|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ประธานตลาดหุ้นไทย แอบหวังเม็ดเงินการขายหุ้นในสหรัฐฯ-ยุโรป ไหลกลับมาลงทุนในเอเชีย ตอกย้ำทีมเศรษฐกิจรัฐบาลใหม่ต้องได้รับการยอมรับจากทั้งนักลงทุนใน-ต่างประเทศ "ภัทรียา" เตรียมโรดโชว์ข้อมูลเศรษฐกิจหลังเลือกตั้งให้ต่างชาติ ขณะที่นายกสมาคมบล. ชี้ปีนี้หุ้นจะสุดผันผวน มีโอกาสรูดแตะ 500 จุด แต่มีโอกาสที่พุ่งเหนือ 1,000 จุด แนะจับตาปัจจัยทั้งใน-นอกประเทศอย่างใกล้ชิด ด้านกองทุนตปท.ชี้ท่องเที่ยว-เกษตร ยังน่าลงทุน มองแนวรับสำคัญ 760 จุด ระบุแนวต้านหากไม่ทะลุ 885 จุดขึ้นต่อยาก
ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (8 ม.ค.) ตลอดทั้งวันดัชนีเคลื่อนไหวอย่างผันผวน เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามาหนุนดัชนีก่อนจะมีแรงซื้อเข้ามาในช่วงท้ายตลาด ส่งผลทำให้ดัชนีสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นมาปิดในแดนบวกได้เป็นวันแรกของปี 2551 โดยดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นมาปิดที่ 811.69 จุด เพิ่มขึ้น 3.38 จุด หรือ 0.42% โดยจุดสูงสุดของวันอยู่ที่ 814.85 จุด และจุดต่ำสุดอยู่ที่ 805.71 จุด มูลค่าการซื้อขาย 15,660.49 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,435.73 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 583.92 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 1,851.81 ล้านบาท
นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นในช่วงนี้จะมีความผันผวนค่อนข้างมาก จากผลกระทบที่เกิดขึ้นทั้งจากปัจจัยในประเทศและปัจจัยจากต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีการประกาศออกมาหลายตัวบ่งชี้ที่ชัดเจนว่ามีสัญญาณที่เศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะถดถอย ในขณะที่ปัญหาที่เกิดขึ้นตั้งแต่ในช่วงปีที่ผ่านมาโดยเฉพาะสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) ที่ยังจะมีการรายงานตัวเลขความเสียหายต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมาค่อนข้างมากในปีนี้
" จากผลกระทบที่เกิดขึ้น ทำให้เม็ดเงินที่นักลงทุนต่างชาติลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก มีการไหลออกเพื่อหวังเพิ่มสภาพคล่อง ซึ่งยังต้องติดตามว่าเม็ดเงินที่ไหลออกในรอบนี้ จะเคลื่อนไหวในทิศทางใดและจะมีการไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นเอเชียหรือไม่"
นอกจากนี้ สิ่งที่ต้องจับตาซึ่งจะส่งผลต่อจิตวิทยาในการลงทุน คือ การจัดตั้งรัฐบาล รวมถึงการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี โดยประเด็นสำคัญของทีมงานเศรษฐกิจในรัฐบาลใหม่คือจะต้องเป็นบุคคลที่ได้รับการยอมรับจากต่างประเทศและต้องได้รับการยอมรับจากคนในประเทศ เนื่องจากประเทศไทยยังต้องเพิ่งพิงการส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศค่อนข้างมาก
" หวังว่าจะมีการใช้บรรทัดฐานจากการพิจารณาคดีแปรรูปปตท.ของศาลปกครองกลาง ในการพิจารณาเพื่อแปรรูปรัฐวิสาหกิจอื่นๆ ในช่วงที่ผ่านมาเราเติบโตช้ากว่าตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเพราะเรายังไม่มีความชัดเจนต่อเรื่องดังกล่าวอย่างจริงจัง" นายปกรณ์กล่าว
โบรกเกอร์ชี้หุ้นสุดผันผวน
นายกัมปนาท โลหเจริญวนิช นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ กล่าวว่า ปัจจัยในประเทศโดยเฉพาะปัญหาทางการเมือง ผสมกับปัจจัยลบจากต่างประเทศไม่ว่าจะเป็นการถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ปัญหาซับไพรม์ เป็นต้น เป็นเหตุที่กดดันการปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีตลาดหุ้นไทย
ทั้งนี้ จากปัจจัยที่เกิดขึ้นส่งผลทำให้ตลาดหุ้นมีการเคลื่อนไหวที่ผันผวนมาโดยตลอด ซึ่งในปีนี้ปัจจัยต่างๆอาจจะส่งผลทำให้ดัชนีปรับตัวลดลงหรือเพิ่มขึ้นได้อย่างรุนแรง โดยหากดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลงในช่วง 1-2 เดือนในระดับหลายร้อยจุดก็ถือว่าไม่ใช่เป็นเรื่องที่ผิดปกติ
"มีความเป็นไปได้ทั้งนั้นที่ดัชนีจะขึ้นไปแตะระดับ 1,000 จุดในเวลาไม่นานและก็มีโอกาสเหมือนกันที่ดัชนีจะทรุดหลุดเหลือ 500 จุดหากมีปัจจัยลบเข้ามากระทบมากๆ"นายกัมปนาทกล่าว
อย่างไรก็ตาม กระแสของเงินทุนในตลาดโลกที่มีความเคลื่อนไหวค่อนข้างรวดเร็ว การไหลออกของเงินจากกลุ่มประเทศใดประเทศหนึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลก แต่ในทางกลับกันการไหลออกของเงินทุนจากประเทศใดประเทศหนึ่งอาจจะไหลเข้ามาลงทุนในอีกประเทศหนึ่งก็เป็นไปได้
ตลท.เตรียมโรดโชว์ดึงตปท.
