Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ มกราคม 2532








 
นิตยสารผู้จัดการ มกราคม 2532
เอ็ม.บี.เอ.ไม่ใช่สูตรสำเร็จ แง่คิดจากศิษย์เก่าเคลล็อค             
 


   
search resources

MBA




ทศวรรษจากนี้ไปเป็นช่วงข้อต่อสำคัญของธุรกิจไทยคือ การเปลี่ยนอำนาจการบริหารจากรุ่นผู้ก่อตั้งไปสู่รุ่นสองและกำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคชนรุ่นที่สามในบางกิจการ

ปรากฏการณ์นี้มีนัยสำคัญมันหมายถึงชั้นเชิงการบริหารจักต้องเปลี่ยนไป

ในอดีตผู้ก่อตั้งอาศัยเพียงรู้จักเกาะกุมโอกาส สายสัมพันธ์ ความขยันขันแข็ง อดทน ก็สามารถก่อร่างสร้างกิจการได้แล้ว แต่ปัจจุบันสภาพแวดล้อมทางธุรกิจเปลี่ยนแปลงไปรวดเร็วมากๆ อาทิ ความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี การแข่งขันระหว่างประเทศ นวัตกรรมใหม่ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา ผลิตภัณฑ์ที่รุ่นก่อตั้งเคยเก็บเกี่ยวกำไรอย่างมโหฬารได้ในอดีตทว่าเมื่อเผชิญภาวะการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน สินค้าตัวเดิมอาจจะประสบปัญหาทางการตลาดอันเนื่องมาจากรสนิยมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลง

มันเป็นภาระที่ชนรุ่นสองหรือรุ่นสามจักต้องสานต่อด้วยความระมัดระวังอันถือเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เพราะมีผลกระทบต่ออนาคตของกิจการที่ผู้ก่อตั้งให้กำเนิดขึ้นมาด้วยความยากลำบาก

กิจการที่ชนรุ่นหลังสืบทอดนั้นเมื่อเทียบกับขนาดเมื่อเริ่มก่อตั้งแล้ว บางกิจการผิดกับสภาพปัจจุบันอย่างมากมาย ธนาคารกรุงเทพสมัยชินเพิ่งเข้ารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหม่ๆ เมื่อเทียบกับสมัยชาตรีดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการก็มีขนาดสินทรัพย์ เงินฝาก หรือจำนวนสาขาที่ห่างไกลกันลิบลับ มิพักต้องกล่าวถึงสมัยที่ชาติศิริ โสภณพนิช ต้องแบกภาระต่อในอนาคตข้างหน้า

การดำรงฐานะของกิจการให้เติบโตกว่าเดิม หรืออย่างน้อยก็คงสภาพเดิมของชนรุ่นก่อนได้อย่างมั่นคงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เมื่อพิจารณาจากปัจจัยแวดล้อมภายนอกและภายใน และปัจจัยที่เป็นกุญแจสำคัญคงไม่พ้น "คน" ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญ

ในอดีตผู้ก่อตั้งหรือเถ้าแก่อาจจะใช้หลงจู๊ที่มีบุคลิกเหมือนตน ขยันขันแข็ง อดทน รู้จักคนมากก็สามารถสร้างกิจการได้แล้ว แต่ถ้าผู้สืบทอดกิจการในปัจจุบัน ยังรับเอาวิธีการดังกล่าวมาใช้แล้ว อนาคตของกิจการก็คงจะเป็นที่เห็นได้

ศาสตร์ทางการบริหารสมัยใหม่เป็นเครื่องมือที่ชนรุ่นใหม่ต่างขวนขวายศึกษาหาความรู้เพื่อมาปรับใช้กับกิจการของตนเอง

มันเป็นแนวโน้มที่ปรากฏมานานพอสมควรแล้ว

สมัยของนี่เตียง จิราธิวัฒน์ อาจจะมีความรู้เพียงชั้นมัธยม หรือกระทั่งรุ่นถัดมาอย่างสัมฤทธิ์ จิราธวัฒน์ และน้องชายบางคนก็ยังจบชั้นมัธยมอยู่ แต่ตกมาถึงชนรุ่นสามแล้วแทบทุกคนจะมีดีกรีห้อยท้ายจากต่างประเทศ

