|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
อสังหาฯ ปี 51 น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ แม้มีข่าวดีรัฐบาลการออกกฎหมายเอื้อผู้บริโภค Escrow Account - กฎหมายควบคุมอาคารชุดสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภค การเมืองชัดเจน แต่ปัจจัยลบด้านเศรษฐกิจ - ดอกเบี้ยขึ้น - ราคาน้ำมัน ยังเป็นตัวฉุดให้ตลาดทรงตัว
นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการบริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจัยที่จะส่งผลดีการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคอีกปัจจัยหนึ่งคือ การออกกฎหมายแอสโครว์แอ็กเคานต์ (Escrow Account) หรือกฎหมายประกันเงินดาวน์ และพ.ร.บ.อาคารชุดฉบับปรับปรุงใหม่ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรอลงพระปรมาภิไธย์ คาดว่าจะสามารถประกาศใช้ได้ในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ซึ่งการออกกฎหมายดังกล่าวจะส่งผลดีต่อลูกค้า โดยในส่วนของกฎหมายประกันเงินดาวน์จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้ามากขึ้น
ทั้งนี้กฎหมายประกันเงินดาวน์จะส่งผลต่อผู้ประกอบการโดยตรง โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายเล็กที่มีสภาพคล่องไม่ดี และผู้ประกอบการรายที่มีการเก็บเงินดาวน์สูงๆ เพื่อนำไปใช้ในเป็นเงินหมุนเวียนในการก่อสร้างจะมีปัญหาจาการขาดสภาพคล่องทางด้านการเงิน ดังนั้นการลงทุนในธุรกิจอสังหาฯ นับต่อจากนี้จะต้องมีความตั้งใจจริง มีเงินทุนในการพัฒนาไม่ใช่การจับเสือมือเปล่า
ส่วนกฎหมายควบคุมอาคารชุดจะช่วยให้ความสะดวกแก่ลูกค้าในเรื่องการโหวด ซึ่งกฎหมายควบคุมอาคารชุดฉบับแก้ไขนี้จะเน้นในเรื่องการลดคะแนนเสียงในการโหวดเสียงเพื่อขอแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดจากการบริหารงานนิติบุคคลอาคารชุด โดยในส่วนใดที่มีข้อกำหนดให้ต้องใช้เสียงโหวด 75% ของเสียงทั้งหมดให้ลดเหลือ 50%
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าธุรกิจอสังหาฯ จะมีปัจจัยบวกจากกฎหมายทั้ง 2 ฉบับ ที่สร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภค รวมไปถึงความชัดเจนในการจัดตั้งรัฐบาล แต่ปัจจัยลบ ซึ่งได้แก่ บทเรียนจากการปล่อยสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Sub prime) ในประเทศสหรัฐอเมริกาจะส่งผลต่อการพิจารณาปล่อยสินเชื่อรายย่อยของสถาบันการเงินเข้มงวดมากขึ้น รวมไปถึงปัจจัยลบที่เกิดจากการขึ้นราคาน้ำมันส่งผลให้ราคาวัสดุก่อสร้างให้มีการปรับตัวขึ้นไปแล้วในช่วงที่ผ่านมานี้ จะทำให้ราคาขายที่อยู่อาศัยในปี 2551 ปรับขึ้นอีก ทั้งนี้ที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยวจะเป็นสินค้าที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด
รวมไปถึง แนวโน้มเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่จะส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคนั้น คาดว่าในปีนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยจะมีแนวโน้มการคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับเดิม เนื่องจากไม่สามารถปรับลดลงได้ต่ำกว่าปัจจุบันเพราะจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่หากมีการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นก็จะส่งผลต่อการแข็งค่าของเงินบาท ซึ่งจะส่งผลต่อภาคอุตสาหกรรมส่งออก ซึ่งอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศในปัจจุบัน พึ่งพาการส่งออกต่างประเทศถึง 70%
ทั้งนี้เมื่อเปรียบเทียบปัจจัยลบและปัจจัยบวกแล้ว เชื่อว่าปัจจัยบวกจะไม่ช่วยกระตุ้นให้ตลาดอสังหาฯ ในปีนี้มีอัตราการเติบโตที่ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เพราะเมื่อเทียบปัจจัยลบที่มีมากกว่า อีกทั้งยังกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคมากกว่า
อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันความเชื่อมั่นของผู้บริโภคถือว่ายังเปราะบางมาก พิจารณาได้จากเมื่อมีสถานการณ์ไม่ดีมากระทบ จะมีการชะลอการตัดสินใจซื้อทันที นายวสันต์ เคียงศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธารารมณ์ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ผู้ประกอบการจึงต้องมองให้ออกว่าในแต่ละช่วง ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเป็นอย่างไร ขณะเดียวกันต้องอ่านสถานการณ์ตลาดให้ชัดเจนด้วย เพราะการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคในปัจจุบันไม่ได้ขึ้นอยู่กับฤดูกาลเหมือนอดีตที่ผ่านมา แต่จะขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นเป็นหลักมากกว่า
ขณะนี้ถือได้ว่ากำลังซื้อในตลาดบ้านอยู่ในภาวะทรงตัวและมีแนวโน้มลดลง เป็นผลมาจากปัจจัยหลายอย่างไม่เอื้อ ทั้งอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือจีดีพีที่คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 4% ราคาน้ำมัน และดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มขึ้น ประกอบกับสถาบันการเงินเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อเพื่อลดความเสี่ยง
ส่วนผลกระทบด้านบวก คือ การที่ภาครัฐผลักดันกฎหมายเอสโครว์ แอ็กเคานต์ออกมาบังคับใช้ เพราะจะทำให้ทั้งผู้บริโภคและผู้ประกอบการมีความมั่นใจมากขึ้น จุดนี้จะทำให้ผู้ประกอบการหันไปทำบ้านสั่งสร้างมากขึ้น ลดความเสี่ยงในการมีบ้านค้าง สต๊อก จากเดิมที่ต้องสร้างบ้านเสร็จก่อนขายซึ่งต้องใช้เงินทุนจำนวนมาก แต่รายกลางและรายเล็กที่อยากจะอยู่รอดจะต้องหาช่องว่างทางการ อย่าไปแข่งขันกับรายใหญ่โดยตรง
อนึ่ง พระราชบัญญัติการจัดการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา หรือ พ.ร.บ. แอสโครว์ แอ็กเคานต์ มีขึ้นเพื่อคุ้มครองผู้บริโภคในการทำธุรกรรมในการซื้อขายที่อยู่อาศัย โดยพระราชบัญญัติฉบับนี้จะเป็นหลักประกันว่าผู้บริโภคจะไม่สูญเสียเงินที่ได้ผ่อนชำระเงินดาวน์เพื่อซื้อบ้าน เพราะการซื้อขายที่อยู่อาศัยในประเทศไทยส่วนหนึ่งมักจะถูกกำหนดให้ชำระค่าซื้อล่วงหน้าไปจำนวนหนึ่งก่อนที่ผู้ประกอบการจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างที่อยู่อาศัยให้กับผู้ซื้อ และหากผู้ประกอบการไม่สามารถดำเนินโครงการต่อไปได้ก็จะทำให้ผู้ซื้อเสียเงินล่วงหน้าจำนวนนี้ไป โดยกฎหมายฉบับดังกล่าวจะกำหนดให้มีผู้เข้ามาจัดการดูแลผลประโยชน์ให้ซึ่งก็คือสถาบันการเงินที่ได้รับใบอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยให้สามารถประกอบธุรกิจเป็นผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาโดยทำหน้าที่เป็นตัวกลางรับฝากและเก็บรักษาดูแลเงินดาวน์ของผู้ซื้อที่อยู่อาศัยเพื่อจ่ายให้กับผู้ประกอบการ
นอกจากนั้นยังดูแลธุรกรรมให้เสร็จสมบูรณ์ตามเงื่อนไขที่คู่สัญญาได้ระบุไว้ในนิติกรรมนั้นๆ และหากโครงการที่จำหน่ายไปไม่ประสบความสำเร็จ ผู้ซื้อจะได้รับเงินจำนวนที่ได้ผ่อนชำระไปแล้วพร้อมดอกเบี้ยคืน ซึ่งผลดีที่ตามมาก็คือจะช่วยควบคุมและป้องกันผู้ประกอบการที่หวังเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์จากการทำธุรกิจอสังหาฯ และยังเป็นกลไกที่ช่วยป้องกันการเกิดการเร่งพัฒนาโครงการอสังหาฯออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมากเกินไป เนื่องจากผู้ประกอบการมีความระมัดระวังมากขึ้นในการประกอบธุรกิจเพราะต้องอาศัยแหล่งเงินทุนของตัวเองเป็นหลัก ส่วนผลกระทบที่มีต่อผู้ประกอบการคือจะมีต้นทุนในการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น และอาจผลักภาระมายังผู้บริโภค แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะสามารถทำได้เสมอไปเพราะหากรายเล็กขายบ้านในราคาที่สูงกว่าผู้ประกอบการรายใหญ่ก็จะทำให้ไม่สามารถขายได้
|
|
|
|
|