|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
พิษวัสดุก่อสร้าง-น้ำมันขึ้นราคา ทำต้นทุนขึ้น ฉุดมาร์จิ้นหุ้นกลุ่มรับเหมาร่วง แม้จะมีวี่แววจากโครงการภาครัฐหนุนงานในมือเพิ่ม แต่ก็ยังหนีศึกหนักไปไม่พ้น
จากผลกระทบเรื่องราคาวัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ต้นไตรมาส 3/50 เป็นต้นมา ส่งผลให้กำไรของหุ้นกลุ่มก่อนสร้างมีแนวโน้มปรับตัวลดลงแม้ว่าจะเริ่มได้รับงานโครงการใหม่ๆเพิ่มขึ้นก็ตาม
นักวิเคราะห์จาก บริษัทหลักทรัพย์(บล.)กิมเอ็ง(ประเทศไทย) ระบุว่า ผลกระทบจากราคาเหล็ก และน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ประกอบกับนักลงทุนยังไม่มั่นใจว่าหลังจากนี้รัฐบาลใหม่ จะมีการผลักดันโครงการประมูลภาครัฐออกมาอย่างต่อเนื่องเป็นสาเหตุที่ทำให้ราคาหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างปรับตัวลดลงมากกว่ากลุ่มอื่น
แม้ว่าจะมีงานประมูลภาครัฐเพิ่มมากขึ้น แต่ผู้รับเหมาก่อสร้างจะต้องแบกรับภาระราคาวัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะโครงการที่ชนะการประมูลมากก่อนหน้าที่ราคาวัสดุก่อสร้างจะปรับตัวเพิ่มขึ้นส่งผลให้มีมาร์จิ้นต่ำลงมาก โดยประเมินว่ามาร์จิ้นของผู้รับเหมาก่อสร้างจะปรับตัวลดลงประมาณ 1%
ทั้งนี้ในบรรดาหุ้นกลุ่มก่อสร้างยังคงมองว่า บมจ.อิตาเลียนไทยดีเวลล๊อปเมนต์(ITD) น่าาจะดูดีสุดเนื่องจากมีงานในมือมากและยังมีผลการดำเนินงานเป็นกำไรขณะที่ บมจ.ช.การช่าง(CK) และ บมจ.ซิ-โนไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น(STEC) ยังคงขาดทุนสุทธิต่อเนื่องเพราะได้รับผลกระทบจากต้นทุนวัสดุก่อสร้างปรับตัวเพิ่มขึ้น
สำหรับ ITD เป็นตัวที่ดูดีที่สุดเนื่องจากมีโครงการสะสมอยู่ถึง 8.5 หมื่นล้านบาท และยังจะสามารถรักษาผลการดำเนินงานให้เป็นหกำไรสุทธิได้ แต่ขณะนี้แนะนำ"เต็มมูลค่า"ให้ราคาเป้าหมาย 7.20 บาท เช่นเดียวกันกับที่ให้ CK "เต็มมูลค่า"โดยมีราคาเป้าหมาย 8.45 บาท และ STEC แนะนำ"ขาย"ที่ราคาเป้าหมาย 5 บาท
ส่วน รณกฤต สารินวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.แอ๊ดคินซัน ประเมินว่า จากกรณี บมจ. ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (STEC) ได้ลงนามสัญญาจ้างในโครงการก่อสร้างมูลค่าสัญญารวม 609 ล้านบาท ก่อสร้างPolyethylene Train 2 สัญญา มองว่าเป็นการรับงานตามปกติซึ่งมีมูลค่าโครงการไม่น่าตื่นเต้นแต่อย่างใด อาจส่งผลดีต่อจิตวิทยาการลงทุนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ปัจจัยหลักที่ส่งผลดีต่อจิตวิทยาการลงทุนอย่างเห็นได้ชัด น่าจะมากจากการตอบรับรัฐบาลชุดใหม่ ที่เข้ามาช่วยผลักดันเมกะโปรเจ็กต่างๆมากกว่า
อย่างไรก็ตามมองว่าส่วนผลประกอบการยังน่าเป็นห่วง หากโครงการรถไฟฟ้ายังไม่เริ่มก่อสร้าง เพราะต้นทุนการผลิตจะมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันในตลาดโลกด้วยเช่นกัน
