Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ สิงหาคม 2528








 
นิตยสารผู้จัดการ สิงหาคม 2528
ไอบีเอ็มสุภาพบุรุษหรือมาเฟียแห่งวงการคอมพิวเตอร์?             
 


   
www resources

IBM Homepage
โฮมเพจ ไอบีเอ็ม (ประเทศไทย)

   
search resources

ไอบีเอ็ม ประเทศไทย, บจก.
Computer
IBM
โทมัส วัตสัน




ไอบีเอ็มนั้นมิใช่เป็นเพียงเครื่องหมายการค้าของบริษัทผู้ผลิตคอมพิวเตอร์รายใหญ่ที่สุดในโลกอย่างเดียว

แต่อักษรสีฟ้าสามตัวนี้ยังหมายถึง สัญลักษณ์ของความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และด้วยความยิ่งใหญ่ของบริษัทอันดับหนึ่งในวงการคอมพิวเตอร์ บางครั้งมันก็ทำให้ภาพพจน์ของบริษัทอาจจะขุ่นมัวไปบ้างในสายตาของประชาชน ผู้เขียนจึงขอนำท่านผู้อ่านได้เข้าไปสัมผัสกับอาณาจักรใหญ่อันดับหนึ่งในสิบของโลกในแง่มุมหลายๆ แง่มุม เพื่อให้ท่านได้ตัดสินใจเองว่าไอบีเอ็มนั้นเป็นสุภาพบุรุษหรือมาเฟียในวงการคอมพิวเตอร์กันแน่

ไอบีเอ็ม เป็นชื่อย่อของบริษัท Internation Business Machine (IBM) ซึ่งนิยมใช้สีฟ้าสลับขาวเป็นสัญลักษณ์ของบริษัทบนผลิตภัณฑ์ต่างๆ

ไอบีเอ็มนั้นเริ่มพัฒนาตัวเองมาจากบริษัทผลิตเครื่องใช้สำนักงานอาทิเช่น เครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้า ฯลฯ

บุคคลที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของไอบีเอ็มนั้นก็คือ โทมัส วัตสัน (Thomas Watson) ซึ่งมีอยู่ 2 คนพ่อลูก วัตสันคนแรกเริ่มเข้ามาอยู่กับไอบีเอ็มตั้งแต่ยุคบุกเบิก ได้ฝ่าฟันขวากหนามขึ้นมาเป็นประธานของบริษัท แต่วัตสันจูเนียร์กลับเป็นคนที่นำไอบีเอ็มไปสู่ความรุ่งโรจน์โดยได้ตัดสินใจผลิตคอมพิวเตอร์รุ่นสำคัญ อันได้แก่ ระบบ 370 อันเป็นเครื่องต้นแบบสำหรับคอมพิวเตอร์ยุคปัจจุบัน

ไอบีเอ็มได้รับการขนานนามว่า "ยักษ์สีฟ้า" (Big Blue) เพราะเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่สุดในวงการเทคโนโลยีชั้นสูง ความยิ่งใหญ่ของไอบีเอ็มในสหรัฐอเมริกานั้นดูได้จากยอดขายของบริษัทอันดับ 2 ในวงการเดียวกันที่คิดเป็นเพียง 15% เมื่อเทียบกับไอบีเอ็ม

ส่วนยอดขายในประเทศไทยนั้น ไอบีเอ็มมีส่วนแบ่งทางด้านการตลาดมากกว่า 60%

เพื่อที่จะแสดงให้เห็นชัดถึงความยิ่งใหญ่ของไอบีเอ็ม ก็อาจจะดูได้จากรายได้ของไอบีเอ็มทั้งหมด ซึ่งจะมากกว่างบประมาณของประเทศไทยประมาณ 5 เท่า โดยมีผลกำไรจากการประกอบการมากกว่า 1 แสนล้านบาท มีพนักงานด้านต่างๆ ทั่วโลกประมาณ 4 แสนคน

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ไอบีเอ็มก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดก็คือ "พนักงาน" ซึ่งจะเห็นได้จากปรัญชาในการทำงานท่ไอบีเอ็มมักจะประกาศต่อสาธารณชนว่า "Employee is IBM'S Greatest Asset."