ดีกรีที่ว่าคือ "เอ็มบีเอ" หรือปริญญาโทบริหารธุรกิจอันเสมือนหนึ่งเครื่องมือทางการบริหารสมัยใหม่ ซึ่งเกิดขึ้นมาเพื่อรับใช้สังคมทุนนิยม

เอ็มบีเอมีจุดกำเนิดที่สหรัฐอเมริกาอันถือเป็นตักศิลาที่วิทยาลัยดาร์ทมัส ในรัฐนิวฉอมเชียร์

จากวันนั้นกระทั่งวันนี้เอ็มบีเอได้แพร่ไปทั่วโลกแล้วราวโรคระบาด

เมืองไทยขณะนี้สถาบันต่างๆ ก็เร่งตอบสนองความต้องการอย่างคึกคัก แม้เอ็มบีเอหลายแห่งขาดคุณภาพ ถึงขนาดนั้นสถาบันการศึกษาในเมืองไทยก็ยังไม่สามารถสนองความต้องการของผู้สมัครได้ทั้งหมด

ปัจจุบันสถาบันในเมืองไทยยังผลิตเอ็มบีเอได้ไม่ถึง 1,000 คนขณะที่ปริมาณผู้ต้องการเข้าศึกษานั้นมีปริมาณมหาศาล

ทางเลือกสำหรับคนเหล่านั้นจึงต้องมุ่งหน้าสู่ต่างประเทศ จุดหมายปลายทางมีสามแห่ง หนึ่ง-สหรัฐอเมริกาซึ่งมีบิสสิเนสสคูลนับพันแห่ง ถือเป็นตักศิลาของของเอ็มบีเอ เป็นแหล่งผลิตเอ็มบีเอที่ใหญ่ที่สุดในโลก สามารถผลิตเอ็มบีเอได้ปีละ 70, 000 คน สอง-ยุโรป ซึ่งกำลังก้าวอย่างรวดเร็ว แต่ยังห่างชั้นอเมริกามาก ยุโรปสามารถผลิตเอ็มบีเอได้เพียงปีละ 3,000 คน และสาม-ออสเตรเลีย น้องใหม่มีบิสสิเนสสคูลจำนวนไม่มากนัก นักศึกษาไทยส่วนหนึ่งนิยมไปเพราะค่าใช้จ่ายถูกที่สุดในจำนวนสองแห่ง และสามารถทำงานได้

อย่างไรก็ตามอเมริกาก็ยังเป็นจุดหมายปลายทางของผู้แสวงหาเอ็มบีเอไว้ประดับกาย!

ถึงอเมริกาจะมีบิสสิเนสสคูลกว่า 1,000 แต่ที่ถือเป็นระดับสุดยอดมีเพียง 20 แห่งเท่านั้น ในยี่สิบแห่งนี้ต่างก็ผลัดกันรุกผลัดกันรับอยู่ตลอดมา

ฮาร์เวิร์ดมักจะได้รับการยกย่องให้เป็นอันดับหนึ่งอยู่เสมอไม่ว่าจะมีการจัดอันดับด้วยเกณฑ์ใด

มาปีนี้ฮาร์เวิร์ดต้องเสียแชมป์ให้กับนอร์ธเวสเทอร์นจากผลการจัดอันดับของ "บิสสิเนสวีค" นิตยสารธุรกิจชั้นำ

จากการขึ้นสู่อันดับหนึ่งครั้งนี้เองทำให้วันที่ 8 ธันวาคม ที่ผ่านมา ที่ห้องมยุราสอง โรงแรมเพรสิเด้นท์เป็นที่ชุมนุมของบรรดาศิษย์เก่า เจ.แอล.เคลล็อคสคูลออฟแมนแนจเม้นต์ จำนวนเกือบ 20 คน

