กองทุนลงทุนต่างประเทศผลตอบ แทนโดดเด่น บลจ.เอเจเอฟ ได้อานิสงส์เงินยูโรแข็งค่า
ส่งมูลค่าสินทรัพย์สุทธิเพิ่มเป็น 11.28 บาท ขณะที่ผลตอบ แทนย้อนหลัง 1 ปีสูงสุด
12.14% เทียบผลตอบแทนตลาด แค่ 1.26% วางแผนจัดสัมมนาเจาะฐานนักลงทุนปลายเดือน มิ.ย.
ด้านวรรณเล็งขยายเม็ดเงินผ่านตัวแทน ขาย ขณะที่สินทรัพย์สิ้นเดือน เม.ย. 2,224
ล้าน เพิ่มขึ้น 1.54%
นายเรืองวิทย์ นันทาภิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนอยุธยา
เจเอฟ จำกัด (AJF)เปิดเผยว่า การบริหาร กองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศ (FIF)สิ่งสำคัญคือการบริหารผลตอบแทนให้ออกมาดีที่สุด
ซึ่งตอน นี้กองทุน FIF ของบริษัทได้รับผลพวงจากเงินสกุลยูโรที่แข็งค่าขึ้นมา เมื่อเทียบกับค่าเงินบาท
จึงทำให้อัตราผลตอบแทนปรับสูงขึ้นมา โดยมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ(NAV)อยู่ที่ 11.2865
บาท ซึ่งน่าจะสูงที่สุดใน จำนวน FIF ทั้ง 5 กองทุน แม้ขนาด ของกองทุนยังไม่ขยายตัวมากนัก
ในขณะนี้ไม่มีปัญหาเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากธนาคาร แห่งประเทศไทย(ธปท.)
อนุญาตให้ มีการทำการป้องกันความเสี่ยงได้ นอกจากนั้น การที่ ธปท. เปลี่ยนข้อ กำหนดให้ยืดเวลาในการแลกเปลี่ยนค่าเงินได้ภายใน
1 เดือน จากเดิมที่ต้องแปลงค่าเงินภายใน 1 สัปดาห์ ก็ส่งผลให้มีความยืดหยุ่นในการลงทุนมากขึ้น
เพราะการขอยืดเวลาไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อเก็งกำไรอัตราแลกเปลี่ยน
รายย่อยลงทุนกว่า 60%
ดังนั้นประมาณปลายเดือนมิถุนายน บริษัทจะจัดสัมมนากลุ่ม นักลงทุนที่สนใจการลงทุนในต่างประเทศ
ในงานตลาดหลักทรัพย์สัญจรที่จัดขึ้นที่ จ.ชลบุรี หลังจาก มีการประชาสัมพันธ์ไปบ้างแล้วในงานมันนี่
เอ็กซ์โป อย่างไรก็ดี ต้องยอมรับว่าการลงทุนใน กองทุนดังกล่าวไม่ใช่นักลงทุนทุกคนจะสนใจ
แต่กองทุน FIF ของบริษัทนั้นเป็นที่สนใจของนักลงทุน เพราะลูกค้าของกองทุนเป็นนักลงทุน
รายย่อยประมาณ 60% ที่เหลือเป็นนักลงทุนสถาบัน 40%
นายเรืองวิทย์ กล่าวถึงสาเหตุที่นักลงทุนรายย่อยสนใจลงทุนในกองทุนของบริษัทว่า
เป็น ผลจากกองทุนอื่นของบริษัทด้วย เพราะถ้าสินค้า ที่เคยออกมาไม่ดีนักลงทุนไม่เชื่อมั่น
เมื่อมีการเสนอขายกองทุนใหม่ก็จะขายได้ยาก แต่ที่ผ่านมาสินค้าที่ออกมาเสนอขายก็ให้ผลตอบแทนในระดับที่ลูกค้าพอใจ
นอกจากนั้น การลงทุนในต่างประเทศเป็น อีกทางเลือกหนึ่งของการลงทุนที่กระจายความเสี่ยง
