Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ มกราคม 2532








 
นิตยสารผู้จัดการ มกราคม 2532
ประจวบ ไชยสาส์น แมวหรือจะเป็นเสือเขี้ยวคม             
 


   
search resources

ประจวบ ไชยสาส์น
Energy




ภาพรวมการลงทุนในอุตสาหกรรมต่างๆ ที่อึกทึกครึกโครมอย่างมากในขวบปีที่ผ่านมาและยังสืบเนื่องต่อไปไม่หยุดนิ่ง โดยเฉพาะการหลั่งไหลเข้ามาลงทุนของต่างชาต ิซึ่งหลายคนบอกว่าผลประโยชน์ถึงที่สุด ที่หวังกันว่าอุตสาหกรรมของต่างชาติจะตกผลึกเป็นเนื้อเดียวกับอุตสาหกรรมของคนไทยอย่างสมบูรณ์แบบนั้น อย่าไปหวังกันให้มากนักเลย

เรื่องที่เค้นขึ้นมาพูดกันอย่างมากก็คือ "เทคโนโลยี" ซึ่งเป็นเรื่องที่ประเทศไทยต้องแลกกับสิทธิประโยชน์หลายๆ ด้านให้กับเขาเพียงเพื่อหวังว่าจะเกิดกระบวนการถ่ายทอดเทคโนโลยีกันอย่างจริงๆ จังๆ ให้คนไทยไม่ต้องยืมจมูกคนอื่นหายใจในอนาคตนั้นมีทีท่าจะเป็นจริงได้กระนั้นหรือ???

เพราะตลอดระยะเวลาที่ต่างชาติพาเหรดเข้ามากอบโกยผลประโยชน์ไปจากประเทศไทยสิ่งเดียวที่หลงเหลือไว้ให้คนไทยได้ระลึกถึงก็คือ ความเจ็บช้ำน้ำใจที่คนไทยจะต้องน้ำตาตกในกับความน่าสมเพชเวทนาของตัวเองอย่างมากมายนั่นแหละ!!!

คนที่ยกอุทาหรณ์เรื่องนี้ชวนให้ขบคิดคนหนึ่งเห็นจะเป็น "ประจวบ ไชยสาส์น" รัฐมนตรีกระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและการพลังงานที่บอกว่า "ปีหนึ่งๆ ไทยต้องจ่ายค่าแห่งความคิดหรือค่าโง่ให้กับต่างชาติเป็นเงินราว 2,500 ล้านบาท ซึ่งการเป็นทาสอะไรก็ไม่ทารุณเท่ากับทาสทางความคิด ใครก็ตามที่เป็นทาสทางความคิด หรือทาสทางปัญญาจะเป็นทาสที่ปลดปล่อยไม่ออก ไม่เจริญเติบโตในสภาพสังคมที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน"

และนับตั้งแต่เสี่ยวอีกสานขวานฟ้าหน้าดำ ผู้นี้เข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและการพลังงานซึ่งเป็นกระทรวงที่ไม่มีใครเสน่หา นอกจากการกล่าวย้ำที่ว่า "ไทยไม่จำเป็นต้องเสียเงิน 2,500 ล้านบาทอีกแล้ว" กล่าวในทิศทางปฏิบัติก็ได้มีการลงมือสนองรับเพื่อสร้างปรากฏการณ์ดังกล่าวให้เป็นจริงในหลายแนวคิดและการกระทำ

"ผู้จัดการ" เคยฟังเจ้าหน้าที่ระดับสูงกระทรวงนี้คนหนึ่งระบายความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจให้ฟังว่าทั้งๆ ที่เทคโนโลยีและการพลังงานนั้นเป็น "หัวใจ" ของการพัฒนาประเทศ ทว่าการให้ความสนใจต่อเรื่องนี้ของหลายรัฐบาลดูเหมือนจะไม่อินังขังขอบเท่าใดนักเลย สภาพความเป็นอยู่ของข้าราชการกระทรวงนี้ไม่ว่าจะในสังกัดใดๆ เมื่อเทียบกับข้าราชการกระทรวงอื่นแล้วนั้นก็ไม่แตกต่างไปจากการเป็นลูกเมียน้อย

แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามความน้อยเนื้อต่ำใจดังกล่าวกำลังจะกลับกลายเป็น "พลัง" ของการท้าทายที่จะเนรมิตประเทศไทยให้กลายเป็น "นิคส์อหังการ์" มากกว่าจะเป็น "เสือที่ห้าที่แสนเชื่อง" ซึ่งอาจพูดได้ไม่เกินเลยความจริงที่ว่า ยุคนี้เป็นอีกยุคหนึ่งที่เจ้าหน้าที่กระทรวงนี้ทุกระดับได้โถมถั่งสติปัญญา ความคิด และกำลังกายกันอย่างจริงจัง

"ว่าไปแล้วมันก็น่าเป็นเรื่องน่ายินดีระดับหนึ่งของพวกเราที่ว่า รัฐมนตรีแต่ลคนที่มาคุมกระทรวงนี้ล้วนเป็นคนที่เข้าใจความสำคัญงานด้านเทคโนโลยี แต่ความยินดีนั้นยังไม่เต็มที่เพราะนโยบายระดับสูงของรัฐบาลบางชุดยังมองข้ามไป" ข้าราชการระดับผู้อำนวยการกองท่านหนึ่งกล่าวกับ "ผู้จัดการ"

ความสำเร็จในการคิดค้นคอมพิวเตอร์ภาษาลาวนับเป็นการจุดประกายทางปัญญาที่ดีอย่างหนึ่งซึ่งผูกโยงไปถึงแนวคิดการจัดตั้ง "กองทุนเพื่อการวิจัย" อันจะใช้สนับสนุนส่งเสริมนักวิจัยไทยให้ระดมคิดค้นสิ่งแปลกใหม่สู่สังคมอย่างต่อเนื่อง กองทุนนี้ยังจะให้ผลตอบแทนแก่นักวิจัย หรือนักวิทยาศาสตร์ในอัตราที่สูงพอควรทั้งนี้เพื่อสร้างแนวป้องกันการกว้านซื้อตัวจากบริษัทเอกชนเหมือนที่เคยเกิดขึ้นบ่อยครั้งในอดีต และยังจะรวบรวมงานวิจัยจากหน่วยงานต่างๆ ให้มาอยู่ในที่ที่เดียวกัน

ความจริงอย่างหนึ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ก็คือ เท่าที่ผ่านมางานวิจัยที่มีคุณค่า และสามารถนำมาใช้เพิ่มพูนประสิทธิภาพของผลผลิตหรือเพิ่มผลกำไรทางธุรกิจที่คิดค้นโดยนักวิจัยไทยนั้นมีอยู่มากมายหลายชิ้น แต่ที่ไม่ได้รู้จักเป็นเพราะถูกปล่อยให้อยู่อย่างกระจัดกระจาย ไม่มีใครใคร่สนใจนำมาโปรโมทต่อสังคมธุรกิจมากนัก

"หน้าที่หลักอย่างหนึ่งของผมก็คือต้องทำตัวเป็นเซลส์แมนเอาสิ่งที่เราคิดค้นขึ้นมาไปเผยแพร่ให้ทั่วโลกเขารู้จัก โดยเฉพาะกับนักลงทุนต่างๆ" รัฐมนตรีฉายา "ขวานฟ้าหน้าดำ" บอกกับ "ผู้จัดการ" และดูเหมือนว่าภาระนี้อาจหนักยิ่งกว่าสมัยที่เขาเป็นรมช.พาณิชย์ไปค้าๆ ขายๆ กับต่างประเทศเสียอีก

แต่อย่างไรก็ตามหากดูพื้นฐานโดยรอบด้านของรัฐมนตรีขวานฟ้าหน้าดำคนนี้ที่มีกลุ่มบริษัท "สล้อท" (บริษัทส่งคนงานไปต่างประเทศ-รับเหมาก่อสร้าง-บริษัทการค้าต่างประเทศ) ที่มีสายสัมพันธ์กับกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ในหลายประเทศอาจทำให้ภาระหน้าที่ดังกล่าวดูง่ายขึ้นและมีโอกาสเป็นจริงมากขึ้น

