Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน8 มกราคม 2551
ฝรั่งทิ้งหุ้นหนัก4วันหมื่นล.-วิตกศก.USทรุด/การเมืองใกล้ระอุ             
 


   
search resources

Stock Exchange




หุ้นไทยยังดำดิ่งหลังฝรั่งทิ้งเพิ่มอีก 4.5 พันล้านฉุดดัชนีรูด 13.4 จุด จ่อหลุด 800 อีกครั้ง โดยระยะเวลาแค่เพียง 4 วันทำการ นักลงทุนต่างชาติทิ้งหุ้นไทยแล้วกว่าหมื่นล้าน แห่โยกเงินจากตลาดหุ้นไปยังตลาดบอนด์ เหตุวิตกหนักหวั่นเศรษฐกิจสหรัฐฯถดถอยรุนแรงหลังตัวเลขเศรษฐกิจหลายเรื่องแย่กว่าที่คาดการณ์ ขณะที่มีข่าวลือในห้องค้าการเมืองในประเทศส่อระอุรอบใหม่

ภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์วานนี้ (7 ม.ค.) ความวิตกกังวลของนักลงทุนต่อภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ส่งสัญญาณจะเข้าสู่ภาวะถดถอยเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้นักลงทุนต่างพากันขายหน่วยลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกโดยเฉพาะในตลาดหุ้นเอเชียที่มีการเข้ามาซื้อในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาค่อนข้างมาก ขณะที่ปัจจัยทางด้านการเมืองในประเทศยังไม่มีความชัดเจนว่าการจัดตั้งรัฐบาลจะสามารถได้ข้อสรุปอย่างไรและเมื่อไหร่จนส่งผลทำให้ดัชนีปรับตัวลดลงมาปิดที่ 808.31 จุด ลดลง 13.40 จุด หรือ 1.63% โดยจุดสูงสุดของวันอยู่ที่ 814.41 จุด และจุดต่ำสุดอยู่ที่ 805.70 จุด มูลค่าการซื้อขาย 15,472.42 ล้านบาท

ทั้งนี้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 4,526.61 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 194.19 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 4,332.42 ล้านบาท โดยรวมระยะเวลาเพียงแค่ 4 วันทำการตั้งแต่ 2 ม.ค.ถึง 7 ม.ค.นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิรวม 10,472.19 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 663.55 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 11,135.74 ล้านบาท

สำหรับหุ้นที่ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงยังเป็นหุ้นในกลุ่มพลังงาน เช่น หุ้นบมจ.ปตท. หรือ PTT ราคาปิดที่ 334 บาท ลดลง 12 บาท หรือ 3.47% มูลค่าการซื้อขาย 2,591.49 ล้านบาท, หุ้นบมจ.บ้านปู หรือ BANPU ราคาปิดที่ 356 บาท ลดลง 14 บาท หรือ 3.78% มูลค่าการซื้อขาย 1,432.89 ล้านบาท, หุ้นบมจ.ปตท.ผลิตและสำรวจปิโตรเลียม หรือ PTTEP ราคาปิดที่ 152 บาท ลดลง 3 บาท หรือ 1.94% มูลค่าการซื้อขาย 1,407.67 ล้านบาท, หุ้นบมจ.ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น หรือ PTTAR ราคาปิดที่ 45.25 บาท ลดลง 1.25 บาท หรือ 2.69% มูลค่าการซื้อขาย 1,218.39 ล้านบาท, หุ้นบมจ.ไทยออยล์ หรือ TOP ราคาปิดที่ 79.50 บาท ลดลง 2 บาท หรือ 2.45% มูลค่าการซื้อขาย 662.81 ล้านบาท

นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการตลาด บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงตามตลาดหุ้นในต่างประเทศเนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯที่ประกาศออกมาหลายดัชนีส่งสัญญาฯชี้ชัดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯกำลังจะเข้าสู่ภาวะที่ถดถอย ทำให้นักลงทุนทั่วโลกต่างโยกการลงทุนจากตลาดหุ้นสู่ตลาดพันธบัตรเพื่อลดความเสี่ยงจากการลงทุน

ทั้งนี้ ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ทำให้นักลงทุนกังวลไม่ว่าจะเป็นอัตราการว่างงานเดือนธ.ค.ที่เพิ่มขึ้นจาก 4.7% มาอยู่ที่ 5% ในขณะที่ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรมเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้นเพียง 1.8 หมื่นตำแหน่งจากเดิมที่มีการคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 7 หมื่นตำแหน่ง ซึ่งตัวเลขดังกล่าวเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นที่ต่ำที่สุดในรอบตั้งแต่เดือน ส.ค. 46

"การปรับพอร์ตในครั้งนี้ส่วนใหญ่เป็นการขายหุ้นในแถบประเทศเอเชียโดยเฉลี่ยทำให้ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงประมาณ 2%"นายพิชัยกล่าว