นี่เป็นครั้งแรกที่ศิษย์เก่าของ "เคลล็อค" ได้มีโอกาสมาร่วมงานสังสรรค์

บรรดาศิษย์ "เคลล็อค" เหล่านี้ต่างได้กระจายตัวสู่ธุรกิจต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกิจการเอกชน สถาบันการศึกษาหรือหน่วยงานราชการ หรือกระทั่งรัฐวิสาหกิจ

กสิกรไทยเป็นที่กระจุกตัวของศิษย์เก่า "เคลล็อคมากที่สุด" จากจำนวนเกือบ 20 คนเป็นนักเรียนทุนกสิกรไทยเสีย 7 คน แบงก์ชาติ 2 คน นิด้า 1 คน การรถไฟ 1 คน

กสิกรไทยนั้นบัญชา ล่ำซำ ค่อนข้างจะพอใจ "เคลล็อค" อย่างมากโดยคำแนะนำของศ.สังเวียน อันทรวิชัย ที่เป็นที่ปรึกษาของบัญชา ศิษย์เคลล็อคจึงปรากฏอยู่มากเป็นพิเศษ

บัญชา ล่ำซำเองก็เป็นชนรุ่นที่สองที่รับช่วงต่อจากเกษม ล่ำซำ เมื่อปี 2506 เป็นการรับภาระโดยบังเอิญ เพราะเกษมเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตก

ด้วยวัยเพียง 38 ปีกับความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์เคมีจากปริ๊นตันทำให้เขาประสบความยากลำบากมากๆ กับการประคับประคองกิจการธนาคารพาณิชย์ของตระกูลล่ำซำ ที่มีทุนจดทะเบียนเพียง 14 ล้านบาท สินทรัพย์ 757 ล้านบาท เงินฝากเพียง 506 ล้านบาท และเงินกองทุน 20 ล้านบาท

อีก 24 ปีต่อมาบัญชาก็ทำให้สินทรัพย์เพิ่มขึ้นเป็น 131,796 ล้านบาท เงินฝากเพิ่มเป็น 111,627 ล้านบาท และสินเชื่อเพิ่มถึง 92,569 ล้าน

เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ปัจจัยสำคัญคือ การพัฒนาคนนั่นเอง

บัญชาริเริ่มให้ทุนการศึกษาแก่บุคคลภายนอกหลังจากเข้ามาบริหารแบงก์กสิกรไทยได้เพียง 3 ปี ด้วยการส่งนักเรียนทุนระดับหัวกะทิไปศึกษาด้านเอ็มบีเอในมหาวิทยาลัยระดับทอปเทนของอเมริกา

ต่อมานักเรียนทุนเหล่านี้ต่างกลับมาเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนากสิกรไทยให้เติบใหญ่แซงหน้ากรุงไทยมาเป็นอันดับสองตราบทุกวันนี้

นอกจากจะส่งนักเรียนทุนซึ่งถือเป็นคนนอกไปแล้ว บัญชาก็ยังสนับสนุนให้บัณฑูร ล่ำซำ ลูกชายโทนคนเดียวของเขาไปฝึกวิทยายุทธ์ที่ฮาร์เวิร์ดเอ็มบีเอ เป็นการเตรียมเพื่อส่งมอบธนาคารของตระกูลในวันหน้า

บัญชาเป็นตัวอย่างที่ดีถึงการมาองการณ์ไกลถึงการใช้เอ็มบีเอให้เป็นประโยชน์ซึ่งเป็นยุคบุกเบิกขององค์กรเอกชน

ไม่เพียงองค์กรเอกชนเท่านั้นที่เห็นความสำคัญของเอ็มบีเอ แบงก์ชาติเองก็พยายามส่งนักเรียนไปศึกษาต่อด้านเอ็มบีเอ นอกเหนือจากการส่งเหล่าหัวกะทิไปศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์ซึ่งริเริ่มตั้งแต่สมัยดอกเตอร์ป๋วยยังเป็นผู้ว่าแบงก์ชาติ

