของอุตสาหกรรมนี้ก็มีความยิ่งใหญ่และมีผลประโยชน์มหาศาลกว่าผลประโยชน์ของการบินไทยอย่างไม่อาจทัดเทียมกันได้
เป็นความขัดแย้งระหว่างผลประโยชน์ส่วนย่อยกับผลประโยชน์ส่วนใหญ่ที่เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้เรื่องอบาคัสต้องถูกดองเอาไว้
อีกสาเหตุหนึ่งนั้นสืบเนื่องมาจากความใหม่ของอบาคัสเอง และการดำเนินการที่รู้เรื่องกันอยู่ไม่กี่คน
ที่ทำให้เกิดการตั้งข้อสังเกตว่าจะมีลับลมคมในบางอย่างซ่อนอยู่เบื้องหลัง
การตระเตรียมเรื่องนี้ได้ดำเนินการมาตั้งแต่สมัยที่ พลอากาศเอก ประหยัด
ดิษยะศริน ยังเป็นผู้อำนวยการกรรมการการบินไทยอยู่ คนที่รับผิดชอบโดยตรงคือ
ฉัตรชัย บุณยะอนันต์ รองผู้อำนวยการใหญ่ ซี่งขณะนั้นยังควบตำแหน่งรักษาการผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดอยู่ด้วย
อีกสองคนที่เข้ามามีส่วนในการริเริ่มและผลักดันคือ นีลส์ ลุมโฮมส์ ผู้อำนวยการฝ่าย
อุตสาหกิจการบินกับเฮนริค เหลา ผู้อำนวยการฝ่ายขาย ทั้งคู่เป็นชาวสวีเดนที่ทำงานกับเอสเอเอสมาก่อน
เมื่อเอสเอเอสถอนตัวออกไปจากการบินไทย สองคนนี้ก็ยังตกค้างเป็นพนักงานการบินไทยอยู่จนถึงปัจจุบัน
การตกลงใจเข้าร่วมตั้งอบาคัสเกิดขึ้นตั้งแต่ปลายปี 2530 แล้ว เดือนธันวาคมในปีนั้น
ฉัตรชัยส่งเทเล็กซ์แจ้งข่าวการตั้งอบาคัสไปให้สื่อมวลชนต่างประเทศ ข้อความตอนหนึ่งในเทเล็กซ์นั้นระบุว่า
"การหารือในเรื่องโครงสร้างบริษัท การเงิน แผนธุรกิจ และลักษณะของระบบ
ได้กระทำกันมาตั้งแต่หกเดือนที่แล้ว ขณะนี้การเจรจาเรื่องซอฟท์แวร์และการติดตั้งระบบพื้นฐานกำลังดำเนินการอยู่
ได้มีการตั้งรักษาการผู้บริหารของบริษัทนี้เรียบร้อยแล้ว และอบาคัสจะเริ่มดำเนินการได้อย่างเต็มที่
ปลายปี 2532"
รักษาการผู้บริหารที่ฉัตรชัยเอ่ยถึงในเทเล็กซ์ก็คือ แอนดรูส์ เฮอร์ดแมน
ซึ่งเป็นคนของคาเธ่ย์ แปซิฟิค และเป็นผู้จัดการทั่วไปของอบาคัสในสิงคโปร์ขณะนี้!
