Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ มกราคม 2532








 
นิตยสารผู้จัดการ มกราคม 2532
แชมป์ทูกับกองทัพไทย สงครามรถยนต์ ที่รอวันปะทุของสิทธิผล             
 


   
search resources

เอ็มเอ็มซี สิทธิผล
Vehicle




กระแสข่าวที่บ่งบอกให้เห็นว่า กองทัพไทยในยุค "พัฒนา" จะลงมาเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจรถยนต์ในบ้านเรา โดยวางโครงการยิ่งใหญ่ ให้เอ็ม.เอ็ม.ซี. สิทธิผลขายรถมิตซูบิชิรุ่นแชมป์ทูจำนวน 2 หมื่นคัน แก่กองทัพไทย โดยที่ทางกองทัพจะร่วมลงทุนผลิตชิ้นส่วนบางประเภทให้ด้วย

กระแสข่าวดังกล่าวออกมาพร้อมๆ กับ "ข่าวลือ" ที่ว่ารถยนต์ที่ขายให้กับกองทัพนั้นเป็น "รถตีกลับ" จากแคนาดา เพียงเท่านี้ เค้าลางของสงครามรถยนต์ก็เริ่มปรากฏรูปรอยให้เห็นแล้ว

เหตุผลที่บ่งบอก ดีกรีในระดับสงคราม ก็เพราะตลาดรถยนต์นั่งในประเทศแต่ละปีจะขายได้ประมาณ 4 หมื่นกว่าคัน การที่กองทัพสั่งซื้อเฉพาะกับเอ็ม.เอ็ม.ซี.สิทธิผล ย่อมหมายถึงว่า ส่วนแบ่งตลาดของบริษัทนี้ย่อมต้องมากขึ้นเหนือกว่าคู่แข่ง และเป็นการได้เปรียบโดยทางลัดเพราะได้กองทัพเป็นสายสัมพันธ์ที่มีอิทธิพลมากที่สุดสถาบันหนึ่งในสังคมไทย ซึ่งพยายามที่จะให้การประกอบรถขายกองทัพครั้งนี้ได้รับการยกเว้นภาษีชิ้นส่วน ภาษีการค้าที่ซ้ำซ้อน

เมื่อเป็นเช่นนี้การปั่นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ไปที่กองทัพจึงเกิดขึ้นเป็นระลอก ในแง่ที่สามารถลงมาทำธุรกิจได้อย่างอภิสิทธิ์ และไม่มีหลักประกันอะไรที่โครงการนี้จะจำกัดขอบเขตตลาดแค่ในกองทัพ เพราะแนวโน้มธุรกิจที่ได้เปรียบนี้จะไปได้ดี และจะไปเลยถึงตลาดภายในประเทศด้วย

อันที่จริง ข่าวลือเรื่อง "รถตีกลับ" นี้แหล่งข่าวในสิทธิผลชี้แจงว่า เป็นที่เข้าใจได้ง่ายว่าข่าวลือก็คือข่าวลือ ทั้งนี้ก็เพราะแชมป์ทูเป็นการผลิตเพื่อการส่งออกซึ่งใช้สิทธิประโยชน์ในเรื่องคลังสินค้าทัณฑ์บน เมื่อรถถูกส่งออกไปแล้วย่อมถือว่าเป็น "รถยนต์ต่างประเทศ" ดังนั้นการจะนำรถที่เชื่อว่าถูกตีกลับมาแล้วเอาไปขายให้กองทัพ เข้ามาจึงเป็นไปไม่ได้ เพราะกฎหมายห้านำเข้ารถยนต์ที่มีขนาดต่ำกว่า 2,300 ซีซี. นอกจากนี้ การจัดการกับสินค้าที่ไม่ได้คุณภาพก็มักจะขายที่อื่นที่ใกล้เคียงเพื่อประหยัดการขนส่ง

"ผมขอปฏิเสธข่าวลือนี้ก่อนที่สิทธิผลจะส่งรถให้ทางแคนาดานั้น ได้ส่งรถตัวอย่างไปแล้ว 10 คัน และทางแคนาดาก็ยอมรับมาตรฐาน นอกจากนี้หากมีปัญหาดังกล่าว ส่วนใหญ่ก็ส่งไปขายยังประเทศอื่น ไม่ใช่นำกลับมาประเทศไทย" วัชระ พรรณเชษฐ์ กล่าวในวันแถลงข่าว

อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวนักกฎหมายท่านหนึ่งก็ให้ความเห็นแย้งว่า การนำรถตีกลับเข้าประเทศไปได้ เพราะว่าถือว่าเป็น "สินค้าชำรุด" สามารถนำเข้าโดยไม่อยู่ในข่ายที่ต้องเสียภาษีรถสำเร็จรูป หรือต้องห้ามการนำเข้ารถที่มีขนาดต่ำกว่า 2,300 ซีซีแต่อย่างใด

นอกจากนี้ยังมีอีกกระแสข่าวหนึ่งออกมาตอกย้ำว่า ทางสิทธิผลมีการนำรถตีกลับเข้าประเทศ มาแปรสภาพในโรงประกอบเพื่อให้เหมาะกับมาตรฐานการใช้ในประเทศไทยจริง

"รถที่ถูกดัดแปลง ถูกส่งไปขายกับอู่รถแท็กซี่ในราคาสูงกว่า 150,000 บาท แต่ต่ำกว่าราคาตลาด ทางออกนี้ไม่เสียหายกับสิทธิผล เพราะดีกว่าโยนทิ้งไปเฉยๆ รถตีคืนเหล่านี้ยังมีการวิ่งเต้นขายให้กับทางกองทัพ ภายใต้มาตรฐานที่กองทัพต้องการ เหตุนี้จึงทำให้ทางตัวแทนมิตซูบิชิประเทศไทย ถึงกับปฏิเสธที่จะให้ใช้ชื่อมิตซูบิชิ เนื่องจากคุณภาพที่กองทัพต้องการ ไม่ได้มาตรฐานของบริษัท" แหล่งข่าวบอกกับ "ผู้จัดการ"

เรื่องนี้จริงเท็จอย่างไรก็แล้วแต่พิจารณากัน เพราะกระแสข่าวมีทั้งปฏิเสธและยืนยัน!

ส่วนโครงการของกองทัพนั้น ก็เริ่มขึ้นจากการที่มีนายทหารระดับสูงหลายนาย ที่เคยมีโอกาสมาเยี่ยมชมโรงงานของเอ็ม.เอ็ม.ซี.สิทธิผลในคราวที่มาทัศนศึกษาของวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร แล้วก็คงจะตื่นตาตื่นใจที่ได้พบได้เห็นว่า เอกชนไทยสามารถผลิตรถยนต์ที่มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับของแคนาดา ที่สำคัญที่สุด ราคาไม่คิดภาษีก็ถูกน่าใช้ คือ ประมาณ 150,000 บาทเท่านั้น

นายทหารเหล่านี้เมื่อกลับมา ก็พกพาเอาความใฝ่ฝันที่จะให้ทางกองทัพ มีส่วนในการทำธุรกิจประกอบรถยนต์และจะได้รถยนต์ใช้ในราคาที่ถูกกว่าในตลาด มาคิดค้นเป็นโครงการผลิตรถยนต์และจะได้รถยนต์ใช้ในราคาที่ถูกกว่าในตลาด มาคิดค้นเป็นโครงการผลิตรถยนต์ป้อนตลาดในกองทัพ โดยจับมือกับ เอ็ม.เอ็ม.ซี.สิทธิผล และทางกองทัพจะเป็นผู้รับช่วงผลิตชิ้นส่วนบางชิ้นที่ไม่ได้ใช้เทคนิคการผลิตสูง เช่น ที่ปัดน้ำฝน เบาะรถยนต์ ยางรองพื้น เป็นต้น

"คนในวงการต่างก็คิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะมาตั้งโรงงานผลิตชิ้นส่วนตามชายแดนเพราะไปเข้าใจผิดว่า คงจะเป็นโรงงานที่ผลิตชิ้นส่วนสำคัญ อันที่จริงมันเป็นชิ้นส่วนพื้นๆ แต่ในปริมาณการผลิตที่มีจำนวนมากและมีตลาดที่แน่นอน เป็นเรื่องที่ไม่ยากสำหรับกองทัพ และถ้ามันไปได้ดีเขาก็คงไม่จำกัดอยู่เฉพาะตลาดในกองทัพเท่านั้น" แหล่งข่าววิเคราะห์ให้ "ผู้จัดการ" ฟัง