เซลส์แมนของไอบีเอ็ม หรือที่เรียกกันว่าผู้แทนการตลาดนั้น เป็นหัวหอกที่สำคัญอันหนึ่งในการผลักดันผลิตภัณฑ์ที่ติดอักษรสีฟ้าสามตัวนี้ให้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจากประชาชน บุคคลเหล่านี้จะต้องรับการฝึกฝนอย่างหนัก และมีกฎเกณฑ์มากมายเพื่อคอยควบคุมการขายให้เป็นไปในรูปแบบเดียวกัน แต่สิ่งที่เขาเหล่านั้นแสดงออกมาก็ล้วนแต่เป็นที่ประทับใจต่อผู้พบเห็น

พนักงานของไอบีเอ็มจะอยู่ในชุดเรียบร้อยคล้ายๆ กัน ผู้ชายจะใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงสีเข้ม ผูกเน็คไทอย่างสุภาพตลอดเวลา ท่วงทำนองการพูดจาจะใกล้เคียงกัน การบรรยายสรรพคุณของผลิตภัณฑ์จะใช้ท่าทางมาตรฐานมือขวาท้าวเอวหรือเสียบกระเป๋ากางเกงตลอดเวลา ข้อศอกตั้งฉาก แม้ว่าจะดูไม่สุภาพอยู่บ้างในแง่ของคนไทยแต่มาตรฐานเหล่านี้ถูกตั้งโดยสังคมอเมริกัน ดังนั้นพนักงานของไอบีเอ็มในประเทศไทยอาจมีการผ่อนปรนรูปแบบการเสนอดังกล่าวไปบ้างเพื่อให้เหมาะกับวัฒนธรรมไทย แต่สิ่งที่น่าประทับใจยิ่งกว่าคงจะเป็นวิธีการนำเสนความคิดที่ไม่พยายามยัดเยียดเสนอข้อดีของผลิตภัณฑ์ตัวเองอยู่ตลอดเวลา แต่เขาเหล่านี้จะพยายามสอบถามความประสงค์ของลูฏค้าและเขาจะพยายามชี้ให้เห็นถึงการทำงานที่เป็นระบบ การปรับปรุงวิธีการคิดคำนวณบางอย่าง ซึ่งจะทำให้ลูกค้าแก้ไขปัญหาที่มีอยู่ได้ โดยเขาจะเพียงสรุปทิ้งท้ายไว้แต่เพียงว่า ถ้าจะให้การทำงานดังที่ได้เสนอมานี้ มีประสิทธิภาพ ควรที่จะใช้ผลิตภัณฑ์ของไอบีเอ็ม ถ้าท่านเป็นลูกค้าที่ถูกหว่านล้อมด้วยกลยุทธการขายเช่นนี้ ท่านก็คงจะรู้สึกที่ชมชอบในผลิตภัณฑ์ของเขามากขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นจุดขายของไอบีเอ็มที่เขาไม่ได้เป็นความล้ำหน้าทางเทคโนโลยีแต่เขาจะเสนอลูกค้าด้วยการบริการ ซึ่งการบริการนี้ครอบคลุมทั้งการบริการด้านความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการพัฒนาธุรกิจ การนำคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยงาน และท้ายสุดคือการบริการหลังการขาย

ผู้แทนการตลาดของไอบีเอ็มทุกคนจะต้องยึดกฎระเบียบต่างๆ อย่างเคร่งครัด การทำงานที่เป็นระบบดังกล่าวจะทำให้ลูกค้ามีความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์มากขึ้น

ไอบีเอ็มเป็นบริษัทที่เห็นการตลาดเป็นหัวใจในการค้าของเขา

พนักงานของไอบีเอ็มจะไม่วิจารณ์หรือเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ของคู่แข่งกับของเขาเอง เขาจะต้องรีบลาจากลูกค้าทันทีเมื่อเซลส์แมนของผลิตภัณฑ์อื่นๆ จะเข้ามาเสนอขาย สิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ ล้วนแต่เป็นเสน่ห์ที่ทำให้ทุกคนรู้สึกว่า ไอบีเอ็มเป็น "สุภาพบุรุษแห่งวงการคอมพิวเตอร์"

บริษัท ไอบีเอ็ม (ประเทศไทย) จำกัด เป็นบริษัทที่บริษัทแม่ในอเมริกาถือหุ้น 100% ผู้บริหารสูงสุดในปัจจุบันถูกสั่งมาจากบริษัทแม่เพื่อกำหนดนโยบายและแนวทางการตลาดของไอบีเอ็มในประเทศไทย