การดำเนินการเรื่องนี้ยังเดินหน้าต่อไปแม้ว่าฉัตรชัยจะเหลือตำแหน่งเป็นรองผู้อำนวยการใหญ่เพียงตำแหน่งเดียว
โดยนเรศ หอวัฒนกุล ขึ้นมาเป็นผู้อำนวยการฝ่ายตลาดเต็มตัว เมื่อเดือนเมษายน
2531 แต่อบาคัสก็ยังอยู่ในมือของฉัตรชัย
"เขาจับมาตั้งแต่ต้นและไม่เคยมีใครเข้าไปยุ่งเกี่ยวเลย" แหล่งข่าวในการบินไทยบอกว่า
นี่คือเหตุที่เรื่องนี้ยังอยู่กับฉัตรชัยต่อไป
มีการส่งคนไปฝึกอบรมทางด้านเทคนิคเป็นระยะๆ ที่ศูนย์ของระบบพารส์ที่แคนซัส
ซิตี้พร้อมๆ กับการตกลงใจที่จะใช้ซอฟท์แวร์ของพารส์มาพัฒนาระบบอบาคัส ขั้นตอนของการดำเนินงานที่แน่ชัดถูกกำหนดขึ้นอย่างเรียบร้อย
กลางเดือนมิถุนายน 2531 การบินไทยส่งเรื่องไปยังกระทรวงคมนาคมเพื่อเสนอขออนุมัติใช้เงินลงทุนในโครงการนี้
เป็นการขออนุมัติหลังจากที่เดินหน้าไปอย่างเต็มตัวแล้ว โดยที่ผู้จะต้องทำหน้าที่ให้อนุมัติเองก็ยังไม่รู้เรื่องแม้แต่น้อย
"เรื่องนี้จำเป็นต้องเดินหน้าไปก่อนเพราะเราไม่ได้ทำเอง ถ้าจะมารอให้อนุมัติก่อน
ทางสิงคโปร์กับคาเธ่ย์อาจจะรอไม่ได้" คนใกล้ชิดฉัตรชัยอธิบายถึงความจำเป็นที่ต้องทำข้ามหน้าข้ามตาไปอย่างนี้
แต่เป็นการเดินหน้าที่ออกจะก้าวล้ำเส้นมากเกินไปสักหน่อย สำหรับรัฐยาลที่ไม่ค่อยจะถือสาหาความนัก
เรื่องแบบนี้ก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร
บังเอิญที่พลเอกชาติชาย ชุณหวัณ ไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นไปด้วย การกระทำของการบินไทยเช่นนี้จึงค้างคาอยู่ในจิตใจแม้จะไม่ได้เอ่ยปากออกมาตรงๆ
"สิ่งนี้เป็นที่ไม่สบายใจแก่ท่านนายกฯเป็นอย่างยิ่ง เพราะท่านจะต้องรับผิดชอบในการอนุมัติเงินงบประมาณซึ่งเป็นเงินของรัฐ
1,000 ล้านบาท ซึ่งมติ ครม.ต้องให้ไฟเขียว แต่ยังไม่รู้ข้อมูลเลย ท่าไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง
"แหล่งข่าวระดับสูงในทำเนียบรัฐบาลสะท้อนความรู้สึกของพลเอกชาติชายผ่าน
"ผู้จัดการ"
และบังเอิญอีกเหมือนกันที่มีข้อมูลจากคาเธ่ย์ แปซิฟิคไปเข้าหูของพลเอกชาติชายว่าทางคาเธย์นั้นไม่ได้มีปัญหาอะไรกับเรื่องที่ตั้งของอบาคัส
จะเป็นที่ไทยหรือสิงคโปร์ก็ได้ขอเพียงให้มีโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อมเท่านั้น
ซึ่งขัดแย้งกับข้ออ้างของการบินไทยว่า คาเธย์ยืนยันจะให้อบาคัสอยู่ที่สิงคโปร์
ความคลางแคลงใจในเบื้องหน้าเบื้องหลังของวิธีการทำทงานแบบนี้จึงเกิดขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
