ไทย ยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ (TUF) บริษัทจำหน่าย ปลาทูน่าสุกแช่แข็ง และกุ้งแช่แข็ง
รายใหญ่ คุยปีนี้จะฟันกำไรสูงสุดในรอบ 10 ปี เนื่องจากปัจจุบัน ความต้องการซื้อปลาทูน่าเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาส
1 และผลประกอบการงวดครึ่งปีแรก คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันปีก่อนมากกว่า 50%
ขณะที่หวัดมรณะส้มหล่น ผู้ผลิตทูน่าย้ายฐานผลิตจากจีนมาไทย ยอมรับบาทแข็งกระทบยอดขายบริษัท
นายธีรพงษ์ จันทร์ศิริ กรรมการผู้จัดการ บมจ. ไทย ยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์
คาดว่ากำไรบริษัทปีนี้ จะเพิ่มขึ้นมากกว่า 30% จากปีที่แล้ว ซึ่งช่วงไตรมาสแรก
บริษัทกำไรเพิ่มขึ้นมากกว่า 100% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน จึงต้องปรับประมาณการผลประกอบการเพิ่มขึ้น
จากเดิมที่คาดกำไรปีนี้จะเพิ่ม 20%
สาเหตุที่คาดกำไรเพิ่มขึ้น เพราะความต้องการสินค้าบริษัทเพิ่มขึ้นทุกผลิตภัณฑ์
และราคาปลาทูน่า แม้จะผันผวนในตลาดโลก แต่คาดว่าครึ่งแรกปีนี้ น่าจะอยู่ที่ 700
ดอลลาร์สหรัฐต่อตันโดยเฉลี่ย เฉลี่ยทั้งปีนี้ คาด จะอยู่ที่ 650 ดอลลาร์ต่อตัน
ราคาปลาทูน่าผันผวน ตั้งแต่ไตรมาสแรก ราคา 480 ดอลลาร์ต่อตัน แต่ พ.ค.เพิ่มขึ้นอยู่ที่
550 ดอลลาร์
บาทแข็งกระทบบริษัท
เขายอมรับว่า ผลกระทบเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นต่อบริษัท มีบ้าง แต่ไม่รุนแรง เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นทุก
1 บาทต่อดอลลาร์ จะกระทบยอดขายบริษัทประมาณ 2-3% แต่มั่นใจว่า ระดับปัจจุบันที่ค่าเงินบาทประมาณไม่เกิน
42 บาทต่อดอลลาร์ บริษัทสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ แต่หากแข็งค่าขึ้นมากกว่าค่าดังกล่าว
และระยะยาวนานกว่าปัจจุบัน อาจมีผลกระทบมากกว่าที่คาด
ซาร์สส้มหล่นย้ายฐานผลิตมาไทย
"แม้ค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้น แต่ความสามารถในการแข่งขันของบริษัทไม่ลดลง โดยเฉพาะสินค้ากุ้งกุลาดำ
เพราะมีออร์เดอร์เข้ามาต่อเนื่อง ซึ่งในไตรมาสแรก สินค้าดังกล่าว มีอัตราเติบโตยอดขายสูงถึง
90% เทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน หลังจากที่มีผลกระทบโรค ซาร์ส ทำให้มีการย้ายฐานการผลิตจากจีนมาประเทศไทย
ดังนั้นทำให้ผมเชื่อว่า ดีมานจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องถึงไตรมาส 3-4 ของปีนี้"
เขากล่าว
อย่างไรก็ตาม การที่รัฐบาลไทยจะตั้งตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่จะเริ่มเปิดซื้อขาย
ต.ค. นี้ นายธีรพงษ์ 1 ใน 3 โบรกเกอร์ตลาดฯ นี้ ถือว่าเป็นผลดีกับบริษัท เพราะจะทำให้ผู้ผลิตรู้ราคาจำหน่ายล่วงหน้า
สามารถกำหนดต้นทุน กำหนดราคาได้ รวมทั้งสามารถวางแผนล่วงหน้าอย่างน้อย 6 เดือนจากปัจจุบัน
