Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน16 มกราคม 2551
มรสุมหุ้นไทยดิ่งไร้แนวรับ"ซิตี้กรุ๊ป"ขาดทุนอ่วม-ลุ้นผลยุบ"พปช."             
 


   
search resources

Stock Exchange




ดัชนีตลาดหุ้นไทยหลุดแนวต้านสำคัญ 780 จุดนักลงทุนแห่ทิ้งรอผลตัดสินคดียุบพรรคนอมินี"แม้ว" 18 ม.ค.นี้ขณะคาด "ซิตี้กรุ๊ป" กระอักพิษซับไพรม์ส่อต้องปลดพนักงานเพิ่ม โบรกฯคาดหุ้นครึ่งปีแรกสุดผันผวน แนะทยอยเก็บหุ้นกลุ่ม SET 50 ราคาถูก ปันผลสูง ระบุส่วนต่างกำไรสูงถึง 27% ด้าน"พิชิต" คาดจีดีพีไทยโต 5% เหตุรัฐบาล-เอกชนจ่อลงทุนเพิ่ม ชี้ยังต้องจับตาพิษซับไพรม์ ราคาน้ำมัน คาดดัชนีสิ้นปีอยู่ที่ 945-975 จุด "ภัทรียา" ยันยังไม่เพิ่มวงเงินค้ำประกันซื้อหุ้นจาก 10% เป็น 15% ห่วงกระทบการลงทุน

ภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์วานนี้ (15 ม.ค.) เปิดตลาดในช่วงเช้าดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นก่อนจะเจอแรงขายออกมาอย่างหนักในหุ้นขนาดใหญ่จนส่งผลทำให้ดัชนีปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงจากความเสี่ยงเกี่ยวกับคดีตัดสินยุบพรรคพลังประชาชน จนทำให้ดัชนีปรับตัวลดลงมาปิดที่ 779.79 จุด ลดลง 11.36 จุด หรือ 1.44% โดยจุดสูงสุดของวันอยู่ที่ 798.54 จุด และจุดต่ำสุดอยู่ที่ 776.99 จุด มูลค่าการซื้อขาย 13,959.25 ล้านบาท

นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,410.42 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 889.73 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 1,520.69 ล้านบาท

นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ กรรมการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวถึงทิศทางตลาดทุนไทยหลังเลือกตั้ง ว่า ทิศทางตลาดทุนไทยหลังการเลือกตั้งจะคงมีความผันผวนในระดับที่สูงต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงครึ่งปีแรก ประเด็นสำคัญยังอยู่ที่ความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ และ ความเสี่ยงที่เศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกาจะเข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างรวดเร็ว

ทั้งนี้ แม้ว่าทั้งสองประเด็นจะเริ่มคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง และเชื่อมั่นว่าในครึ่งปีหลังจะเริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้น และรวมทั้งปี 2551 การลงทุนในปีนี้ยังน่าสนใจอยู่ โดยแนะนำว่า การลงทุนในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้า หลังจากที่ตลาดฯ ปรับตัวรับความเสี่ยงจากทั้งการเมืองและความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจในตลาดโลกแล้ว ถือเป็นจังหวะที่ดีมากสำหรับการเริ่มต้นลงทุน ขณะนี้ตลาดหุ้นไทยอยู่ในเกณฑ์ที่มีราคาถูกมากเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นประเทศเพื่อนบ้าน โดยปัจจุบันตลาดหุ้นไทยซื้อขายกันอยู่ที่ P/E ต่ำกว่า 11 เท่า ของกำไรสุทธิในปี 2551 เทียบกับตลาดหุ้นของประเทศเพื่อนบ้านซื้อขาย P/E ที่ 16-17 เท่าขึ้นไป

