|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
 |
ดัชนีตลาดหุ้นไทยหลุดแนวต้านสำคัญ 780 จุดนักลงทุนแห่ทิ้งรอผลตัดสินคดียุบพรรคนอมินี"แม้ว" 18 ม.ค.นี้ขณะคาด "ซิตี้กรุ๊ป" กระอักพิษซับไพรม์ส่อต้องปลดพนักงานเพิ่ม โบรกฯคาดหุ้นครึ่งปีแรกสุดผันผวน แนะทยอยเก็บหุ้นกลุ่ม SET 50 ราคาถูก ปันผลสูง ระบุส่วนต่างกำไรสูงถึง 27% ด้าน"พิชิต" คาดจีดีพีไทยโต 5% เหตุรัฐบาล-เอกชนจ่อลงทุนเพิ่ม ชี้ยังต้องจับตาพิษซับไพรม์ ราคาน้ำมัน คาดดัชนีสิ้นปีอยู่ที่ 945-975 จุด "ภัทรียา" ยันยังไม่เพิ่มวงเงินค้ำประกันซื้อหุ้นจาก 10% เป็น 15% ห่วงกระทบการลงทุน
ภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์วานนี้ (15 ม.ค.) เปิดตลาดในช่วงเช้าดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นก่อนจะเจอแรงขายออกมาอย่างหนักในหุ้นขนาดใหญ่จนส่งผลทำให้ดัชนีปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงจากความเสี่ยงเกี่ยวกับคดีตัดสินยุบพรรคพลังประชาชน จนทำให้ดัชนีปรับตัวลดลงมาปิดที่ 779.79 จุด ลดลง 11.36 จุด หรือ 1.44% โดยจุดสูงสุดของวันอยู่ที่ 798.54 จุด และจุดต่ำสุดอยู่ที่ 776.99 จุด มูลค่าการซื้อขาย 13,959.25 ล้านบาท
นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,410.42 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 889.73 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 1,520.69 ล้านบาท
นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ กรรมการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวถึงทิศทางตลาดทุนไทยหลังเลือกตั้ง ว่า ทิศทางตลาดทุนไทยหลังการเลือกตั้งจะคงมีความผันผวนในระดับที่สูงต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงครึ่งปีแรก ประเด็นสำคัญยังอยู่ที่ความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ และ ความเสี่ยงที่เศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกาจะเข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างรวดเร็ว
ทั้งนี้ แม้ว่าทั้งสองประเด็นจะเริ่มคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง และเชื่อมั่นว่าในครึ่งปีหลังจะเริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้น และรวมทั้งปี 2551 การลงทุนในปีนี้ยังน่าสนใจอยู่ โดยแนะนำว่า การลงทุนในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้า หลังจากที่ตลาดฯ ปรับตัวรับความเสี่ยงจากทั้งการเมืองและความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจในตลาดโลกแล้ว ถือเป็นจังหวะที่ดีมากสำหรับการเริ่มต้นลงทุน ขณะนี้ตลาดหุ้นไทยอยู่ในเกณฑ์ที่มีราคาถูกมากเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นประเทศเพื่อนบ้าน โดยปัจจุบันตลาดหุ้นไทยซื้อขายกันอยู่ที่ P/E ต่ำกว่า 11 เท่า ของกำไรสุทธิในปี 2551 เทียบกับตลาดหุ้นของประเทศเพื่อนบ้านซื้อขาย P/E ที่ 16-17 เท่าขึ้นไป
นอกจากนี้ คาดการณ์ว่า ตลาดหุ้นไทยยังคงมีความน่าสนใจโดยจากการนำเอาราคาเป้าหมายพื้นฐานจากหุ้น 50 ตัวใน SET 50 Index มาคำนวณหาดัชนีตลาดหุ้นไทยปลายปี 2551 จะอยู่ที่ระดับ 987 จุด นั่นหมายความว่ามี potential upside gain อยู่ที่ประมาณ 24% ขณะเดียวกันยังมีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากเงินปันผลในหุ้นที่จะขึ้นเครื่องหมาย XD ในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้าอีกประมาณ 3.6% ซึ่งรวมแล้วมีโอกาสกำไรประมาณ 27.6% ณ ดัชนีระดับปัจจุบัน