การเดินเรื่องอย่างเงียบเชียบของกลุ่มฉัตรชัยถูกตั้งข้อสงสัยว่า อาจจะมีเจตนาแอบแฝงบางอย่างอยู่ด้วย
หนึ่งในข้อสงสัยนั้นก็คือ การดึงอบาคัสไปตั้งที่สิงคโปร์ก็เพื่อต้องการให้อบาคัสซึ่งมีฐานะเป็นบริษัทลูกของการบินไทยไกลหูไกลตา
หลุดพ้นจากการควบคุมตรวจสอบของรัฐบาล เพื่อการหาประโยชน์ของผู้เกี่ยวข้องจะได้เป็นไปอย่างสะดวก
ผลประโยชน์มหาศาลของอบาคัสอยู่ที่การเรียกเก็บค่าบริการจากสายการบินที่ใช้การจองตั๋วผ่านระบบนี้ในอัตรา
1.5-2.0 ดอลลาร์ต่อหนึ่งช่วงการเดินทางของผู้โดยสาร และเก็บจากกิจกรรมท่องเที่ยวอื่นๆ
เช่นโรงแรมในอัตราประมาณ 3-4 ดอลลาร์ต่อครั้งของการจองผ่านอบาคัส
ความสำคัญอีกประการหนึ่งของอบาคัสก็คือ เป็นศูนย์กลางควบคุมข้อมูลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวสายการบินต้องส่งข้อมูลทางด้านการบริการของตนเองให้อบาคัสเพื่อป้อนเข้าระบบคอมพิวเตอร์
ฐานะของอบาคัสจึงเป็นผู้ผูกขาดการใช้ข้อมูลการท่องเที่ยวไปโดยปริยาย
ถึงแม้จะเป็นความแคลงในในเชิงการสันนิษฐานล่วงหน้าในขณะที่อบาคัสยังไม่ได้ดำเนินการอย่างจริงจัง
แต่ท่วงทำนอง วิธีการทำงานที่มีคนรับรู้อยู่ไม่กี่คน ประกอบเข้ากับความอึมครึมในเรื่องผลประโยชน์ในฝ่ายการตลาดของการบินไทยที่ได้รับการกล่าวขานกันอยู่เสมอใ
ข้อสงสัยนี้จึงถูกโยงเข้าไปเป็นเบื้องหลังของการตั้งอบาคัสอย่างเลี่ยงไม่ได้
และกับความเหมาะสมของซอฟท์แวร์ที่อบาคัสเลือกใช้คือ ซอฟท์แวร์ของพารส์และการเปรียบเทียบระหว่างการตั้งระบบกับการเข้าเป็นสมาชิกของระบบที่มีอยู่แล้ว
เป็นปัญหาที่การบินไทยก็ไม่สามารถอธิบายได้ชัดเจน
"คุณฉัตรชัยก็อ้ำ อึ้งๆ เมื่อถูกซักเรื่องนี้ในที่ประชุมเหมือนกัน"
แหล่งข่าวในการบินไทยกล่าวกับ "ผู้จัดการ"
พลเอกชาติชายจึงสั่งให้นำเรื่องนี้กลับไปทบทวนใหม่ พร้อมๆ กับตั้งคณะทำงานขึ้นสามคนเพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยละเอียดสำหรับการพิจารณาครั้งใหม่
ว่ากันว่าสองในสามคนของคณะทำงานนั้นคือที่ปรึกษาด้านนโยบายของนายกฯที่เชี่ยวชาญในเรื่องเทคโนโลยีอีกหนึ่งนั้นเป็นดอกเตอร์ทางคอมพิวเตอร์จาก
ฮาร์วาร์ด ที่อยู่ในสต๊าฟของคณะที่ปรึกษาด้วย
แหล่งข้อมูลที่ดีที่สุดในเรื่องนี้ก็คือการบินไทยซึ่งอยู่ในฐานะผู้รู้เรื่องดีที่สุดเพราะเป็นเจ้าของเรื่องโดยตรง
คณะทำงานที่นายกฯมอบหมายให้ศึกษาเรื่องนี้ได้ใช้เวลาสามอาทิตย์ติดต่อขอข้อมูลเรื่องอบาคัสจากการบินไทยทั้งทางโททรศัพท์
จดหมายและเทเล็กซ์
สิ่งที่ได้รับกลับมานั้นคือความเงียบ!