ในปี 2528 ที่ผ่านมา ไอบีเอ็ม (ประเทศไทย) มียอดขายสูงแบบก้าวกระโด คือสามารถขายผลิตภัณฑ์ทั้ง Hardware และ Software รวมทุกรุ่นได้ประมาณ 1,000 ล้านบาท ซึ่งอัตราเติบโตจากปี 2527 สูงมาก จนถือได้ว่าเป็นปีเกียรติประวัติของคนไอบีเอ็ม ถ้าพิจารณาในแง่ขีดความสามารถของพนักงานแล้ว ก็นับได้ว่าไอบีเอ็มได้รวบรวมคนเก่งๆ ของเมืองไทยไว้มากกมายพอดู โดยเฉพาะในช่วง 2-3 ปีหลังนี้ ไอบีเอ็มได้ขยายตัวในการรับพนักงานใหม่เกือบเท่าตัว

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่วิเคราะห์กันแต่เรื่อง "คน" จนหลายท่านอาจสงสัยว่า "ผลิตภัณฑ์" ของไอบีเอ็มไม่ดีหรือไง? ถึงไม่ใช่จุดขายของเขา

ถ้าจะกล่าวถึงผลิตภัณฑ์ของไอบีเอ็มในแง่เทคโนโลยีแล้วก็อาจจะพูดได้อย่างเต็มปากได้ว่า "ผลิตภัณฑ์ของไอบีเอ็มที่นำออกสู่ตลาดนั้นไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ที่ใช้เทคโนโลยีล้ำหน้าเท่าใดนัก"

แต่นั่นมิใช่ว่าเขาจะไม่ใช่ผู้นำในวงการนี้ !

ไอบีเอ็มมีผลิตภัณฑ์ที่นำหน้าอยู่เสมอ แต่ของเหล่านั้นอยู่ในศูนย์วิจัยและพัฒนา หรืออาจจะมีไว้ใช้ภายในบริษัทเท่านั้น จนเคยมีผู้กล่าวกันว่า คอมพิวเตอร์ของไอบีเอ็มที่นำออกสู่ตลาดนั้นคือผลิตภัณฑ์ที่ได้พัฒนามาเมื่อ 5 ปีก่อนหน้านี้คงจะมีหลายท่านอาจสงสัยว่าในโลกธุรกิจปัจจุบันที่วงจรของการเกิดและตายของสินค้านั้นสั้นมาก ทำไมไอบีเอ็มจึงทำงานกันช้าเช่นนั้น คำตอบก็คงเป็นไปได้ 2 ประเด็นด้วยกัน

ประเด็นแรกคงจะเกี่ยวพันกับปริมาณการผลิต คอมพิวเตอร์ของไอบีเอ็มนั้นเป็นคอมพิวเตอร์ที่ขายดีที่สุดในโลก ปริมาณการผลิตก็คงจะมากกว่าคู่แข่งรายอื่นๆ ด้วย ท่านก็คงจะทราบดีว่าคอมพิวเตอร์ประกอบด้วยส่วนประกอบชิ้นส่วนมากมาย และในบรรดาชิ้นส่วนเหล่านี้ จำนวนมากทีเดียวที่ไอบีเอ็มต้องซื้อหาจากผู้ผลิตรายอื่นๆ ถ้าไอบีเอ็ม ต้องการนำสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีล่าสุดออกสู่ตลาด นั่นหมายถึงว่า ผู้ผลิตรายย่อยต้องเร่งการผลิตชิ้นส่วนใหม่ๆ จำนวนมากในระยะเวลาอันสั้น สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่ายนักสำหรับผู้ผลิตรายย่อยที่มีเงินทุนและเทคโนโลยียังไม่สูงพอ ดังนั้นประเด็นนี้จึงน่าเห็นใจไอบีเอ็มที่ไม่สามารถสนองความต้องการของตลาดด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยได้