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ปัจจัยที่กดดันภาวะการลงทุนของตลาดหุ้นไทยในขณะนี้มี 2 ปัจจัย คือ เศรษฐกิจของสหรัฐฯชะลอจากที่นักวิเคราะห์ต่างๆมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯจะปรับตัวลดลง และจากปัญหาเรื่องซัพไพรม์ รวมถึงราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่งผลกระทบกับการซื้อขายของตลาดหุ้นสหรัฐฯทำให้มีความผันผวนสูง ซึ่งส่งผลกระทบกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียรวมถึงตลาดหุ้นไทยเช่นกัน
ในส่วนอีกปัจจัยเป็นเรื่องปัจจัยทางการเมือง ซึ่งขณะนี้รอความชัดเจนในเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล รวมถึงทีมเศรษฐกิจ ที่จะเข้ามาทำให้เศรษฐกิจของไทยมีการเติบโตต่อไป จึงทำให้นักลงทุนมีการชะลอการลงทุน ซึ่งทีมเศรษฐกิจในรัฐบาลใหม่นั้น ควรที่จะมีนโยบายในการที่จะทำให้เศรษฐกิจที่ช่วยให้สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ โดยจากที่มีหลายหน่วยงานคาดว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะโต 4-5%นั้นถือว่าเป็นอัตราการเติบโตที่ค่อนข้างดี
สำหรับการเดินทางไปโรดโชว์ต่างประเทศนั้นขณะนี้รอการตอบกลับจากบริษัทหลักทรัพย์ รวมถึงการกำหนดเวลา และความแน่ชัดในทีมเศรษฐกิจ เนื่องจากนักลงทุนและบล.ต้องการให้ทีมเศรษฐกิจเดินทางไปด้วยเพื่อชี้แจงข้อมูลและความเป็นไปที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
เชียร์รอซื้อหุ้นแนวรับ760จุด
นายธิติ ธาราสุข ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท เน็กซ์วิว (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า จากการพูดคุยกับนักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่ยังเชื่อมั่นใจการเติบโตของเศรษฐกิจโดยเฉลี่ยคาดว่าในปีนี้เศรษฐกิจจะเติบโตในระดับ 4.5-6% โดยมีกลุ่มอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และกลุ่มเกษตร เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ กลุ่มที่ถือว่าเป็นอีกแรงสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจคือ กลุ่มสินค้าส่งออก โดยในปีที่ผ่านมาประเทศไทยส่งสินค้าไปยังสหรัฐฯประมาณ 24-25% ของยอดการส่งออกแต่ด้วยความกังวลต่อเศรษฐกิจสหรัฐที่เข้าสู่ภาวะถดถอย อาจจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยในปีนี้ ที่เกิดขึ้นจากปัญหาซับไพรม์ ซึ่งอาจจะล่ามไปกระทบถึงเศรษฐกิจโลก
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยในปีนี้มีโอกาสในการเติบโตได้ เนื่องจากในปีที่ผ่านมรัฐบาลไม่ได้มีการใช้เงินกับการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งหากรัฐบาลใหม่สามารถนำเสนอนโยบายพร้อมดำเนินการได้ตามแผนที่วางไว้ จะเป็นแรงหนุนที่สำคัญต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ
นายธิติ กล่าวอีกว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นกับตลาดทุนไทยในปีที่ผ่านมา ที่ส่งผลทำให้การเติบโตไม่อยู่ในระดับที่น่าพอใจ เนื่องจากไม่สามารถหาบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ ในขณะที่สินค้าใหม่ๆที่จะเป็นการเพิ่มทางเลือกให้นักลงทุนก็ยังมีไม่มากอย่างที่ควรจะเป็น
ทั้งนี้ จากการสอบถามนักลงทุนต่างชาติมองแนวรับดัชนีที่น่าสนใจจะเข้ามาลงทุนในปีนี้อยู่ที่ 760 จุด ในขณะที่แนวต้านที่นักลงทุนส่วนใหญ่มองจะอยู่ที่ 885 จุด ซึ่งหากไม่สามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นเหนือระดับดังกล่าวได้โอกาสที่ดัชนีจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างที่หลายฝ่ายคาดการณ์คงเป็นไปได้ยาก
|
|
|
|
|