นอกจากนี้ คาดการณ์ว่า ตลาดหุ้นไทยยังคงมีความน่าสนใจโดยจากการนำเอาราคาเป้าหมายพื้นฐานจากหุ้น 50 ตัวใน SET 50 Index มาคำนวณหาดัชนีตลาดหุ้นไทยปลายปี 2551 จะอยู่ที่ระดับ 987 จุด นั่นหมายความว่ามี potential upside gain อยู่ที่ประมาณ 24% ขณะเดียวกันยังมีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากเงินปันผลในหุ้นที่จะขึ้นเครื่องหมาย XD ในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้าอีกประมาณ 3.6% ซึ่งรวมแล้วมีโอกาสกำไรประมาณ 27.6% ณ ดัชนีระดับปัจจุบัน

“น่าสนใจมากถ้าเข้าไปดูรายหุ้นพบว่ามีอยู่ 9 หุ้น ที่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลอย่างเดียวเกิน 6% แล้ว ฉะนั้นถ้าดัชนีหลุด 800 จุดลงไปราคาหุ้นที่ถูกลงจะทำให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงขึ้นอีก”นายพิชัยกล่าว

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของยุโรปและสหรัฐฯ กำลังเริ่มต้นเข้าสู่ในช่วงขาลง ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกของตลาดทุนทั่วโลก ดูได้จากการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ด้านการเงินระดับโลกที่ประเมินว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะลดอัตราดอกเบี้ยลงไปอีกและคงจะไม่หยุดอยู่ที่ 3% โดย โกลด์แมนแซคคาดการณ์ว่า เฟดจะลดดอกเบี้ยลงไปอีกจนถึงระดับ 2.5% ในปลายปีนี้ และเป็นสิ่งที่ทำให้ยุโรปน่าจะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยลงมา

นางวิริยา ลาภพรหมรัตน ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เกียรตินาคิน กล่าวว่า ดัชนีปรับลงแรงจากความกังวลต่อผลประกอบการสถาบันการเงินของสหรัฐฯที่จะประกาศออกมาในคืนนี้(15 ม.ค.) คือ ซิตี้กรุ๊ป ซึ่งคาดว่าจะได้รับผลกระทบจากปัญหาซับไพร์มจนอาจต้องปรับลดมูลค่าในบัญชีและปลดพนักงาน รวมกับแรงขายของนักลงทุนต่างชาติที่มีออกมาอย่างต่อเนื่อง

สำหรับทิศทางตลาดหุ้นไทยในวันนี้คาดว่าจะเคลื่อนไหวตามตลาดหุ้นต่างประเทศ เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังต้องรอความชัดเจนในวันที่ 18 ม.ค.ที่ศาลฎีกาจะตัดสินคดีฟ้องพรรคพลังประชาชนเป็นนอมินีพรรคไทยรักไทย ให้กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีที่ 770-790 จุด โดยต้องดูว่าตลาดหุ้นดาวโจนส์ปรับตัวอย่างไรด้วย

MFCห่วงธุรกิจการเงิน

นายพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ฝ่ายวิจัยของบลจ.เอ็มเอฟซี ประเมินว่าเศรษฐกิจปีนี้จะขยายตัวได้ประมาณ 4.8-5% และอัตราเงินเฟ้อที่ 3% ขณะที่การลงทุนในตลาดหุ้นไทยมองว่าดัชนีสิ้นปีนี้ น่าจะอยู่ที่ระดับ 945-975 จุด

ทั้งนี้ โดยภาพรวมมองว่าเป็นปีที่อุตสาหกรรมการเงินและการลงทุนต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะมีปัจจัยหลายอย่างจากภายนอกเข้ามากระทบ ทั้งปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) ราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นไปอยู่ในระดับสูง รวมถึงปัจจัยการเมืองในประเทศเองที่ยังไม่มีความชัดเจน ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องต่อระบบเศรษฐกิจในไตรมาส 1/51 - 2/51

สำหรับการลงทุนในกองทุนรวม นักลงทุนต้องระมัดระวัง โดยเฉพาะการลงทุนในต่างประเทศ ที่จะต้องพิจารณาให้ดีว่าอะไรจะให้ประโยชน์มากที่สุด เพราะนักลงทุนรวมถึงโบรกเกอร์หลายแห่งคาดหวังเรื่องเศรษฐกิจโลกถดถอยพอสมควร โดยที่ผ่านมาจะเห็นว่านักลงทุนส่วนใหญ่หันมาลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นๆ ที่กำหนดอายุการลงทุนที่ชัดเจนมาก ถึงแม้จะเป็นการลงทุนที่ให้ดอกเบี้ยค่อนข้างต่ำ แต่ก็ความเสี่ยงต่ำและไม่ต้องเสียภาษีด้วย