“น่าสนใจมากถ้าเข้าไปดูรายหุ้นพบว่ามีอยู่ 9 หุ้น ที่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลอย่างเดียวเกิน 6% แล้ว ฉะนั้นถ้าดัชนีหลุด 800 จุดลงไปราคาหุ้นที่ถูกลงจะทำให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงขึ้นอีก”นายพิชัยกล่าว
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของยุโรปและสหรัฐฯ กำลังเริ่มต้นเข้าสู่ในช่วงขาลง ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกของตลาดทุนทั่วโลก ดูได้จากการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ด้านการเงินระดับโลกที่ประเมินว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะลดอัตราดอกเบี้ยลงไปอีกและคงจะไม่หยุดอยู่ที่ 3% โดย โกลด์แมนแซคคาดการณ์ว่า เฟดจะลดดอกเบี้ยลงไปอีกจนถึงระดับ 2.5% ในปลายปีนี้ และเป็นสิ่งที่ทำให้ยุโรปน่าจะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยลงมา
นางวิริยา ลาภพรหมรัตน ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เกียรตินาคิน กล่าวว่า ดัชนีปรับลงแรงจากความกังวลต่อผลประกอบการสถาบันการเงินของสหรัฐฯที่จะประกาศออกมาในคืนนี้(15 ม.ค.) คือ ซิตี้กรุ๊ป ซึ่งคาดว่าจะได้รับผลกระทบจากปัญหาซับไพร์มจนอาจต้องปรับลดมูลค่าในบัญชีและปลดพนักงาน รวมกับแรงขายของนักลงทุนต่างชาติที่มีออกมาอย่างต่อเนื่อง
สำหรับทิศทางตลาดหุ้นไทยในวันนี้คาดว่าจะเคลื่อนไหวตามตลาดหุ้นต่างประเทศ เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังต้องรอความชัดเจนในวันที่ 18 ม.ค.ที่ศาลฎีกาจะตัดสินคดีฟ้องพรรคพลังประชาชนเป็นนอมินีพรรคไทยรักไทย ให้กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีที่ 770-790 จุด โดยต้องดูว่าตลาดหุ้นดาวโจนส์ปรับตัวอย่างไรด้วย
MFCห่วงธุรกิจการเงิน
นายพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ฝ่ายวิจัยของบลจ.เอ็มเอฟซี ประเมินว่าเศรษฐกิจปีนี้จะขยายตัวได้ประมาณ 4.8-5% และอัตราเงินเฟ้อที่ 3% ขณะที่การลงทุนในตลาดหุ้นไทยมองว่าดัชนีสิ้นปีนี้ น่าจะอยู่ที่ระดับ 945-975 จุด
ทั้งนี้ โดยภาพรวมมองว่าเป็นปีที่อุตสาหกรรมการเงินและการลงทุนต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะมีปัจจัยหลายอย่างจากภายนอกเข้ามากระทบ ทั้งปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) ราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นไปอยู่ในระดับสูง รวมถึงปัจจัยการเมืองในประเทศเองที่ยังไม่มีความชัดเจน ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องต่อระบบเศรษฐกิจในไตรมาส 1/51 - 2/51
สำหรับการลงทุนในกองทุนรวม นักลงทุนต้องระมัดระวัง โดยเฉพาะการลงทุนในต่างประเทศ ที่จะต้องพิจารณาให้ดีว่าอะไรจะให้ประโยชน์มากที่สุด เพราะนักลงทุนรวมถึงโบรกเกอร์หลายแห่งคาดหวังเรื่องเศรษฐกิจโลกถดถอยพอสมควร โดยที่ผ่านมาจะเห็นว่านักลงทุนส่วนใหญ่หันมาลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นๆ ที่กำหนดอายุการลงทุนที่ชัดเจนมาก ถึงแม้จะเป็นการลงทุนที่ให้ดอกเบี้ยค่อนข้างต่ำ แต่ก็ความเสี่ยงต่ำและไม่ต้องเสียภาษีด้วย