ขณะที่บทวิเคราะห์บล.นครหลวงไทย ระบุว่า จากกรณีครม.เห็นชอบโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีแดงช่วง บางซื่อ-รังสิต คาดจะประมูลได้ในเดือนเม.ย. 2551 และลงนามสัญญาก่อสร้างเดือนพ.ค.2551 ใช้เวลาก่อสร้าง 3 ปี ซึ่งการรถไฟแห่งประเทศไทยเป็นเจ้าของโครงการ และยังกำหนดให้การรื้อถอนชุมชนในเขตทางเป็นหน้าที่ผู้รับเหมาเช่นเดิม
ทั้งนี้มองว่าข้อกำหนดดังกล่าวเป็นอุปสรรคของการเข้าร่วมประมูลอีกทั้งโอกาสที่ บมจ.ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (UNIQ) หรือ บมจ.ซินเท็ค คอนสตรัคชั่น (SYNTEC) จะสามารถรับงานรถไฟฟ้า 2 สาย ขณะเดียวกันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้สำหรับผู้รับเหมาขนาดเล็กและทำให้โครงการมีความเสี่ยงสูงที่จะไม่แล้วเสร็จ(เหมือนโครงการโฮปเวลล์)อีกด้วย
อย่างไรก็ตามเชื่อว่าโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดงจะล่าช้าออกไปและเชื่อว่าจะมีการแก้ไข TOR และประกาศเชิญชวนผู้รับเหมาเข้าร่วมอีกครั้งหลังการได้รัฐบาลชุดใหม่ ยังคงเลือก CK เป็นหุ้นเด่นในกลุ่ม เนื่องจากหากมองในประเด็นต้นทุนวัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวสูงขึ้น CK ดูจะมีความเสี่ยงน้อยกว่าผู้รับเหมาในกลุ่มเนื่องจากมีระดับอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ที่เฉลี่ย 9.1%ใน 9เดือนแรก/2550 สูงสุดในกลุ่มผู้รับเหมารายใหญ่
ด้านนักวิเคราะห์จาก บล.ดีบีเอสวิเคอร์ส (ประเทศไทย) มองว่า การปรับตัวลดลงของหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างทั้งกลุ่ม จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น แต่คาดว่าหลังจากได้รับปัจจัยบวกจากเรื่องการเลือกตั้งที่เพิ่งเสร็จสิ้นไป ทำให้นักลงุทนเชื่อว่าการก่อสร้างในปี2551 จะเริ่มมีการฟื้นตัวอย่างชัดเจน แม้ว่าตอนนี้การจัดตั้งรัฐบาลยังไม่มีความชัดเจน แต่ทั้งนี้ไม่ว่ารัฐบาลจะเป็นพรรคการเมืองใดเป็นผู้จัดตั้งก็ตาม ย่อมต้องมีการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยอาศัยโครงการเมกะโปรเจ็กต์เป็นเครื่องมือกระตุ้น
สำหรับกลุ่มรับเหมาฯ เนื่องจากยังมีความเสี่ยงในเรื่องค่าวัสดุก่อสร้าง โดยเฉพาะเหล็กที่ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นสูง จากต้นปีที่ผ่านมาราคาอยู่ที่ 20 บาทต่อกิโลกรัม ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่25 บาทต่อกิโลกรัม รวมทั้งราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงเช่นกัน ซึ่งทั้งสองปัจจัยเป็นตัวบั่นทอนการทำกำไร เพราะค่าวัสดุก่อสร้างและค่าขนส่งนั้นคิดเป็น 30% ของต้นทุนการดำเนินงานของกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง
|
|
|
|
|