|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
 |
กองทุนโดดอุ้มตลาดหุ้น ไล่เก็บหุ้นบิ๊กแคปหลังราคารูดต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานค่อนข้างมาก ขณะที่รายย่อยใจชื้น"เพื่อแผ่นดิน-ชาติไทย"ตอบรับร่วมรัฐบาลใหม่ โบรกเกอร์ชี้หุ้นขึ้นแค่รีบาวน์จากเทคนิค ย้ำต้องติดตามผลตัดสินคดียุบพรรคพปช.วันนี้ ขณะที่ปัจจัยนอกประเทศลุ้นงบไตรมาส 4/50"เมอร์ลิลินซ์-โกลด์แมนแซคส์" ด้านนักลงทุนเตรียมกระอักไตรมาส 2/51 หลักทรัพย์ค้ำประกันซื้อหุ้นเพิ่มจาก 10% เป็น 15% ขณะที่ตลาดหุ้นต่างประเทศยังมีทิศทางไม่ชัดเจน เหตุนักลงทุนฉวยจังหวะหุ้นลงแรงเข้ามาเก็งกำไร แต่ยังเกรงภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ย่ำแย่อยู่
ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (17 ม.ค.) ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดหลังกระแสข่าวในการจัดตั้งรัฐบาลมีความชัดเจนมากขึ้น โดยล่าสุดพรรคชาติไทยและพรรคเพื่อแผ่นดินตอบรับในการเข้าร่วมเป็นรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชน โดยนักลงทุนสถาบันหันมาเก็บหุ้นขนาดใหญ่ทั้งในกลุ่มพลังงานและกลุ่มธนาคารจากราคาปรับตัวลดลงไปค่อนข้างมากก่อนหน้านี้ ส่งผลทำให้ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นมาปิดที่ 791.25 จุด เพิ่มขึ้น 17.45 จุด หรือ 2.26% โดยจุดสูงสุดของวันอยู่ที่ 794.27 จุดและจุดต่ำสุดอยู่ที่ 771.48 จุด มูลค่าการซื้อขาย 21,053.98 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,311.97 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 2,177.57 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 134.40 ล้านบาท
นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามทิศทางตลาดหุ้นภูมิภาค ซึ่งเป็นการรีบาวน์ทางเทคนิคจากที่ผ่านมาได้มีการปรับตัวลดลง ประกอบกับข่าวที่ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุซ เตรียมประชุมหารือออกมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งมีผลทำให้ดัชนีล่วงหน้าตลาดหุ้นดาวโจนส์และแนสแดคปรับตัวเพิ่มขึ้น
สำหรับสาเหตุที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงกว่าตลาดหุ้นในภูมิภาค เนื่องจากปัจจัยการเมืองที่มีความชัดเจนมากขึ้นจากพรรคเพื่อแผ่นดินและชาติไทยได้ประกาศที่จะเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชน จึงทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจที่เข้ามาลงทุนมากขึ้น แต่ยังคงต้องติดตามในเรื่องคดียุบพรรคพลังประชาชนในข้อหาการเป็นนอมินีให้กับกลุ่มพรรคไทยรักไทยเดิมในวันนี้ (18 ม.ค.) ว่าศาลฎีกาจะมีการตัดสินอย่างไร
ทั้งนี้ หากศาลฯพิจารณาออกมาว่าพรรคพลังประชาชนไม่มีความผิดก็จะเป็นผลดีต่อตลาดหุ้นให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้จากปัจจัยการเมืองมีความชัดเจนมากขึ้น ในการดำเนินการจัดตั้งรัฐบาลต่อไป แต่ก็จะเป็นปัจจัยบวกในช่วงสั้นๆเพราะปัจจัยหลักนั้นยังคงต้องติดตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ ในทางตรงกันข้ามหากผลการตัดสินพรรคพลังประชาชนมีความผิดก็จะส่งผลให้เกิดปัญหาตามมาและมีผลทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงได้
