|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
"ประสงค์ เอาฬาร" นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร ระบุปี2551 การเมือง-เศรษฐกิจ-น้ำมัน ปัจจัยหลักการเติบโตของตลาดอสังหาฯ ชี้ทิศทางนโยบายเศรษฐกิจ การลงทุนจากรัฐบาลใหม่ ฟื้นความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุนในประเทศ คาดหวังไตรมาส2 หลังจัดตั้งรัฐบาล เอกชนขยับลงทุนโครงการใหม่ ยันเมกะโปรเจกต์ตัวแปรสำคัญการฟื้นความเชื่อมั่นธุรกิจก่อสร้าง-มั่นใจจัดสรรปรับราคาบ้านเพิ่มเฉลี่ย5% รับต้นทุนน้ำมัน-วัสดุก่อสร้างขึ้นราคา จับตาแนวโน้มดอกเบี้ยปัจจัยหลักการตัดสินใจซื้อบ้านใหม่
นายประสงค์ เอาฬาร นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2551 ว่า ตัวเลขรวมการพัฒนาที่อยู่อาศัยในตลาดปี2548มีจำนวนทั้งสิ้น 72,000 หน่วย ปี 2549 มียอดการสร้างที่อยู่อาศัยรวม78,000 หน่วย ส่วนในปี2550ที่ผ่านมา คาดว่าตลาดที่อยู่อาศัยจะขยายตัวลดลงประมาณ 7-8% หรือมีจำนวนการพัฒนาที่อยู่อาศัยรวมทั้งในส่วนของบริษัทจัดสรรและบ้านสร้างเองประมาณ 73,000 หน่วย เนื่องจากได้รับปัจจัยลบทางด้านการเมือง และแนวโน้มเศรษฐกิจในประเทศขยายตัวลดลง โดยเฉพาะปัจจัยด้านการเมืองที่เป็นปัจจัยสำคัญ ที่มีผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ทำให้เกิดการชะลอการตัดสินใจซื้อและการพัฒนาโครงการใหม่ของผู้ประกอบการ
ในขณะที่ปี2551นี้คาดว่า ตลาดรวมจะมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 3-5% หรือมีจำนวนการพัฒนารวมอยู่ที่ 75,000 หน่วย เนื่องจากมีความชัดเจนด้านการเมืองเป็นตัวกระตุ้นความเชื่อมั่นและการตัดสินใจซื้อ ซึ่งจากการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือนธันวาคม 2550 พบว่า ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคมีการปรับตัวสูงขึ้นจากเดือนก่อนหน้า เนื่องจากผู้บริโภคส่วนใหญ่มีความคาดหวังทางด้านการเมือง ซึ่งมีความชัดเจนในเรื่องการเลือกตั้ง และการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งจะส่งผลต่อการลงทุนและการบริโภคในประเทศ
ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมา การขยายตัวของเศรษฐกิจของประเทศอยู่ในระดับ 4 - 4.5% สูงกว่าตัวเลขการประมาณการก่อนหน้า โดยได้รับผลบวกมาจากการส่งออก ในขณะที่ตัวแปรด้านการบริโภคในประเทศ และการลงทุนไม่การขยายตัวต่อเนื่องจากปี2549 ส่วนในปีนี้ ปัจจัยเรื่องราคาน้ำมัน และการปรับตัวของค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มการแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง ปัญหาสินเชื่อซับไพรม์ในสหรัฐฯ ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ประกาศปรับดอกเบี้ยลง จะยิ่งส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าอย่างต่อเนื่องในปีนี้
" การเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศ จะหวังจากการส่งออกเหมือนในปีที่ผ่านมาไม่ได้ ปีนี้รัฐบาลต้องการสร้างให้เศรษฐกิจของประเทศขยายตัวอยู่ที่ 4.5-5.5% ตามการประมาณการตัวเลขของสภาพัฒน์ จำเป็นที่รัฐบาลใหม่จะต้องกระตุ้นการบริโภคในประเทศ และภาคการลงทุนของภายในประเทศให้เกิดขึ้น "นายประสงค์กล่าว และย้ำว่า
