นายโฆษิต สุวินิจจิต ประธานกรรมการ บริษัทมีเดีย ออฟ มีเดียส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยวานนี้(29
พ.ค.)ว่า ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งประธานกรรมการ มีเดีย ออฟ มีเดียส์ อย่างเป็นทางการ
โดยได้แจ้งเรื่องไปยังตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในวันเดียวกัน
สาเหตุของการลาออกจากมีเดียฯของนายโฆษิตในครั้งนี้ เพราะต้องการเข้ามาทำงานการเมืองอย่างเต็มตัว
หลังจากคณะรัฐมนตรีอนุมัติให้รับตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
เมื่อวันที่ 28 เม.ย.ที่ผ่านมา ประกอบกับการปรับโครงสร้างหนี้ของมีเดียฯลุล่วงไปด้วยดี
หลังจากบริษัท กรุงเทพวิทยุโทรทัศน์ จำกัด ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นหลักของมีเดียฯ
จากการปรับโครงสร้างหนี้เมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา
หลังจากตนเองลาออกจากตำแหน่งประธานกรรมการ มีเดียฯ แล้ว นายกฤตย์ รัตนรักษ์ ซึ่งเป็นประธานกรรมการ
ช่อง 7 จะเข้ามาเป็นประธานกรรมการ มีเดียฯ แทนตำแหน่งของตนเอง ซึ่งมีหน้าที่กำกับดูแลนโยบาย
และวางวิสัยทัศน์ของบริษัท
สำหรับคณะกรรมการของมีเดีย ออฟ มีเดียส์ จะประกอบไปด้วย ผู้ถือหุ้นจากช่อง 7 จำนวน
3 คน คือ นายกฤต รัตนรักษ์ ประธานกรรมการ นายปรีชา ทิวะหุต กรรมการ นายชลอ นาคอ่อน
กรรมการ และนายเชิดศักดิ์ ตันสกุล กรรมการผู้จัดการ สาย 2 รับผิดชอบการบริหารธุรกิจใหม่
เช่น การสร้าง มีเดีย สตูดิโอ ซิตี้ ที่เขาเขียวคันทรีคลับ ที่จะทำให้เป็นฮอลลีวูด
ของเอเชีย ส่วนกรรมการอิสระ 3 คน คือ นายเชษฐ์ รักตะกนิษฐ นายยงยุทธ วิทยาวงศรุจิ
และนายเจษฎา พรหมจาด
ส่วนนางยุวดี บุญครอง จะดำรงตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการ สาย 1 ดูแลธุรกิจเดิมของมีเดียฯ
คือ การผลิตรายการทีวี
“การเข้ามารับตำแหน่งประธานกรรมการ ของนายกฤต รัตนรักษ์ ไม่ได้เป็นการเข้ามารับตำแหน่งเพราะช่อง
7 กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในมีเดียฯ เพราะตำแหน่งประธานกรรมการ เป็นเพียงผู้กำหนดนโยบายและวิชั่นเท่านั้น
ส่วนการบริหารธุรกิจยังดำเนินการผ่านกรรมการผู้จัดการ 2 ท่าน คือนายเชิดศักดิ์
ตันสกุล และนางยุวดี บุญครอง เชื่อว่าการบริหารธุรกิจของมีเดียฯ หลังจากนี้ ทีมผู้บริหาร
และผู้ถือหุ้นใหม่ ที่มีความเข้าใจในธุรกิจบันเทิง จะนำพามีเดียฯ ให้กลับมาเป็นแข็งแกร่งเหมือนเดิมได้ในอนาคต”
การลาออกจากตำแหน่งประธานกรรมการ มีเดียฯของตนเอง จะมีผลตั้งแต่วันที่ 29 พ.ค.2546
เป็นต้นไป โดยได้โอนหุ้นบริษัทมีเดียฯ ในส่วนที่ตนเองถืออยู่ทั้งหมด 1% หรือประมาณ
30 ล้านหุ้น แบ่งให้บุตรสาว คือเด็กหญิงณัฐนรี สุวินิจจิตสสและนางยุวดี บุญครอง
ภรรยา รายละ 50%
นายโฆษิต กล่าวต่อว่า หลังจากนี้จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการบริหารงานในมีเดียฯอีก
โดยปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้ถือหุ้นใหม่ และนางยุวดี บุญครอง ที่ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ
สาย 1 ส่วนตนเองจะไปทำงานการเมืองอย่างเต็มรูปแบบ โดยจะใช้ความรู้ความสามารถจากการบริหารธุรกิจในภาคเอกชนมาประสานการทำงานกับภาครัฐบาล
ให้การทำงานทั้งภาครัฐ และเอกชนเดินไปด้วยกัน เพื่อผลักดันเศรษฐกิจประเทศให้เติบโตต่อไป
ซึ่งการทำงานที่ผ่านมาได้เข้าไปช่วยงานภาครัฐในหลายกระทรวง ด้วยการเป็นที่ปรึกษากระทรวงแรงงาน
มหาดไทย การศึกษา สำนักนายกรัฐมนตรี เป็นต้น
ส่วนการมารับตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เนื่องจากมีความสนใจงานพัฒนาธุรกิจเอสเอ็มอี
อย่างมาก เพราะมีเดียฯ ถือเป็นธุรกิจเอสเอ็มอี ที่เติบโตมาจากการเป็นผู้ผลิตรายการเพียง
1 รายการเท่านั้น นอกจากนี้ยังสนใจงานด้านการสร้างแบรนด์ สินค้าไทย ด้วยการนำหลักการตลาดที่มีประสบการณ์มาใช้
โดยต้องการนำหลักการของภาคอุตสาหกรรมมาผสมผสานกับวัฒธรรมไทย เพื่อให้สินค้าไทยมีความโดดเด่นแตกต่างจากสินค้าอื่นๆ
สำหรับรูปแบบงานการเมืองในตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรี มีหน้าที่นำเสนอแนวคิดทุกด้านเกี่ยวกับการพัฒนาอุตสาหกรรม
ซึ่งประสบการณ์ในการพัฒนาธุรกิจภาคเอกชนที่ผ่านมา ทำให้รู้จักคนจากทุกวงการ ดังนั้นเชื่อว่าการเข้ามาช่วยงานการเมืองจะทำหน้าที่ประสานระหว่างภาครัฐและเอกชน
ให้ทั้ง 2 ฝ่ายสามารถทำงานร่วมกันได้ เมื่อภาคเอกชนเข้มแข็ง เจริญเติบโต ก็หมายความว่าเศรษฐกิจของประเทศจะแข็งแกร่งขึ้นด้วย
เพราะรัฐถือเป็นผู้ถือหุ้นรายหนึ่งของบริษัทเอกชน จากการเก็บภาษีรายได้ 30% และภาษีมูลค่าเพิ่มอีก
7%
“การเริ่มต้นเข้ามารับงานการเมืองในครั้งนี้ ไม่ได้คาดหวังว่าจะก้าวไปสู่ตำแหน่งใหญ่ต่อในเส้นทางการเมืองในอนาคต
แต่ต้องการทำวันนี้ให้ดีที่สุด คงต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งถึงจะประเมินได้ว่าประสบความสำเร็จ
และสอบผ่านในงานการเมืองหรือไม่” นายโฆษิตกล่าว