คาดดัชนีสิ้นปีปิด950จุด

นายชูเกียรติ ธิติหิรัญเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด กล่าวว่า คาดว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2551 จะใกล้เคียงกับปีที่แล้วอยู่ที่ประมาณ 4.5-5% โดยได้รับปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในการลงทุนและการบริโภคภาคเอกชน รวมถึงการใช้จ่ายและลงทุนจากภาครัฐที่สูงขึ้น รวมถึงโครงการขนาดใหญ่

ในส่วนปัจจัยลบที่ยังคงกดดันภาวะเศรษฐกิจในประเทศอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ ราคาน้ำมันทรงตัวในระดับที่สูง และแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงจากปัญหาเรื่อง ซับไพรม์ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มประกาศตัวเลขประมาณปลายเดือนมกราคม นอกจากนี้บริษัทยังต้องรอความชัดเจนของสถานการณ์การเมืองหลังจากการเลือกตั้งและโฉมหน้าของรัฐบาลใหม่หลังเดือนมกราคมนี้

สำหรับตลาดหุ้นไทยซึ่งมี P/E ที่ 11 เท่า ยังมองว่าถูกกว่าตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเดียวกันที่มี P/E ที่ 15 เท่า ทำให้ตลาดหุ้นไทยยังเป็นที่น่าสนใจ และการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอยู่ที่ประมาณ 15-20% นอกจากนี้ ยังคาดว่ายังคงมีเงินไหลเข้าตลาดทุนในภูมิภาคเอเชีย เนื่องจากมีการอัตราเติบโตสูงกว่าภูมิภาคอื่น

อย่างไรก็ตามดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปี 2551 คาดว่ามีความผันผวนสูง โดยจะอยู่ในกรอบประมาณ 950 บวกลบ 20 จุด โดยหุ้นที่น่าสนใจลงทุนอยู่ในกลุ่มพลังงาน กลุ่มธนาคาร กลุ่มพาณิชย์ กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม และกลุ่มขนส่ง

ตลท.ยันไม่เพิ่มวงเงิน

นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า จากที่สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ได้เสนอมายังตลท.ในการเพิ่มวงเงินค้ำประกันการซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มจาก 10% เป็น 15% นั้น ตลท.จะต้องมีการพิจารณาคงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบอีกครั้ง ซึ่งอาจจะมีการสำรวจความคิดเห็นกับกลุ่มสมาชิกก่อยเสนอที่ประชุมคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ รวมถึงการพิจารณาถึงความเหมาะสม ประกอบกับภาวะการซื้อขายและช่วงเวลา

ทั้งนี้จากที่ภาวะตลาดไม่ได้มีความร้อนแรงหากมีการใช้มาตรการดังกล่าวอาจไม่ได้ผลอะไรและไม่สมควรที่จะออกมาตรการใดๆในช่วงที่ภาวะตลาดไม่ดี โดยปัจจัยที่ทำให้ตลาดหุ้นมีการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง มีหลายปัจจัยทั้งคดีของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT กรณีการคิดค่าเช่าท่อก๊าซ ปัญหาการเมืองภายในประเทศ รวมถึงเศรษฐกิจจากสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะปัญหาจากซับไพรม์

อย่างไรก็ดี ขณะนี้ความคืบหน้าเกี่ยวกับการสร้างดัชนี FSTE SET INDEX เพื่อเพิ่มทางการเลือกในการลงทุนคาดว่าน่าจะดำเนินการได้ในช่วงไตรมาส 1-2 ตามกำหนดเดิม โดยจะเป็นดัชนีอ้างอิง ถือเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เพิ่มความหลากหลายและทางเลือกให้กับนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us