หลายคนบอกว่าการที่ประจวบยอมรับตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและการพลังงานทั้งๆ ที่เดิมทีเขาควรจะเป็นรัฐมนตรีเกษตรฯ นอกจากจะลดปัญหาความขัดยังภายในพรรคประชาธิปัตย์แล้ว ด้านหนึ่งยังเป็นการสร้าง "เครดิต" ให้กับตัวเอง เพราะการมาอยู่กระทรวงที่ใครๆ เขาพากันเมินนี้ ถ้าอยู่เฉยๆ ไม่กำไรขาดทุน ทว่ามีผลงานพอยอมรับได้สักชิ้นเขาว่า "คนๆ นั้นได้กำไรอักโข"

และดูทีท่าว่าประจวบกำลังจะประสบผลสำเร็จอย่างที่เขาหวังตั้งใจไว้แล้ว เมื่อแนวคิดที่จะผลักดันให้มีการจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ขึ้นในเมืองไทยของกระทรวงพาณิชย์ได้รับการสนองรับเป็นอย่างดีจากครม. ซึ่งก้าวนี้ถือได้ว่าเป็นก้าวย่างที่จะสรรค์สร้างให้ไทยเป็ฯศูนย์กลางข่าวสารและโทรคมนาคมดั่งที่ประจวบบอกอยู่บ่อยๆ ว่า "ประเทศไหนที่เป็นเจ้าข้อมูลเทคโนโลยีโอกาสจะผงาดขึ้นมาเป็นหนึ่งก็ไม่ยากเย็น"

ความฝันของรัฐมนตรีขวานฟ้าหน้าดำคนนี้จะสดใสเป็นจริงหรือไม่อย่างไรนั้นเป็นเรื่องที่ต้องให้เวลา แต่แนวคิดและการกระทำอย่างนี้ล้วนเป็นเรื่องท้าทายคนไทยทุกๆ คนที่ไม่อยากเห็นประเทศไทยกลายเป็นทาสทางปัญญาต่างชาติมิใช่หรือ!!??

อีกเรื่องหนึ่งที่หลายคนให้ความสนใจและจับตาดูว่าหนทางข้างหน้าจะส่งผลออกมาในรูปใดก็คือเรื่องที่ประจวบมีหนังสือถึง พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ นายกรัฐมนตรี ให้มีการพิจารณาใหม่เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่รับผิดชอบเรื่องพลังงานว่า ควรจะอยู่ในการดูแลของกระทรวงวิทย ์หรือของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในสมัน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ที่อาศัยมติ ครม. โอนงานด้านพลังงานทั้งหมดไปให้กับ ร.ท.ศุลี มหาสันทนะ เพื่อนรักเพื่อนใคร่ที่เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯเป็นผู้ดูแลแทน ทั้งๆ ที่ใน พ.ร.บ.ได้กำหนดไว้ชัดเจนว่างานด้านพลังงานเป็นหน้าที่รับผิดชอบของกระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและการพลังงาน

การเสนอให้ครม.ชุดปัจจุบันพิจารณาความรับผิดชอบดังกล่าวนี้เสียใหม่ของประจวบจึงมิใช่เป็นการยื่นหมูยื่นแมว หรือสร้างอำนาจต่อรองระหว่างพรรคชาติไทยกับพรรคประชาธิปัตย์แต่อย่างใดไม่ เพียงแต่ขอให้มีการดำเนินการต่อเรื่องนี้ให้ถูกต้องที่สุดเท่านั้น

แต่ถ้าเป็นจริงขึ้นมาก็เป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและการพลังงานทั้งหลายคงจะปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ไม่น้อยเลยทีเดียว และไม่รู้เหมือนกันว่ารัฐบาลชุดหน้าบางทีใครต่อใครอาจจะอยากเข้ามาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงนี้กันอย่างมากมาย...

ก็แค่น้ำมันอย่างเดียวมันก็ท้าทายความสามารถอย่างมากเลยเชียว!!!

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us