เท่าที่ "ผู้จัดการฯ" ทราบ ขณะนี้แบงก์ชาติมีเอ็มบีเอเคลล็อคอยู่สองคนเป็นหญิงทั้งคู่คือ สุภาวดี รองโสภา ซึ่งได้รับทุนแบงก์ชาติไปเรียนไฮสคูลด้วย และเพิ่งกลับมาล่าสุดเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา คือ วรัชญา ภาณุพงษ์ ทายาทของเลขาธิการบีโอไอ ซึ่งตอนนี้ไปฝึกงานอยู่ที่ธนาคารเชสแมนฮัตตัน กรุงเทพฯ

สถาบันการศึกษาที่สะสมศิษย์เก่าเคลล็อคเอาไว้มากคงหนีไม่พ้นนิด้า

นิด้านั้นล้วนแล้วแต่มีศิษย์เคลล็อคที่จบดอกเตอร์ทั้งสิ้น เริ่มตั้งแต่ ดร.วุฒิชัย จำนง ซึ่งสำเร็จมาเป็นคนแรกๆ ตามติดด้วย ดร.ทนง ลำไย ซึ่งผันตัวเองมาอยู่ธนาคารทหารไทยขณะนี้ และศิษย์เอกของศาสตราจารย์ฟิลลิป คอตเลอร์ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เอ็มบีเอจากนิด้าผู้เดียวที่กล้าโต้แย้งกับคอตเลอร์ในคลาสอยู่เป็นนิจ กระทั่งคอตเลอร์ชักชวนมาเป็นผู้เขียนร่วมในหนังสือที่ขายดีที่สุดเล่มหนึ่ง "เดอะ นิว คอมเพททิชั่น"

จากนี้ไปความต้องการเอ็มบีเอของเมืองไทยคงจะมากขึ้นตามการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นตัวเร่งดีมานด์ของมหาบัณฑิตเอ็มบีเอมากขึ้น

แต่จริงๆ แล้วเอ็มบีเอจะเป็นสูตรสำเร็จอย่างที่หลายๆ คนคิดหรือ เครื่องมือทางการบริหารที่เหล่ามหาบัณฑิตเอ็มบีเอทั้งหลายต่างศึกษามาจะได้ทั้งหมดกระนั้นหรือ?

"ถ้าคิดเป็นเปอร์เซ็นต์แล้ววิชาการที่เรียนมาได้ใช้เพียง 40%" วรัชญา ภานุพงษ์ เอ็มบีเอจากเคลล็อคหมาดๆ กล่าวกับ "ผู้จัดการฯ"

วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ ซึ่งจบเอ็มบีเอจากเคลล็อคมาตั้งแต่ปี 2528 นับถึงปีนี้ก็ 3 ปีแล้วแต่ "เพิ่งจะได้ใช้วิชาที่เรียนมาจริงๆ จังๆ ก็ตอนที่มาทำโครงการลาวาลินนี่เอง" เธอเผย

มีเอ็มบีเอจากทอปเทนของบิสสิเนสสคูลของอเมริกาจำนวนมากที่ค่อนข้างจะผิดหวังเมื่อกลับมาเมืองไทย หลายคนศึกษาแต่กรณีศึกษาของอเมริกา และคิดว่าเมืองไทยก็น่าจะใกล้เคียงกัน เมื่อความคาดหวังกับความเป็นจริงคลาดเคลื่อนไปอย่างมากเช่นนี้ ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลงอย่างมหาศาล

โดยเฉพาะอย่างเอ็มบีเอจากฮาร์เวิร์ดซึ่งได้รับการสั่งสอนให้เป็นผู้นำโดยตลอด มักจะประสบปัญหานี้มากกว่าทอปเทนอื่นๆ

ชุมพล ณ ลำเลียงเอง ก่อนที่จะกลับมาเมืองไทยก็ได้ศึกษาบริษัทต่างๆ ของเมืองไทยก่อนที่จะลงหลักปักฐานเพื่อใช้วิทยายุทธ์ที่ศึกษามาจากบิสสิเนสสคูลนั้น เขาก็ครุ่นคิดถึงปัญหาที่เขาอาจจะประสบนี้ ที่สุดเขาก็เลือกบริษัทปูนซิเมนต์ไทยเป็นแหล่งถาวร เพราะดูจะเป็นบริษัทเดียวในเมืองไทยที่เขาคิดว่ามีศักยภาพสูงที่สุดที่เขาพอจะใช้ความรู้จากฮาร์เวิร์ดในการบริหารได้