โครงการนี้จึงเป็นภาพสะท้อนบทบาทของ "กองทัพยุคพัฒนา" ที่มุ่งผลักดันให้เกิดขึ้นเป็นจริง โดยที่หัวใจของโครงการนี้อยู่ที่การขออนุญาตจากกระทรวงการคลังให้ยกเว้นภาษี ถ้าตรงนี้เป็นจริง ก็ไม่มีอุปสรรคอันใดจะมาขวางกั้นอีกแล้ว

อย่างไรก็ตามในปัจจุบันโครงการนี้ยังอยู่ในขั้นศึกษาความเป็นไปได้ ยังไม่ได้มีการเซ็นสัญญาทำข้อตกลง ซึ่งในระหว่างนั้นข่าวก็รั่วออกมาจนกลายเป็นคลื่นข่าวลือต่างๆ นานา

เรื่องไม่เพียงแค่นี้ เอ็ม.เอ็ม.ซี. สิทธิผลซึ่งถูกกองทัพดึงเข้าสู่ผลประโยชน์ชิ้นโตจากการผลิตรถยนต์ภายในประเทศก็กำลัง "ได้ใหญ่" ยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อบรรหาร ศิลปอาชา รมต.กระทรวงอุตสาหกรรมจะผลักดันให้ลดภาษีนำเข้าชิ้นส่วนสำเร็จรูปจากต่างประเทศเพื่อประกอบรถยนต์ส่งออกจาก 112% ลงมาเหลือเพียง 11.2%

อันที่จริงการผลักดันอันนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เคยมีการเสนอมาแล้วในสมัยรัฐบาลเปรม 5 ซึ่งสุธี สิงห์เสน่ห์ เป็นรมต. กระทรวงการคลัง แต่ก็ได้รับการคัดค้านอย่างหนักจากคู่แข่งขันในวงการอย่างไรก็ตาม ทางเอ็ม.เอ็ม.ซี.สิทธิผลก็เรียกร้องการคุ้มครองชนิดพิเศษนี้อยู่ทุกขณะว่าทำรถส่งแคนาดาแล้วขาดทุนขอให้รัฐบาลหาทางช่วยเหลือ

จากนี้เป็นอภิสิทธิ์ที่ทางเอ็ม.เอ็ม.ซี.สิทธิผลอาจจะได้รับก็คือ การลดภาษีทั้งจากการผลิตรถยนต์ในประเทศและส่งออก อันเป็นสิทธิพิเศษที่ยังไม่มีเอกชนรายใดได้มาก่อนในประวัติศาสตร์อุตสาหกรรมรถยนต์ของไทย เมื่อเป็นเช่นนี้มีหรือที่ "คู่แข่ง" รายอื่น เช่น สยามกลการ และโตโยต้า จะนิ่งเฉยอยู่ได้

"ผมเห็นว่ามันไม่ยุติธรรมกับผู้ประกอบการรายอื่นๆ ในเมื่อธุรกิจไทยขณะนี้เป็นเรื่องที่ส่งเสริมให้เป็น FREE ENTERPRICE ก็ขอให้มีการแข่งขันอย่างเสมอภาคซิครับ ถ้าผลักดันกันแบบนี้ก็มีเพียงรายเดียวที่จะได้เปรียบเพราะผลิตเพื่อการส่งออก" เสียงสะท้อนจากค่ายสยามกลการแว่วมาถึง "ผู้จัดการ"

"การที่กองทัพลงมาจับเรื่องนี้จะเป็นจุดวิจารณ์ได้มากว่า มาทำธุรกิจกับผู้ประกอบการบางราย โดยทำให้กระทรวงการคลังสูญเสียภาษีที่ควรได้ เท่ากับใช้เงินของประชาชนมาทำโดยที่ควรจะเอาไปพัฒนามากกว่า" ทางโตโยต้าก็บอกมาเช่นนี้

จากนี้สงครามรถยนต์กำลังก่อหวอดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง "รายงานผู้จัดการ" ชิ้นนี้เพียงแต่บ่งบอกเค้าให้เห็นและคาดการณ์ไปข้างหน้าว่าจะต้องปะทุขึ้นมาอย่างแน่นอน

แนวรบด้านตะวันตกเหตุการณ์กำลังแปรเปลี่ยนอย่างพิสดารยิ่งแล้ว!

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us