|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
นักวิเคราะห์มองเศรษฐกิจปีนี้โต 4.5-5.5 % ชี้การส่งออกชะลอตัวจากปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯ ประสานเสียงกลุ่มแบงก์ยังน่าลงทุนมีโอกาสทำกำไรสูงจากการตั้งสำรองน้อยลง และการหันเปิดการให้บริการครบวงจรและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ ขณะที่กลุ่มไฟแนนซ์ยังผันผวนคาดครึ่งปีหลังดีขึ้น
นายธีระพงษ์ วชิรพงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิจัย บล.ภัทร กล่าวในงานสัมมนาเรื่อง " เคล็ดลับวิธีวิเคราะห์หมวดธนาคารและบริษัทหลักทรัพย์ แนวโน้มและหุ้นเด่น " ว่าบริษัทคาดการณ์อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย(GDP) ในปี 51 ไว้ที่ 4.5-5.0% โดยรัฐบาลต้องเร่งการลงทุนเพื่อชดเชยการส่งออกที่คาดว่าจะชะลอตัวตามเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าจะหดตัวจนถึงไตรมาส 3 และส่งผลกระทบต่อไทยบ้าง
สำหรับตลาดหุ้นไทยคาดไว้ว่าจะเห็นที่ 1,000 จุด ซึ่งต้องดูทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมทั้งปัจจัยทางการเมืองที่นักลงทุนต่างประเทศยังคงกังวลว่า โดยมองการลงทุนว่าลุ่มธนาคารมีแน้วโน้มทำกำไรที่ดีในปีนี้ ซึ่งคาดจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยมากกว่ากลุ่มพลังงานแต่ปัจจัยเสี่ยงคือ เศรษฐกิจสหรัฐฯ, เงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง และเศรษฐกิจในเอเชีย หากได้รับผลจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ สูง โดยแบงก์ที่น่าสนใจคือแบงก์กรุงเทพ และแบงก์กรุงไทย
นายสุวัฒน์ บำรุงชาติอุดม ผู้จัดการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.บัวหลวง กล่าวว่า เศรษฐกิจปีนี้จะฟื้นตัวจากปีก่อนคาด GDP ที่ 4.8-5.5% จากความเชื่อมั่นที่กลับมาและการเดินหน้าในโครงการเมกะโปรเจกต์ ขณะที่ภาคการส่งออกจะเริ่มได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวในไตรมาส 2
โดยมองการลงทุนว่ากลุ่มธนาคารมองว่ากำไรในปีนี้จะดีกว่าปีที่ผ่านมา เพราะผลจากการตั้งสำรองถึง 9 หมื่นล้านบาท รวมถึงการฟื้นตัวจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และโครงการยักษ์ของรัฐที่จะออกมา ทำให้ ความต้องการสินเชื่อและการทำธุรกรรมของธนาคารมากขึ้น ซึ่งแบงก์ขนาดใหญ่จะได้เปรียบแบงก์เล็ก ในทุกด้าน รวมถึงการปรับตัวจากกฎหมายประกันเงินฝากที่คาดว่าจะประกาศใช้ได้ประมาณไตรมาส 4 ซึ่งจะทำให้เกิดการไหลเวียนเงินทุน โดยระยะยาวเงินจะไหลหาธนาคารที่มีฐานการเงินดีและมั่นคง
สำหรับ กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ยังมีความผันผวนเหมือนปีที่ผ่านมา แต่โดยรวมน่าจะดีขึ้นด้วยมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยที่ 1.7 หมื่นล้านบาทต่อวัน และน่าจะมีบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มากกว่าปีที่ผ่านมา ช่วยชดเชยรายได้จากค่านายหน้าที่ลดผลงจากการเข้าสู่การเปิดเสรี โดยแนะนำบล.ภัทรและบล.เคจีไอ(ประเทศไทย)
นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.นครหลวงไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปีนี้โดยพื้นฐานมีโอกาสที่จะขึ้นไปถึง 950-1000 จุด แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องระวังจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ และปัญหาการเมืองภายในประเทศ ซึ่งกลุ่มธนาคารมองว่ามีโอกาสทำกำไรได้ดีจากวิธีการทำธุรกิจที่เปลี่ยนไปให้บริการที่ครบวงจร และภาคนรัฐที่อัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบมากขึ้น ส่งผลดีต่อการเติบโตของกลุ่มธนาคารในปีนี้ แต่มีปัจจัยเสี่ยงจากสินเชื่อที่ปล่อยให้กับSMEs ที่มีความเสี่ยงจากปัญหาเศรษฐกิจและค่าเงินบาทที่แข็งค่า โดยธนาคารที่น่าสนใจคือ ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารกรุงศรีอยุธยา
สำหรับกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ยังคงผันผวน คาดว่าจะดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังเมื่อปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มคลี่คลาย โดยในปีนี้กลุ่ม บล.ที่ถือโดยนักลงทุนต่างชาติจะยังดีต่อเนื่อง ส่วนกลุ่มบล. ที่ถือโดยธนาคารในระยะยาวมีแนวโน้มที่ดีจากการมีฐานลูกค้าใหม่และต้นทุนต่ำในการหาลูกค้าใหม่ ขณะที่ บล. ที่ถือโดยผู้ถือหุ้นเดิมมีแนวโน้มการถูกเทกโอเวอร์หรือการควบรวมกิจการค่อนข้างสูง โดย บล.ที่ทำธุรกิจตราสารอนุพันธ์มีแนวโน้มเติบโตได้ดีในอนาคต ที่น่าสนใจก็มีบล.บัวหลวง,บล.ภัทร และบล.เคจีไอ(ประเทศไทย)
|
|
|
|
|