อย่างไรก็ตามแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้คาดว่าดัชนีจะปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากแรงเก็งกำไรการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาและการที่ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) จะมีการประชุมในวันที่ 30 มกราคมนี้ในการลดอัตราดอกเบี้ยและการเมืองที่จะชัดเจนมากขึ้น โดยบริษัทแนะนักลงทุนให้ซื้อหุ้นที่มีการปรับตัวลดลงมามากในช่วงที่ผ่านมา เช่น PTT BAY PS KTB MINT ฯลฯ โดยประเมินแนวรับที่ระดับ 787 จุด แนวต้านที่ระดับ 805 จุด
นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.พัฒนสิน กล่าวว่า ตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงจากการเข้ามาเก็งกำไรหุ้นกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะในกลุ่มปตท. เนื่องจากก่อนหน้าที่ราคาได้ปรับลดลงมากจนอยู่ในระดับที่น่าสนใจ ขณะที่ปัจจัยจากต่างประเทศโดยเฉพาะปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) ส่งสัญญาณที่ดีขึ้นเนื่องจากพรรครีพลับลิกัน และพรรคเดโมแครตของสหรัฐฯ ประกาศจะร่วมมือที่จะแก้ไขปัญหาดังกล่าว
ทั้งนี้ ประเมินแนวรับที่ 775-780 จุด และแนวต้านที่ 800 จุด โดยยังต้องติดตามปัจจัยการเมืองภายในประเทศและปัจจัยภายนอกจากสหรัฐฯ
ลุ้นคดียุบ"พปช"วันนี้
นายอนุพนธ์ ศรีอาจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.บีฟิท กล่าวว่า ทิศทางตลาดหุ้นในวันนี้คาดว่าจะยังเคลื่อนไหวอย่างผันผวน โดยระหว่างวันอาจมีการขายทำกำไรออกมาเพื่อรอความชัดเจนในคำตัดสินของศาลฎีกากรณีพรรคพลังประชาชนเป็นนอมีนีพรรคไทยรักไทย โดยประเมินแนวรับที่ 780 จุด แนวต้านที่ 795-780 จุด
นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า นักลงทุนรอการแถลงข่าวการจัดตั้งรัฐบาลอย่างเป็นทางการซึ่งจะเกิดขึ้นในสัปดาห์หน้าจึงทำให้มีแรงซื้อเข้ามาเก็งกำไร แต่ปัจจัยที่ยังถือว่าเป็นความเสี่ยงนักลงทุนต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
ทั้งนี้ ทิศทางตลาดหุ้นไทยในวันนี้จะผันผวนมากขึ้น ซึ่งนักลงทุนต้องรอการประกาศผลประกอบการของเมอร์ริลลินช์ ว่าจะได้รับผลกระทบจากปัญหาซับไพรม์มากน้อยเพียงใด โดยประเมินแนวรับที่ 776-780 จุด แนวต้านที่ 800 จุด แนะนำขายทำกำไรได้เมื่อดัชนีใกล้ 800 จุด
เพิ่มวงเงินประกันซื้อหุ้นQ2
นายจงรัก ระรวยทรง กรรมการผู้อำนวยสมาคมบริษัทหลักทรัพย์(บล.) กล่าวว่าการปรับอัตราอัตราวางหลักทรัพย์ค้ำประกันในการซื้อหลักทรัพย์จาก 10% เป็น 15% ว่า ที่ผ่านมาสมาคมบล.ได้มีการสำรวจความคิดเห็นในเรื่องดังกล่าวกับสมาชิก โดยส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการปรับขึ้นอัตราการวางหลักทรัพย์ค้ำประกันโดยตอนนี้เรื่องดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของตลาดหลักทรัพย์ฯ ก่อนจะเสนอต่อให้คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์พิจารณาอนุมัติต่อไป