แต่สาเหตุประการที่สองนี้ อาจจะเป็นที่น่าสนใจกับท่านผู้อ่านมาก ในตลาดโลกนั้นไอบีเอ็มมีส่วนแบ่งการตลาดประมาณครึ่งหนึ่ง ซึ่งคงจะไม่มีความจำเป็นเท่าใดนักสำหรับไอบีเอ็มที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เข้าสู่ตลาดถ้าคู่แข่งขันไม่ขยับตัวหรือคู่แข่งไม่เสนอผลิตภัณฑ์ที่น่ากลัวแก่ลูกค้า สิ่งเหล่านี้คงเป็นธรรมชาติทั่วไปทางด้านการตลาดของผู้นำการตลาด แต่ในแง่ของไอบีเอ็มที่เป็นยักษ์ใหญ่ของโลกคอมพิวเตอร์ที่มีการลงทุนการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เกือบเท่างบประมาณของรัฐบาลไทยทั้งปีนั้น หมายความว่าไอบีเอ็มจะมีผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ขีดความสามารถสูงเท่าเดิม มากกว่า 5 ชิ้นในแต่ละ Product line หรืออาจจะกล่าวอีกนับหนึ่งได้ว่า คอมพิวเตอร์ทุกรุ่นของไอบีเอ็มที่ขายอยู่ในตลาดปัจจุบันนี้ ไอบีเอ็มจะมีผลิตภัณฑ์สำรองอยู่ในมืออีกประมาณ 5 ชิ้น ที่พร้อมจะนำออกสู่ตลาดทันที ถ้าคู่แข่งเสนอสิ่งที่ดีกว่าแก่ลูกค้า

ในกรณีนี้ก็ดูจะไม่กระไรนัก ถ้าคู่แข่งของไอบีเอ็มพอจะมีศักยภาพพอที่จะเสนอสิ่งใหม่ๆ เข้าสู่ตลาด เพื่อกระตุ้นไอบีเอ็มให้สนองสินค้าที่ดีกว่าต่อตลาด

แต่ปัจจุบันหรืออนาคตอันใกล้นี้ดูเหมือนว่าคู่แข่งที่มีศักยภาพของไอบีเอ็มก็มีแต่จะร่อยหรอออกไปจากวงการทีละน้อยเรื่อยๆ จนเราอดที่จะกลัวไม่ได้ว่า คอมพิวเตอร์ในทศวรรษหน้าอาจจะมีเพียงคอมพิวเตอร์ที่ติดอักษรสีฟ้า 3 ตัวนี้เท่านั้น

จากแนวความคิดดังกล่าว สะท้อนให้เห็นถึงความกลัวในการผูกขาดโลกแห่งเทคโนโลยีของยักษ์สีฟ้าคงจะไม่ใช่ผู้เขียนที่มีความกลัวเท่านั้น แต่วงการคอมพิวเตอร์ทั่วโลกต่างก็ตื่นตัวกับกรณีข้างต้นพอประมาณ จะเห็นได้จากการฟ้องร้องไอบีเอ็มในข้อหาเกี่ยวกับการผูกขาดทางการค้าที่เป็นคดีความกันมากว่า 10 ปีในสหรัฐอเมริกาจนถึงขณะนี้ได้มีการยกฟ้องโดยไม่มีการตัดสินแล้วก็ตาม หรือการพยายามรวมตัวกันของบริษัทคอมพิวเตอร์ขนาดรองๆ ลงมาเพื่อหาทางสู้กับยักษ์ใหญ่ในวงการนี้ที่ปรากฏอยู่เนืองๆ ก็ดี สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นปฏิกิริยาที่เกิดจากการมองภาพ-พจน์ของไอบีเอ็มที่มีเงาของมาเฟียแห่งวงการคอมพิวเตอร์เข้ามาบดบัง

ในช่วง 2 ปีนี้ไอบีเอ็มได้มีการขยายตัวทางด้านการตลาดของคอมพิวเตอร์ขนาดกลาง (Mini Computer) อย่างมาก คอมพิวเตอร์ระบบ 34 นำชื่อเสียงมาสู่ไอบีเอ็มอย่างมาก ในเมืองไทยได้มีการโป รโมทระบบ 34 นี้อย่างต่อเนื่องและยาวนานมากว่า 10 ปี แต่เมื่อปี 2526 ไอบีเอ็ม (ประเทศไทย ได้เสนอคอมพิวเตอร์ขนาดกลางรุ่นใหม่สู่ตลาดคือระบบ 36 และต่อเมื่อปี 2527 ปลายปี ก็มีการแนะนำระบบ 36 จูเนียร์อีกครั้ง ซึ่งมีผู้กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่าไอบีเอ็มควรที่จะแนะนำระบบ 36 และระบบ 36 จูเนียร์ก่อนหน้านี้มานานแล้ว