คาดดัชนีสิ้นปีปิด950จุด
นายชูเกียรติ ธิติหิรัญเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด กล่าวว่า คาดว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2551 จะใกล้เคียงกับปีที่แล้วอยู่ที่ประมาณ 4.5-5% โดยได้รับปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในการลงทุนและการบริโภคภาคเอกชน รวมถึงการใช้จ่ายและลงทุนจากภาครัฐที่สูงขึ้น รวมถึงโครงการขนาดใหญ่
ในส่วนปัจจัยลบที่ยังคงกดดันภาวะเศรษฐกิจในประเทศอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ ราคาน้ำมันทรงตัวในระดับที่สูง และแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงจากปัญหาเรื่อง ซับไพรม์ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มประกาศตัวเลขประมาณปลายเดือนมกราคม นอกจากนี้บริษัทยังต้องรอความชัดเจนของสถานการณ์การเมืองหลังจากการเลือกตั้งและโฉมหน้าของรัฐบาลใหม่หลังเดือนมกราคมนี้
สำหรับตลาดหุ้นไทยซึ่งมี P/E ที่ 11 เท่า ยังมองว่าถูกกว่าตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเดียวกันที่มี P/E ที่ 15 เท่า ทำให้ตลาดหุ้นไทยยังเป็นที่น่าสนใจ และการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอยู่ที่ประมาณ 15-20% นอกจากนี้ ยังคาดว่ายังคงมีเงินไหลเข้าตลาดทุนในภูมิภาคเอเชีย เนื่องจากมีการอัตราเติบโตสูงกว่าภูมิภาคอื่น
อย่างไรก็ตามดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปี 2551 คาดว่ามีความผันผวนสูง โดยจะอยู่ในกรอบประมาณ 950 บวกลบ 20 จุด โดยหุ้นที่น่าสนใจลงทุนอยู่ในกลุ่มพลังงาน กลุ่มธนาคาร กลุ่มพาณิชย์ กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม และกลุ่มขนส่ง
ตลท.ยันไม่เพิ่มวงเงิน
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า จากที่สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ได้เสนอมายังตลท.ในการเพิ่มวงเงินค้ำประกันการซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มจาก 10% เป็น 15% นั้น ตลท.จะต้องมีการพิจารณาคงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบอีกครั้ง ซึ่งอาจจะมีการสำรวจความคิดเห็นกับกลุ่มสมาชิกก่อยเสนอที่ประชุมคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ รวมถึงการพิจารณาถึงความเหมาะสม ประกอบกับภาวะการซื้อขายและช่วงเวลา
ทั้งนี้จากที่ภาวะตลาดไม่ได้มีความร้อนแรงหากมีการใช้มาตรการดังกล่าวอาจไม่ได้ผลอะไรและไม่สมควรที่จะออกมาตรการใดๆในช่วงที่ภาวะตลาดไม่ดี โดยปัจจัยที่ทำให้ตลาดหุ้นมีการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง มีหลายปัจจัยทั้งคดีของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT กรณีการคิดค่าเช่าท่อก๊าซ ปัญหาการเมืองภายในประเทศ รวมถึงเศรษฐกิจจากสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะปัญหาจากซับไพรม์
อย่างไรก็ดี ขณะนี้ความคืบหน้าเกี่ยวกับการสร้างดัชนี FSTE SET INDEX เพื่อเพิ่มทางการเลือกในการลงทุนคาดว่าน่าจะดำเนินการได้ในช่วงไตรมาส 1-2 ตามกำหนดเดิม โดยจะเป็นดัชนีอ้างอิง ถือเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เพิ่มความหลากหลายและทางเลือกให้กับนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
|
|
 |
|
|