ทั้งนี้ คาดว่าการเพิ่มหลักประกันการซื้อหุ้นจะสามารถดำเนินการได้ในไตรมาส 2/51 เนื่องจากไม่ต้องการให้กระทบต่อนักลงทุนเพราะในช่วงที่ผ่านมาได้มีการแก้ไขกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์หลายครั้ง
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าเรื่องดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อการซื้อขายหลักทรัพย์เพราะยังมีเวลาที่ให้นักลงทุนมีการปรับตัวรองรับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ขณะที่เรื่องการชำระราคาหุ้นจากเดิม T+3 เป็น T+2 น่าจะเป็นอีกทางที่ช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุนให้กับนักลงทุนได้
ตลาดหุ้นตปท.ยังไร้ทิศทาง
ทางด้านราคาหุ้นแถบเอเชียปิดวานนี้(17) โดยมีทิศทางไม่ชัดเจนมีทั้งบวกและลบ เมื่อมีพวกออกล่าหาของถูกหลังจากตลาดทรุดแรงในช่วงหลังๆ มานี้ ทว่านักลงทุนจำนวนมากก็ยังหวั่นผวากับสภาพเศรษฐกิจอันย่ำแย่ลงเรื่อยๆ ของสหรัฐฯ
ตลาดวอลล์สตรีทเองเมื่อวันพุธ(16) มีความเคลื่อนไหววูบวาบมาก ในการซื้อขายระหว่างวัน ดัชนีหุ้นอุตสาหกรรมดาวโจนส์เหวี่ยงขึ้นแดนบวกและหล่นลงแดนลบกันในระดับ 100 จุด แต่ในตอนปิดได้ติดลบ 34.95 จุด หรือ 0.28% ขณะที่ดัชนีหุ้นสแตนดาร์ดแอนด์พัวร์ 500 หล่นลง 0.56% และ ดัชนีหุ้นคอมโพสิตของตลาดแนสแดค ต่ำลงมา 0.95%
ข้อมูลตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯที่ประกาศในวันพุธนั้น ไม่สู้มีอะไรน่าตื่นเต้นนัก โดยรายงานเบจบุ๊กของธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) ชี้ว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจได้เพิ่มขึ้นพอประมาณในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนถึงตลอดเดือนธันวาคม ทว่าอยู่ในอัตราที่ชะลอลงเมื่อเทียบกับการสำรวจคราวก่อนหน้า
ขณะที่ตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคที่ประกาศโดยกระทรวงพาณิชย์ แม้จะแสดงว่าเดือนธันวาคมอยู่ที่ 0.3% อันสูงขึ้นกว่าคาดหมาย และทำให้ตลอดปีที่แล้วอยู่ในระดับ 4.1% ซึ่งสูงที่สุดในรอบ 17 ปีทีเดียว แต่นักวิเคราะห์มองว่า ยังอยู่ในระดับที่ไม่ถึงกับจะทำให้เฟดเปลี่ยนใจในเรื่องการลดอัตราดอกเบี้ย ในการประชุมเอฟโอเอ็มซีสิ้นเดือนนี้
ดังนั้น ตลาดหุ้นจึงเล่นกับรายงานผลประกอบการประจำไตรมาส 4/2007 ที่บริษัทต่างๆ ทยอยประกาศออกมา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นไปในทางแย่ลง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อินเทล ที่ทั้งผลกำไรและทิศทางอนาคตต่างน่าปิดหวัง
กระนั้น นักลงทุนก็ยังหาข่าวที่จะใช้เป็นเหตุผลในการเข้าซื้อของถูกได้เหมือนกัน ดังเช่น เจพีมอร์แกน ที่แม้ผลกำไรย่ำแย่ลง แต่ก็ยังดูดีกว่าซิตี้กรุ๊ปซึ่งประกาศในวันอังคาร
ทางด้านตลาดแถบเอเชียวานนี้ ฮ่องกงเป็นตลาดสำคัญที่ขึ้นโด่งกว่าเพื่อน นั่นคือ 2.72% ขณะที่โตเกียวก็สามารถหลุดจากระดับต่ำสุดๆ ในรอบ 2 ปีมาปิดสูงขึ้น 2.07% เช่นเดียวกับสิงคโปร์ที่ไต่ขึ้น 2.66%
การขยับสูงขึ้นเหล่านี้ส่วนมากมาจากแรงออกล่าของถูก หลังจากหุ้นแถบเอเชียทรุดหนักในวันพุธ ตามหลังการหล่นฮวบของวอลล์สตรีทในวันอังคาร
อย่างไรก็ตาม ตลาดเอเชียเมื่อวานนี้ที่ปิดในแดนลบก็มีหลายแห่ง เช่น เซี่ยงไฮ้ ลบ 2.63%, ไทเป ลบ 0.95%, มะนิลา ลบ 3.1%
|
|
 |
|
|