แต่การที่ไอบีเอ็มดึงเกมส์ไว้ เพราะคู่แข่งขันในเมืองไทยขาดการตลาดที่ดีในการเสนอคอมพิวเตอร์ขนาดกลางที่มีประสิทธิภาพออกสู่ตลาด ทำให้ไอบีเอ็มสามารถกินบุญเก่าอยู่นานเกือบ 10 ปี และเมื่อไอบีเอ็มแนะนำระบบ 36 ออกมานั้น แทบจะทำให้ลูกค้าเก่าหลายรายกระอักเลือดกับค่าบำรุงรักษาที่เรียกว่า Maintenance Agreement ที่ขึ้นอย่างรวดเร็ว เท่ากับเป็นการชี้แนะให้ลูกค้าใหม่และเก่าหันมาให้ความสนใจในระบบ 36 ที่มี Price-Performance ต่ำกว่าระบบ 34 เดิมอย่างมาก

เจ้าของกิจการที่มีระบบ 34 อยู่ขณะนี้มีประมาณ 200 ราย นับเป็นกลุ่มลูกค้าขนาดกลางที่ใหญ่ที่สุดมากกว่าครึ่งของเจ้าของระบบ 34 นี้อยากที่จะขายเครื่องคอมพิวเตอร์นี้ทิ้งไป เพราะทนกับราคาค่าบำรุงรักษาไม่ไหว

ถึงแม้ลูกค้าระบบ 36 หรือระบบ 36 จูเนียร์ก็ยังคงหวาดกลัวว่าเมื่อใดจะถึงคิวฆ่าของตน เพราะถ้าเมื่อใดไอบีเอ็มจะนำสินค้ารุ่นใหม่ออกสู่ตลาด และต้องการชี้นำให้ตลาดสนใจในผลิตภัณฑ์ใหม่นี้ ลูกค้าเก่าก็จะถึงคิวฆ่าเมื่อนั้น

สำหรับประเทศไทย สัญญาณอันตรายที่เห็นได้ชัดก็คงเป็นการขยายตัวอย่างก้าวกระโดดของไอบีเอ็มในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา การล้มหายตายจากของบริษัทคอมพิวเตอร์อื่นๆ ที่ทนแรงเสียดสีของวงการนี้ไม่ไหว การรุกของไอบีเอ็มทั้งภาครัฐบาลและเอกชนอย่างหนักด้วยกลยุทธการตลาดหลายๆ วิธี การสร้างอาณาจักรทางด้านการขายที่กว้างขวางออกไปโดยมีตัวแทนจำหน่ายมากขึ้น หรือโดยดึงเอาบริษัทคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กๆ หลายๆ บริษัทเข้ามาเป็นผู้แทนจำหน่าย ซึ่งผู้เขียนคงไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่กระตุ้นให้วงการคอมพิวเตอร์ในประเทศโตขึ้นอย่างมาก

แต่ผู้เขียนก็คงจะต้องแสดงความเป็นห่วงต่ออนาคตของการพัฒนาทางด้านคอมพิวเตอร์ในประเทศไทย ซึ่งคงจะปฏิเสธไม่ได้ว่า ไอบีเอ็มคงจะมีส่วนในการกำหนดอนาคตอันนี้

เพราะถ้าไอบีเอ็มตระหนักในความรับผิดชอบที่มีต่อประชาชนในฐานะที่เป็นผู้นำเสนอเทคโนโลยีอันเหมาะสมแก่วงการธุรกิจและอุตสาหกรรม ภาพพจน์ของไอบีเอ็มก็จะต้องได้รับการยกย่อง

แต่ถ้าไอบีเอ็มหลงลืมความรับผิดชอบดังกล่าว โดยถือว่า เขาเป็นผู้กำหนดเทคโนโลยีให้แก่สังคมโดยไม่ดูหรือรับฟังสภาพที่แท้จริงของสังคมแล้ว บทบาทของไอบีเอ็มก็คงจะไม่ใช่ผู้สร้างสรรค์ของวงการเทคโนโลยีต่อไป

ดังนั้นคำตอบของคำถามที่ว่า "ไอบีเอ็มเป็นสุภาพบุรุษหรือมาเฟียแห่งวงการคอมพิวเตอร์" ก็คงขึ้นอยู่กับบทบาทของไอบีเอ็มที่จะสนองตอบต่อการพัฒนาเทคโนโลยีของประเทศ

สำหรับผู้เขียนนั้นก็ยังหวังที่จะได้เห็นไอบีเอ็มในคราบของสุภาพบุรุษต่อไปอีกนานเท่านาน

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us