บัณฑูร ล่ำซำ ฮาร์เวิร์ดเอ็มบีเอ อีกคนหนึ่งค่อนข้างจะโชคดีมากๆ เพราะเขาเป็นทายาทเพียงคนเดียวของบัญชา ล่ำซำ เส้นทางของเขาในบริษัทใหญ่อย่างกสิกรไทยจึงราบรื่นไร้ปัญหา เขาใช้เวลาเพียง 8 ปีเท่านั้นก็ก้าวจากพนักงานฝ่ายต่างประเทศธรรมดาสู่ตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ซึ่งในตำแหน่งเดียวกันนี้คนอื่นอาจใช้เวลานานกว่านี้หลายเท่านัก ทำให้เขาได้เปรียบคนอื่นที่สามารถใช้วิทยายุทธ์อย่างเต็มที่

ปัญหาเดียวกันนี้สมชาย วสันตวิสุทธิ์ ประสบด้วยประสบการณ์ที่แตกต่างจากบัณฑูร ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นฮาร์เวิร์ดเอ็มบีเอเช่นเดียวกับบัณฑูรแต่หนทางเขาก็ไม่ราบรื่นทุกประการ และได้รับการโปรโมทอย่างรวดเร็วเฉกเช่นบัณฑูร เวลา 7 ปีที่เขาอยู่กสิกรไทย เขาก็ไต่เต้าได้เพียงผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายบริการธนาคาร ขณะที่ตำแหน่งระดับเดียวกันนี้ บัณฑูรใช้เวลาเพียง 1 ปี 5 เดือน

สมชาย จึงต้องอำลาจากกสิกรไทยไปสู่งานที่ท้าทายกว่า และรายได้ที่สูงกว่าแบบไม่ประสบปัญหา "ทางตัน" CAREER PATH

นั่นเป็นตัวอย่างของปัญหาบางประการที่เหล่าเอ็มบีเอจากทอปเทนประสบ ที่สำคัญก็คือ เอ็มบีเอไม่ได้เป็นสูตรสำเร็จ แม้ว่าจะเป็นเอ็มบีเอจากทอปเทนก็ตาม

กรณีศึกษาที่เหล่าเอ็มบีเอศึกษานั้นส่วนใหญ่ก็เป็นข้อมูลที่มาจากบริษัทในอเมริกาเสียเป็นส่วนใหญ่

เขาเหล่านั้นต้องประสบปัญหาในการปรับตัวชั่วระยะเวลาหนึ่ง เพราะสถานที่ที่พวกเขาใช้ความรู้นั้นคือ ไทยมิใช่อเมริกาที่เขาร่ำเรียนมา

ตอนแรกมาก็ประสบปัญหามาก เพราะตอนที่ไปเรียนที่เคลล็อคก็จบทางด้านอักษรศาสตร์มาไม่มีภูมิหลังทางธุรกิจกลับมาเมืองไทย จึงต้องมาศึกษาที่เรียนมานั้นใช้ไม่ได้กับเมืองไทย" วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ ศิษย์เก่าอักษรศาสตร์ จุฬา ผู้พลิกผันไปเรียนเคลล็อคเผย

นั่นหมายความว่าปัญหาที่เอ็มบีเอประสบนั้นมีมากมายหลายประการ มิเพียงการปรับตัว แม้การร่วมงานเป็นทีม หรือความคาดหวังที่ได้จากองค์กรเป็นอีกปัญหาที่เอ็มบีเอหลายคนวิตก

ที่สุดแล้วถึงจะเป็นเอ็มบีเอที่ใดก็ตามแต่ ไม่ว่าจะมาจากทอปเทนหรือเอ็มบีเอเมืองไทยก็ตาม คนที่ประสบความสำเร็จได้ดีที่สุดก็คือ คนที่ปรับตัวเองได้ดีที่สุด "ทั้งวิชาที่เรียนมาและเกี่ยวกับผู้ร่วมงาน" วิวรรณตบท้าย

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us