|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
น้ำมันขึ้นราคา กระทบต้นทุนวัสดุก่อสร้าง ผู้ผลิตปูนซีเมนต์รับต้นทุนไม่ไหว ปรับกลยุทธ์ดึงส่วนลดลูกค้าคืน4% หวังลดภาระต้นทุนใหม่ ด้าน “สหสุธา” ยันไม่ขึ้นค่าก่อสร้าง พร้อมส่งแคมเปญฉลองครบรอบ19 ก้าวเข้าสู่ปีที่ 20 มอบส่วนลด10% สำหรับลูกค้า20รายแรก เผยแผนปี51เปิด3สาขาใหม่ขยายช่องทางตลาด ชิมลางสาขาแรกย่านฝั่งธนฯ เชื่อดีมานด์เพียบ เชื่อดันยอดขายพุ่ง120 ล้านบาท
การปรับขึ้นราคาน้ำมันอย่างต่อเนื่องในช่วง2 ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ส่งผลให้ต้นทุนธุรกิจก่อสร้าง และผู้ประกอบการวัสดุก่อสร้างปรับตัวขึ้นมาโดยตลอด ในขณะที่ภาคการก่อสร้างของรัฐบาลและภาคเอกชน มีการชะลอตัวมานานกว่า2ปี ทำให้ในช่วงที่ผ่านมาผู้ประกอบการวัสดุก่อสร้างมีการตรึงราคาวัสดุก่อสร้างไว้ในระดับเดิมโดยยอมลดกำไรและรับต้นทุนบางส่วนไว้เอง เพื่อรักษาศักยภาพในการแข่งขันไว้ เนื่องจากความต้องการ(ดีมานด์)ในตลาดชะลอตัวตามการก่อสร้างของภาครัฐฯ
การชะลอตัวของการตัดสินใจซื้อและก่อสร้างที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคในตลาด ทำให้ดีมานด์หดตัวลง ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องตรึงราคาขายวัสดุก่อสร้าง เนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรงในตลาด ล่าสุดหลังจากที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกมีการปรับตัวขึ้นอยู่เหนือระดับ100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ผู้ประกอบการวัสดุก่อสร้างต้องขยับราคาในทุกรายการเพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนใหม่ที่เพิ่มขึ้น
ขณะที่วัตถุดิบประเภทปูนซิเมนต์และคอนกรีตผสมเสร็จ ซึ่งเป็นวัสดุหลักในการก่อสร้าง ไม่สามารถปรับราคาขายขึ้นได้ เนื่องจากเป็นสินค้าควบคุมของกระทรวงพาณิชย์
นายวิบูล จันทรดิลกรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สหสุธา จำกัด ผู้ประกอบการรับสร้างบ้าน เปิดเผยว่า ในปีนี้ บริษัทยังไม่มีแผนในการปรับขึ้นราคาค่าก่อสร้างบ้าน แม้ว่าราคาวัสดุก่อสร้างทุกรายการจะมีการปรับขึ้นราคาไปแล้วในช่วง2 เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากบริษัทมีระบบการบริหารต้นทุนได้ดี ทำให้ยังมีกำไรจากผลประกอบการที่ดีอยู่ และสามารถแข่งขันกับผู้ประกอบการรายอื่นๆในตลาดได้
โดยในส่วนของการบริการต้นทุนราคาวัสดุก่อสร้างนั้น บริษัทจะใช้ระบบการซื้อเงินสดแทนการใช้เครดิตในการสั่งซื้อวัสดุก่อสร้าง ทำให้ได้รับส่วนลดจากการซื้อวัสดุก่อสร้าง
" ในส่วนของสินค้าหลักๆ อย่างเช่น ปูนซิเมนต์ และคอนกรีผสมเสร็จนั้น แม้ว่าจะใช้เงินสดในการซื้อ แต่ผู้ประกอบการก็จะไม่มีการให้ส่วนลด เนื่องจาก เป็นสินค้าควบคุมที่ยังไม่มีการปรับราคาขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการปูซิเมนต์ต้องลดภาระต้นทุนที่แบกรับไว้ โดยการดึงคืนส่วนลดจากลูกค้าถึง4% แต่ขณะนี้ ต้นทุนการผลิตปรับขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการปูซีเมนต์และคอนกรีตผสมเสร็จ ดึงส่วนลดดังกล่าวคืนทั้งหมด ส่งผลให้ขณะนี้ผู้ประกอบการธุรกิจก่อสร้าง ธุรกิจบ้านจัดสรร และรับสร้างบ้าน ต้องซื้อในราคาเต็ม ทำให้บริษัทสหสุธาฯต้องคุมต้นทุนการก่อสร้างอย่างละเอียด โดยเฉพาะในเรื่องของความเสียหายในพื้นที่งานก่อสร้าง โดยหันมารักษาแรงงานฝีมือที่มีประสบ การณ์ไว้ให้มากที่สุด "นายวิบูลกล่าว
สำหรับแผนงานของบริษัทฯในปีนี้จะเน้นขยายสาขาใหม่ เพื่อเพิ่มช่องทางการตลาดให้กว้างขึ้น โดยบริษัทมีแผนจะเปิดสาขาใน3 ทำเล ได้แก่ ถนนกาญจนาภิเษก , พระราม 2 และรามอินทรา โดยสาขาแรกจะเปิดในย่านฝั่งธนฯ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีดีมานด์ที่สูง มีที่ดินเปล่าและบ้านเก่าจำนวนมาก ดังนั้น ตลาดโซนนี้จึงมีศักยภาพในการสร้างบ้านเองสูง โดยคาดว่าช่วงไตรมาส1จะสามารถเปิดสาขาแรกได้
นอกจากนี้ บริษัทฯมีแผนออกแบบบ้านใหม่สไตล์บ้านบาหลีเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการในตลาดที่จับตลาดบ้านสไตล์ดังกล่าว มีการเลิกกิจการไป ทำให้เปิดช่องว่างในตลาดใหม่ ขณะที่ บริษัทยังคงเน้นจับลูกค้าในตลาดรับสร้างบ้านระดับราคา 3.5 ล้านบาทขึ้นไป เนื่องจากลูกค้ากลุ่มนี้ยังมีอัตราการขยายตัวที่ดี
ส่วนกลยุทธ์ด้านการตลาดในช่วงต้นปี บริษัทจะออกแคมเปญพิเศษเพื่อเป็นการฉลองครบรอบ19ปีและเข้าสู่ปีที่ 20 โดยมมอบส่วนลด10%จากราคาค่าก่อสร้างบ้านราคาเดิมให้แก่ลูกค้า 20 หลังแรก โดยในปีนี้ ทางบริษัทฯตั้งเป้ายอดขายรวม 30หลัง คิดเป็นมูลค่า 100-120 ล้านบาท
สำหรับแนวโน้มตลาดรับสร้างบ้านในปี 2551 คาดว่ามีอัตราการเติบโตอยู่ที่ประมาณ 5% จากปีที่ผ่านมา โดยปีนี้ ภาพรวมทั้งตลาดจะมียอดขายประมาณ 8,000-8,500 ล้านบาท เทียบกับปีที่ผ่านมา ตลาดรวมมียอดขายประมาณ 7,800-8,000 ล้านบาท โดยปัจจัยสำคัญในการเติบโตของตลาดธุรกิจรับสร้างบ้านคือ เรื่องความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจและการเมือง ที่เริ่มมีความชัดเจนจากการเลือกตั้งในครั้งที่ผ่านมา
|
|
|
|
|