ดัชนีจ่อหลุด800จุด

นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า สาเหตุหลักที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีมาจาก 2 สาเหตุหลัก คือ 1.นักทุนมองแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในอนาคตว่าไม่ดี เนื่องจากความกังวลที่เกิดขึ้นจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะถดถอย และ 2.นักลงทุนมีการขายหุ้นเพื่อนำไปชดเชยสภาพคล่องที่ลดลง ทำให้คาดว่าตลาดหุ้นจะปรับตัวลดลงอย่างเนื่องไปจนถึงสัปดาห์หน้า

ทั้งนี้ โอกาสที่ดัชนีจะปรับตัวลดลงต่ำกว่า 800 จุดมีความเป็นไปได้แต่คงต้องใช้เวลาอีกซักระยะ โดยมองกรอบแนวรับในรอบนี้ที่ 780 จุด โดยจะช้าหรือเร็วคงต้องดูจากแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติว่าจะมากหรือน้อยเพียงใด

นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า การปรับตัวลดลงของดัชนีตลาดหุ้นไทยเป็นเพราะนักลงทุนต่างชาติยังไม่มั่นใจในสถานการณ์ทางการเมืองของประเทศไทย ซึ่งไม่ว่าใครจะเป็นรัฐบาลในช่วงสั้นๆ ก็ยังมีหลายเรื่องที่ต้องรอความชัดเจนอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการพิจารณาให้ใบเหลืองใบแดงของ กกต. และคำตัดสินของศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง ในกรณีที่พรรคพลังประชาชนเป็นนอมินีของพรรคไทยรักไทย รวมทั้งให้เพิกถอนการเลือกตั้งล่วงหน้า ซึ่งทำให้อาจจะต้องมีการจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ รวมถึงกรณีการแจกวีซีดีปราศัยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้กับประชาชนในช่วงหาเสียงเลือกตั้งว่าจะออกมาอย่างไร

นอกจากนี้ ความกังวลการชะลอตัวเศรษฐกิจสหรัฐเป็นอีกประเด็นที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นออกมาอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามสิ่งที่นักลงทุนจะต้องจับตาอย่างใกล้ชิดในขณะนี้คือสถานการณ์ทางการเมืองว่าจะสรุปออกมาอย่างไร การจัดตั้งรัฐบาลจะเป็นอย่างไรและเกิดขึ้นได้เมื่อไหร่

นางสาวมยุรี โชวิกรานต์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์การลงทุน บล.นครหลวงไทย กล่าวว่า การอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์จนมาอยู่ที่ระดับ 108 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้เกิดปัญหาเยนเครี่เทรด (yen carry trade) จึงมีการขายหุ้นที่ถือครองให้ตลาดหุ้นทั่วโลกโดยเฉพาะในเอเชียเพื่อนำกลับไปชำระหนี้สกุลเยน

ลือห้องค้าการเมืองใกล้ระอุ

แหล่งข่าวนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า เริ่มมีกระแสข่าวลือเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศที่อาจจะกลับมารุนแรงขึ้นอีกครั้ง เนื่องจากมีหลายประเด็นที่อาจจะนำไปสู่ความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นการกลับมาของอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพื่อสู้คดีต่างๆที่ขณะนี้อยู่ระหว่างการรอมาให้ปากคำซึ่งในเรื่องดังกล่าวมีทั้งกลุ่มผู้ที่เห็นด้วยและกลุ่มผู้ที่คัดค้านการกลับมาของอดีตนายกรัฐมนตรี

ทั้งนี้ เกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคอันดับ 1 พรรคพลังประชาชนก็ยังไม่ถือว่ามีความชัดเจนมากนักเนื่องจากถึงปัจจุบันยังไม่สามารถรวมตัวจัดตั้งรัฐบาลได้ ในขณะที่การพิจารณาให้ใบแดง ใบเหลืองกับผู้สมัครที่ทำผิดกฎหมายเลือกตั้งซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนว่าท้ายที่สุดคะแนนเสียงของพรรคอันดับ 1 จะเหลือว่าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนเท่าไหร่ และจะเพียงพอต่อการเปิดสภาหรือไม่

"เริ่มมีกระแสข่าวเกี่ยวกับความร้อนแรงทางการเมืองว่าจะกลับมาระอุอีกครั้ง ซึ่งในมุมมองของตลาดทุนไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นเพราะจะส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจทั้งหมดรวมถึงกระทบต่อจิตวิทยาในการลงทุนของทั้งนักลงทุนในประเทศและต่างประเทศ"แหล่งข่าวกล่าว

นอกจากนี้เป็นที่น่าสังเกตว่าหุ้นในกลุ่มเก็งกำไรที่ก่อนหน้าปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงแม้ว่าในปัจจุบันหลายบริษัทจะยังปรับตัวเพิ่มขึ้นแต่ก็ลดความรุนแรงลงไปค่อนข้างมากอาจจะเป็นเพราะกลุ่มนักลงทุนรายใหญ่ต้องการขายทิ้งเพื่อลดความเสี่ยงหากสถานการณ์ทางการเมืองกลับมาระอุอย่างที่เป็นข่าวลือออกมาจริงๆ   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us