ศุภาลัย ฟันธงปี 51 ผู้ประกอบการขึ้นราคาบ้าน 5-10% หลังต้นทุนการก่อสร้าง - วัสดุ - ราคาที่ดินขยับตัวสูง ชี้แนวโน้มผู้บริโภคต้องการบ้านขนาดเล็ก-กลาง ในทำเลยศักยภาพ เน้นการเดินทางสะดวกใกล้เมือง พร้อมแจงผลประกอบการปี 50ยอดขาย 8,850 ล้านบาท เผยแผนปี 2551 เปิดโครงการใหม่ 8 โครงการ ส่วนภูเก็ตเปิดเพิ่ม 4 โครงการ ตั้งเป้ายอดขาย 9,999 ล้านบาท
นายประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวโน้มตลาดที่อยู่อาศัยในปี 51 จะขึ้นอยู่กับปัจจัยทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยในปีนี้ผู้บริโภคยังนิยมบ้านที่มีขนาดเล็ก และขนาดกลาง ในราคาที่เหมาะสม เช่นโครงการคอนโดมิเนียม ทาวน์เฮาส์ บ้านแฝด โดยเฉพาะโครงการที่ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพ สามารถเดินทางสะดวกสบาย ใกล้รถไฟฟ้า จะยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันทาวน์เฮ้าส์ ที่จะได้รับความนิยม จะต้องตั้งอยู่ในทำเลที่เดินทางสะดวก ส่วนบ้านเดี่ยวต้องตั้งอยู่ในทำเลที่ดี ไม่ไกลเกินไป โดยบ้านที่ขายดีจะต้องมีราคาที่เหมาะสม กับกำลังซื้อของส่วนใหญ่ ซึ่งมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ไม่เกิน 5 ล้านบาท
ทั้งนี้ ราคาบ้านในปี 2551 จะมีการปรับขึ้นประมาณ 5 – 10% ซึ่งมีผลมาจากการที่ต้นทุนการก่อสร้างปรับตัวสูงขึ้น โดยปัจจัยหลักในการปรับขึ้นราคาขายของที่อยู่อาศัย คือราคาน้ำมันที่ขยับตัวสูงอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ต้นทุนที่ดินที่ขยับสูงขึ้นก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ราคาที่อยู่อาศัยมีการปรับตัว รวมถึงการปรับตัวของต้นทุนวัสดุก่อสร้าง ค่าแรง การป้องกันแผ่นดินไหวของอาคารสูง และปัจจัยของสิ่งแวดล้อมด้วย
“ในส่วนของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จำเป็นอย่างยิ่งจะต้องมีการบริหารจัดการที่ดี โดยเฉพาะการบริหารด้านต้นทุนการก่อสร้าง รวมถึงต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาออกแบบพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการของตลาด เน้นใช้วัสดุอุปกรณ์ที่มีคุณภาพ รับกระแสโลกร้อนทำให้การออกแบบบ้านประหยัดพลังงาน ได้รับความนิยมจากกลุ่มลูกค้าเพิ่มขึ้น เพราะลูกค้าจะประหยัดค่าใช้จ่าย ประหยัดค่าไฟได้ในระยะยาว ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจซื้อบ้านของลูกค้า นอกจากนี้ ในด้านการบริการทั้งก่อนและหลังการขาย จะทำให้สามารถยืนหยัดต่อสู้ในตลาดซึ่งมีการแข่งขันสูงได้”
สำหรับในปี 2550 ที่ผ่านมาบริษัทมีผลประกอบการรวม 8,850 ล้านบาท สูงกว่าเป้ายอดขายที่ตั้งไว้ทั้งปี 8,800 ล้านบาท ประมาณ50ล้านบาท โดยแบ่งเป็นยอดขายจากคอนโดฯ 70% ส่วนบ้านจัดสรรและรายได้อื่นๆ 30% ทั้งนี้เมื่อเทียบยอดขายระหว่างปี2549กับปี 2550 ถือว่าบริษัทฯ มียอดขายรวมเติบโตขึ้นประมาณ 19.6% โดยบริษัทฯ สามารถรักษาค่าใช้จ่ายการขาย-การบริหารให้คงอยู่เพียง 9%ของรายได้รวม
ทั้งนี้ ในปี51บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 9,999 ล้านบาท เฉพาะในส่วนที่เป็นอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายทั้งคอนโดฯ บ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์เฮ้าส์ ซึ่งคาดว่าจะเติบโตกว่าปีที่ผ่านมา 13% โดยบริษัทมีแผนจะเปิดตัวโครงการใหม่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เพิ่มอีก 8 โครงการ แบ่งเป็นโครงการอาคารสูง 4 โครงการ และโครงการแนวราบ ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝดและทาวน์เฮ้าส์ 4 โครงการ นอกจากนี้ยังมีแผนจะเปิดตัวโครงการใหม่ในจังหวัดภูเก็ตเพิ่มอีก 4 โครงการ ซึ่งการพัฒนาโครงการใหม่ในจังหวัดภูเก็ตนั้นจะประกอบด้วย บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ และคอนโดฯ
นอกจากนี้ ยังมีโครงการที่จะเปิดใหม่ซึ่งเป็นของบริษัทฯ ในกลุ่ม ได้แก่ บริษัท หาดใหญ่นครินทร์ จำกัด ซึ่จะเปิดตัวโครงการใหม่ 2 โครงการ โดยจะการพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยว 1 โครงการ และคอนโดฯ 1 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 10,000 ล้านบาท
สำหรับในปีนี้บริษัทฯ คาดว่าจะมีสัดส่วนรายได้จากโครงการคอนโดมิเนียมประมาณ 60% จากบ้านจัดสรร และรายได้อื่นๆอีกประมาณ 40% โดยในปีนี้บริษัทมีโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการขาย 27 โครงการและเมื่อรวมโครงการใหม่ 8 โครงการจะทำให้ในปีนี้บริษัทมีโครงการในมือรวม 35
“ปีนี้ บริษัทฯ ได้เตรียมงบประมาณซื้อที่ดินแลนด์แบงก์ 2,500 – 3,000 ล้านบาท ส่วนงบโฆษณาและประชาสัมพันธ์ในปีนี้คาดว่าจะใช้วงเงินประมาณ 120 ล้านบาท”
|