ปัจจัยหลักของการขยายตัวของเศรษฐกิจในประเทศ คือ การสร้างความเชื่อมั่นของเพื่อกระตุ้นให้เกิดการบริโภคในภาคประชาชน และภาคเอกชนขยายการลงทุน ซึ่งต้องรอให้มีการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ และการกำหนดนโยบายด้านการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ และการพัฒนาระบบสาธารณูปโภค เพื่อกระจายเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจและทำให้เกิดการกระจายรายได้ เป็นการเพิ่มอำนาจในการบริโภคมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญในขณะนี้ คือ การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ และความชัดเจนในนโยบายการลงทุนของภาครัฐบาล ซึ่งคาดว่าการพัฒนาโครงการและการลงทุนในระบบนั้น จะเริ่มดำเนินการได้หลังจากไตรมาสที่ 1 ไปแล้ว เนื่องจากขณะนี้ ทุกภาคส่วนยังรอการจัดตั้งรัฐบาลซึ่งเมื่อเรื่องดังกล่าวชัดเจนแล้วในไตรมาสที่ 2 ของปีทิศทางการลงทุนจะชัดเจนและเอกชนมีแผนการลงทุนที่ชัดเจนด้วยซึ่งในไตรมาส3 เป็นต้นไปการลงทุนพัฒนาโครงการของเอกชนจะเริ่มเดินหน้า
บ้านใหม่ราคาขยับเพิ่มอีก 5%
นายประสงค์ กล่าวถึงแนวโน้มการปรับตัวของผู้ประกอบการอสังหาฯในปี 2551 เชื่อว่า ในด้านราคาขายที่อยู่อาศัยจะมีการปรับตัวสูงขึ้นอีก5% ตามต้นทุนราคาน้ำมันที่สูงขึ้น แต่การปรับราคาในช่วงแรก ผู้ประกอบการจะยังคงปรับขึ้นในส่วนที่จำเป็น โดยจะพยายามรักษาระดับการปรับราคาไม่ให้สูงมาก เนื่องจากความต้องการ(ดีมานด์)ในตลาดยังไม่มีความแข็งแรง ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวจะทำให้ในปีนี้ ผู้ประกอบการทุกรายจะมีกำไรจากผลประกอบการเฉลี่ยลดลง เนื่องจากผู้ประกอบการยังแบกรับภาระต้นทุนให้ผู้บริโภค เพื่อรักษายอดขายและตลาดให้มีอัตราการเติบโตเท่าเดิม โดยรูปแบบ้าน จะมีการพัฒนาขนาดที่เล็กลงและราคาขายที่ต่ำลง เพื่อรองรับกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลงตามแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง
" การปรับขนาดและราคาที่อยู่อาศัยให้ลดลงเหมาะสมกับกำลังซื้อของผู้บริโภคนั้น จะส่งผลดีต่อตลาดโดยรวม ทั้งนี้คาดว่าราคาบ้านในปี51 นี้จะมีราคาเฉลี่ยต่อยูนิตที่ 2.3 ล้านบาท ลดลงจากปีที่ผ่านมาซึ่งมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 2.4-2.5 ล้านบาท" นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรรกล่าว
สำหรับสัดส่วนในการพัฒนาโครงการจัดสรรในตลาดรวม คาดว่าประเภทบ้านเดี่ยวยังครองส่วนแบ่งตลาดรวมอยู่ 50% ทาวน์เฮาส์จะมีสัดส่วนอยู่ที่ 20% ส่วนคอนโดมิเนียมหรืออาคารชุดจะมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่20% และบ้านแฝดจะมีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 10%
“ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเติบโตของตลาดอสังหาฯในปี51นี้ ยังคงให้น้ำหนักกับการเมืองสูงถึง 70% ในขณะที่ราคาน้ำมันจะเป็นปัจจัยรองลงมา โดยมีน้ำหนักที่ 20% ส่วนเรื่องการแข็งค่าเงินบาทนั้น จะมีผลต่อการเติบโตของตลาดอสังหาฯอยู่ประมาณ 10%”
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่น่าจับตามองอีกอย่างก็คือเรื่องของการปรับอัตราดอกเบี้ยของภาครัฐ ซึ่งต้องมีการมาประเมินกันระหว่าง ปัจจัยการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ และการปรับอัตราดอกเบี้ยลงเพื่อกระตุ้นการบริโภคและการลงงทุน ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกนี้ เชื่อว่าธนาคารกลางสหรัฐ จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.25-0.5% ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาทให้แข็งตัวขึ้นอีก ดังนั้นปัจจัยเรื่องดอกเบี้ยจึงต้องจับตาดูว่ารัฐบาลจะมีนโยบายอย่างไร เนื่องจากดอกเบี้ยเป้ฯปัจจัยหลักในการตัดสินใจซื้อบ้านใหม่ของผู้บริโภคอีกตัวหนึ่ง
|
|
|
|
|