ซึ่งที่ผ่านมาก็พยายามอธิบายให้ลูกค้าฟังว่าการลงทุนที่กระจุกตัวอยู่ในประเทศไทยเพียงอย่างเดียวก็มีความเสี่ยง
กองทุน FIF จะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการลงทุน
AJF ย้อนหลัง1ปีผลตอบแทน 12%
จากการรวบรวมข้อมูลผลตอบแทน จากสมาคมบริษัทหลักทรัพย์จัดการลงทุน ปรากฏว่า ผลตอบแทนย้อนหลังปีของ
บลจ.เอเจเอฟ อยู่ในระดับสูงสุดที่ 12.14% ย้อนหลัง 13 สัปดาห์อยู่ที่ 4.15% ย้อนหลัง
1 เดือนอยู่ที่ 3.84%
บลจ.ไอเอ็นจี ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีที่ 11.43% ย้อนหลัง 13 สัปดาห์ที่ 3.86%
ย้อนหลัง 1 เดือนอยู่ที่ 2.02% บลจ.วรรณ ผลตอบ แทนย้อนหลัง 1 ปี -2.61% ย้อนหลัง
13 สัปดาห์ที่ 5.75% ย้อนหลัง 1 เดือนที่ 4.43% ส่วนบลจ. กสิกรไทย และบลจ.เอ็มเอฟซี
ตั้งกองทุนยังไม่ครบ 1 ปี จึงมีเพียงผลตอบแทนย้อนหลัง 13 สัปดาห์ และ 1 เดือน โดย
บลจ.กสิกรไทย ผลตอบแทนย้อนหลัง 13 สัปดาห์อยู่ที่ 7.62% ย้อน หลัง 1 เดือนอยู่ที่
3.58% บลจ.เอ็มเอฟซี ย้อนหลัง 13 สัปดาห์อยู่ที่ 8.61% ย้อนหลัง 1 เดือนอยู่ที่
7.20%
ขณะที่ผลตอบของตลาดหลักทรัพย์ย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 1.26% ย้อนหลัง 13 สัปดาห์อยู่ที่
3.88% ย้อนหลัง 1 เดือนอยู่ที่ -0.39%
ด้านนางวิวรรณ ธาราหิรัญโชติ กรรมการ ผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน
วรรณ เปิดเผยว่า ปัจจุบันมูลค่าสินทรัพย์สุทธิกองทุน FIF ของบริษัทอยู่ที่ 9.80
บาท ปีนี้ตั้งเป้าว่าจะขยายเม็ดเงินของกองทุนให้มากขึ้น โดยผ่านช่อง ทางจัดจำหน่ายที่มีอยู่
6-7 แห่ง ซึ่งปัจจุบันมีการ เปิดให้ซื้อได้ทุกวันศุกร์
ING สินทรัพย์ขยายตัวสูงสุด
ขณะที่ข้อมูลจากสมาคมบริษัทหลักทรัพย์จัดการลงทุนรายงาน NAV ของกองทุน FIF ณ
สิ้นเดือนเมษายน 2546 ทั้งสิ้น 2,224.46 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปีที่มี NAV ที่
2,190.80 ล้านบาท คิดเป็น 1.54% โดยบลจ.ไอเอ็นจี มีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิเพิ่มขึ้นมากที่สุด
6.9% NAV อยู่ที่ 462.10 ล้านบาท จากสิ้นปีที่ 431.97 ล้านบาท
บลจ.เอเจเอฟ NAV ที่ 485.87 ล้านบาท จากสิ้นปีที่ 472.79 ล้านบาท เพิ่มขึ้นคิดเป็น
2.76% บลจ.กสิกรไทย NAV ที่ 602.131 ล้านบาท จากสิ้นปีที่ 595.37 ล้านบาท เพิ่มขึ้นคิดเป็น
1.13% บลจ.วรรณ NAV ที่ 184.78 ล้านบาท จากสิ้นปีที่ 185.40 ล้านบาท ลดลงคิดเป็น
0.33% บลจ.เอ็มเอฟซี NAV ที่ 489.57 ล้านบาท จากสิ้นปีที่ 505.26 ล้านบาท ลดลงคิดเป็น
3.10%