"ไม่มีใครมาให้ข้อมูล มี่เอกสารไม่มีการชี้แจงต่อทีมงานที่ปรึกษานายกฯเลยจะเป็นด้วยเหตุผลอะไรนั้น
จนบัดนี้ก็ยังไม่ทราบ" แหล่งข่าวในทำเนียบฯ กล่าวกับ "ผู้จัดการ"
การบินไทยเองก็คงจนปัญญาที่จะหาข้อมูลมาให้กับคณะทำงานนี้ เพราะเป็นเรื่องที่ทั้งบริษัทมีคนรู้เรื่องกันอยู่เพียงสองคนเท่านั้น
คนสองคนนี้ก็ไม่ยอมออกมาชี้แจงอะไรเสียด้วย!
ระยะเวลาดังกล่าวนั้น ยุทธการล้างบางในการบินไทยซึ่งก่อเค้ามาตั้งแต่การเปลี่ยนตัวผู้อำนวยการใหญ่จาก
พลอากาศเอกประหยัด เป็นพลอากาศเอกวีระ เมื่อ 1 ตุลาคม 2531 ได้ปะทุขึ้นเป็นระลอกแรกเมื่อพลอากาศเอก
วีระ สั่งโยกย้ายสับเปลี่ยนผู้บริหารระดับสูง 6 คนในฝ่ายปฏิบัติการ
ตัวฉัตรชัยเองตกเป็นข่าวว่าคือเป้าต่อไปของยุทธการนี้ แม้จะไม่มีการแตะต้องในเรื่องตำแหน่งหน้าที่โดยตรง
แต่ฉัตรชัยก็ถูกดึงงานที่มีอยู่ในมือทั้งหมดออกไป รวมทั้งเรื่องอบาคัสนี้ด้วย
คนที่เข้ามาดูแลเรื่องนี้โดยตรงคือพลอากาศเอก วีระ
"ผมพยายามติดต่อขอเข้าพบท่านนายกฯ เพื่อชี้แจงเรื่องนี้อยู่หลายครั้ง
แต่ท่านไม่ว่าง ท่านเคยนัดให้ไปรอที่บ้าน ผมรอถึงสามทุ่ม แต่ปรากฏว่าท่านติดธุระด่วน
เลยไม่ได้เจอ" พลอากาศเอกวีระพูดถึงเรื่องนี้วันที่มีการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนเมื่อวันที่
26 ธันวาคมที่ผ่านมา
ในขณะที่ทางกระทรวงคมนาคมหลังจาก ครม.ให้ทบทวนเรื่องไปตั้งอบาคัสที่สิงคโปร์แล้วก็ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
และมีความเห็นยืนยันตามการบินไทยว่า อบาคัสต้องไปตั้งที่สิงคโปร์
กระทรวงคมนาคมเสนอเรื่องอบาคัสให้ ครมม.พิจารณาอีกครั้งหนึ่งเมื่อวันที่
6 ธันวาคม 2531 คราวนี้มีเอกสารชี้แจงเพิ่มเติมของการบินไทยเองอีก 15 หน้า
เนื้อหาสาระไม่ได้แตกต่างไปจากรายละเอียดโครงการที่ยื่นไปครั้งแรกมากมายนัก
คราวนี้การบินไทยไม่มีโอกาสแม้แต่จะเข้าไปชี้แจงใน ครม.เลย เพราะพลเอกชาติชายพูดสั้นๆ
ว่า "ถ้าหากอบาคัสไม่ได้ตั้งในประเทศไทยก็ไม่ต้องเอามาพูด ไม่ต้องชี้แจงเรื่องนี้ใน
ครม.อีก"
เบื้องหลังความไม่สบอารมณ์ของพลเอกชาติชายในเรื่องนี้นั้นเป็นเพราะว่าการบินไทยนั้นมีเวลาอยู่ถึงสามสัปดาห์ที่จะให้ข้อมูล
ชี้แจงต่อคณะที่ทำงานเพื่อสรุปเรื่องนี้ต่อคณะรัฐมนตรีก่อนที่จะมีการประชุมแต่การบินไทยกลับไม่ยอมมาชี้แจงก่อน