กำหนดได้แค่ 2 เดือน
ตามที่ได้มีข่าวลือตามห้องค้าหลักทรัพย์โบรกเกอร์วันที่ 12 พ.ค. เกี่ยวกับลูกค้าญี่ปุ่นยกเลิกคำสั่งซื้อสินค้ากุ้งจากบริษัท
เนื่องจากคุณภาพสินค้าไม่ดี บริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ ชี้แจงว่า ไม่
เป็นจริงเนื่องจากบริษัทมั่นใจอย่างยิ่งในการจัดหาสินค้าและบริการคุณภาพให้ลูกค้าทั่วโลก
โดยเฉพาะลูกค้าญี่ปุ่น ซึ่งต้องการสินค้าคุณภาพดีเลิศ เห็นได้ว่า ช่วงต้นปีนี้
บริษัทมีผลประกอบการดีมาก ทั้งจากผลิตภัณฑ์กุ้งและทูน่า ตาม ที่แจ้งในการรายงานผลประกอบการไตรมาส
1/2546 ยอดขายกุ้งและทูน่าเติบโตจากปีก่อนถึง 84% และ 13% ตามลำดับ
ทำให้มีรายได้จากการขายรวมสูงถึง 223 ล้านดอลลาร์ เติบโตขึ้นถึง 15% จาก 193
ล้านดอลลาร์ไตรมาสเดียวกันปีก่อน โดยผลิตภัณฑ์กุ้ง เติบโตได้ทุกตลาดส่งออก รวมทั้งในอเมริกาและญี่ปุ่น
ซึ่ง อัตราเติบโตถึง 163% และ 24%
เมื่อเทียบไตรมาสเดียวกันปีก่อน ขณะเดียวกัน ผลิตภัณฑ์ทูน่าก็เติบโตอย่างมากในตลาดอเมริกาและญี่ปุ่นเป็น
51% และ 16% ตามลำดับเช่นกัน อีกทั้งปัจจุบัน บริษัทยังคงเห็นความต้องการสินค้ากุ้งและทูน่าจากลูกค้าต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ยังมีข่าวลือว่า สถาบันตรวจสอบคุณภาพสินค้าของซาอุดีอาระเบีย ปฏิเสธสินค้า
ทูน่าบรรจุกระป๋องจากบริษัท เนื่องจากตรวจพบว่า มีสารตกค้าง "คลอแรมเฟนิคอล"
บริษัทรับว่ามีสินค้า ทูน่าบรรจุกระป๋องถูกปฏิเสธจากรัฐบาลซาอุดีอาระเบีย จริง
เม.ย. และ พ.ค. รวม 2 เที่ยวเรือ
แต่บริษัทชี้แจงข้อเท็จจริงว่า เป็นที่ทราบกันดี อยู่ว่า วัตถุดิบปลาทูน่าจะถูกจับจากทะเลลึกและนำ
มาผ่านกระบวนการผลิตตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ดีในการผลิต (Good Manufacturing
Practice: GMP) รวมถึงผ่านการวิเคราะห์จุดอันตราย และจุดวิกฤติ ที่ต้องควบคุม (HACCP)
ไม่ควรจะมีสารตกค้างใดๆ เหมือนเช่นกรณีวัตถุดิบจากการเพาะเลี้ยง
อีกทั้งบริษัทใส่ใจวิธีการปฏิบัติ ตามที่สถาบันตรวจสอบคุณภาพของไทยกำหนด รวมถึงได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาล
ซึ่งพบว่า การตรวจสารคลอแรมเฟนิคอล ไม่ได้มีรายการอยู่ในการตรวจสอบของซาอุดีอาระเบีย
ดังนั้น รัฐบาลไทยกำลังประสานงานกับซาอุดีอาระเบีย เทียบความชัดเจนการตรวจสอบตาม
วิธีการและมาตรฐานที่กำหนด บริษัทจึงเห็นว่า กรณี ดังกล่าว จะไม่กระทบบริษัทมากนัก
เนื่องจากบริษัทสามารถส่งออกสินค้าดังกล่าวไปตลาดอื่นที่มีกฎระเบียบแตกต่างกันได้
ราคาหุ้น TUF วานนี้ปิดเพิ่ม 10 สตางค์ ที่ 21.70 บาท เพิ่มขึ้นเพียง 0.46% ด้วยมูลค่าซื้อขาย
ทั้งสิ้นเพียง 8.30 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหลัก ทรัพย์วานนี้ปิดเขยิบ 1.36 จุด
เพิ่มขึ้น 0.34% มูลค่า ซื้อขายถึง 11,583.57 ล้านบาท