แต่ใช้วิธีจะไปชี้แจงในวันที่ประชุมเลย
"การที่จะเอาเรื่องเทคนิค มีรายละเอียดเยอะๆ มาให้รัฐมนตรี 44 คน
พูดหรือถามเดี๋ยวนั้นเป็นสิ่งที่ยาก เพราะเราจะไปหวังว่าทุกคนจะถ่องแท้กันหมดในเรื่องคอมพิวเตอร์มัมนไม่อยู่ในวิสัยที่รัฐมนตรีซึ่งยังไม่ได้รับข้อมูลเพียงพอจะถามได้
ท่านก็เลยคิดว่าไม่มีใครมีความรู้พอที่จะถาม ก็อย่าเพิ่งไปถามอะไรมันเลย
ไม่ต้องเอาเข้ามาจนกว่าจะได้ข้อมูลเพียงพอที่จะเสนอแก่รัฐมนตรีทุกคน แล้วค่อยเชิญเข้ามา"
แหล่งข่าวในทำเนียบเปิดเผยกับ "ผู้จัดการ"
เรื่องอบาคัสจึงถูก "แช่แข็ง" เอาไว้ก่อน!
"เรายังตอบไม่ได้เลยว่าจะทำยังไงต่อไปตอนนี้ที่ทำได้ก็คือ WAIT AND
SEE"
พลอากาศเอก วีระ พูดถึงทางออกของการบินไทยหลังจากที่โครงการอบาคัสต้องหยุดชะงักลง
ในขณะที่มีข่าวว่า สิงคโปร์แอร์ไลน์และคาเธ่ย์แปซิฟิคตัดสินใจเดินหน้าต่อไปตามลำพัง
ผู้สันทัดกรณีท่านหนึ่งพูดถึงเรื่องนี้ว่า ขนาดของอบาคัสแต่เดิมนั้นก็เล็กอยู่แล้ว
เมื่อการบินไทยซึ่งมีตลาดทัดเทียมกับสิงคโปร์แอร์ไลน์กับคาเธ่ย์แปซิฟิคไม่สามารถที่จะเข้าร่วมได้
เครือข่ายของอบาคัสก็ยิ่งหดตัวเล็กลงไปอีก
ตรงนี้ทั้งสิงคโปร์แอร์ไลน์และคาเธ่ย์คงจะต้องคิดหนักว่าถ้าเล่นกันอยู่เพียงสองรายจะคุ้มหรือไม่?
ส่วนในเรื่องการปกป้องตลาด เมื่อการบินไทยไม่มีเครื่องมือตัวนี้แล้ว จะทำอย่างไรที่จะรักษาตลาดนี้ไว้?
ผู้สันทัดกรณีรายเดิมอรรถาธิบายต่อไปว่า อบาคัสเป็นเพียง "เครื่องมือ"
ตัวหนึ่งเท่านั้น เรื่องของประสิทธิภาพทางการตลาดขึ้นอยู่กับ "แผนการตลาด"
ว่าเป็นอย่างไรมากกว่า
"ลองเครื่องบินดีเลย์บ่อยๆ อย่างนี้ต่อให้มีเครื่องมือมากมายแค่ไหน
ก็รักษาตลาดไว้ไม่ได้หรอก" แหล่งข่าวเน้นตัวอย่าง
แต่อบาคัสก็ยังไม่ถึงกับหมดความสำคัญไปเสียทีเดียว ถึงอย่างไรความจำเป็นที่จะต้องมีระบบสำรองตั๋วเครื่องบินที่มีขนาดใหญ่
และทันสมัยก็ยังเป็นเรื่องจำเป็นอยู่ในโลกของการแข่งขันทางการบินที่ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามามีบทบาทเป็นอย่างสูง
เพียงแต่ว่าสถานะของระบบนี้จะเป็นเช่นไร จะอยู่ตรงไหน ที่จะก่อประโยชน์สูงสุดต่อประเทศด้วย
มันเป็นศิลปะการตัดสินใจด้วยเหตุผล ECONOMIC OF MANAGEMENT ที่คนในการบินไทยต้องรำลึกอยู่ด้วย!
เรื่องของอบาคัสในอีกด้านหนึ่งได้ทำให้ความคิดที่จะจัดตั้ง "เขตอุตสาหกรรมข้อมูลอีเล็กทรอนิกส์
(DATA PROCESSING ZONE หรือ DPZ) เป็นรูปเป็นร่างชัดเจนขึ้น
DPZ นี้ก็คือศูนย์คอมพิวเตอร์ที่จะเก็บข้อมูลและเรียกข้อมูลในทุกด้านมาวิเคราะห์ได้
รวมทั้งข้อมูลทางธุรกิจด้วยโดยมีหลักการในการดำเนินงานคล้ายคลึงกับเขตอุตสาหกรรมการส่งออกที่ต้องการให้เกิดความคล่องตัวและมีต้นทุนที่ต่ำ
เช่นเป็นเขตปลอดภาษีการนำเข้าเครื่องมือและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และโทรคมนาคม
ให้ความสะดวกในเรื่องการเข้าเมืองของคนต่างประเทศที่จะมาทำงานใน DPZ นี้
และมีการลดหย่อนภาษีรายได้ให้เช่นเดียวกับที่ให้กับเขตอุตสาหกรรมการส่งออก
ระบบอบาคัสเป็นตัวอย่างหนึ่งของอุตสาหกรรมข้อมูลที่จะมาใช้บริการจาก DPZ
ในการประชุม ครม. วันเดียวกับที่มีการยับยั้งเรื่องอบาคัส ก็ได้มีการเสนอเรื่อง
DPZ เป็นการทดแทนระบบอบาคัสด้วยและกระทรวงวิทยาศาสตร์รับไปศึกษาเรื่องความเป็นไปได้ที่จะจัดตั้ง
ว่ากันว่า เรื่อง DPZ นี้เป็นเรื่องการผลักดันจากคณะที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรีโดยตรง
แต่ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีออกหน้าและรับช่วงดำเนินการให้เป็นจริงต่อไป
อุทาหรณ์จากเรื่องอบาคัสนี้ น่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับหน่อวยงานราชการหรือรัฐวิสาหกิจในการนำเสนอโครงการใหญ่ๆ
ที่เป็นเรื่องเทคโนโลยีสมัยใหม่ให้ ครม.พิจารณา ความเป็นจริงอันหนึ่งที่จะต้องตระหนักกันเอาไว้ก็คือ
ทิศทางของการพัฒนาประเทศทุกวันนี้นั้นเป็นเรื่องที่ต้องคำนึงถึงเรื่องของการเลือกใช้เทคโนโลยีกันอย่างจริงจัง
โครงการของหน่วยงานหนึ่งๆ นั้นไม่เพียงพอแต่จะมีผลต่อหน่วยงานนั้นโดยตรง
หากแต่ยังผูกพันต่ออนาคตของประเทศชาติในระยะยาวด้วย
ท่วงทำนอง ขั้นตอนของการเสนอโครงการจะต้องมีการปรับเปลี่ยนเสียใหม่จะต้องมีรายละเอียด
ข้อมูลที่จะทำให้ผู้ที่ตัดสินใจมีความเข้าใจเป็นอย่างดีในเรื่องนั้นๆ ความเคยชินเก่าๆ
ที่เคยใช้กันมาก่อนๆ นั้น ถึงเวลาแล้วที่จะต้องโยนทิ้งไป!!