|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
“ดีคอน” ระบุผู้ผลิตแผ่นพื้นสำเร็จรูป –วัสดุงานพรีแคสอ่วม เล็งปรับขึ้นราคาสินค้า 10% หลังปูนขึ้นราคา 13% แถมราคาน้ำมันขึ้นรายวัน ระบุอสังหาฯทั้งต้นน้ำ-ปลายน้ำกระทบหนักบางบริษัทลดเงินเดือนพนักงาน เชื่อสถานการณ์ชะลอต่อเนื่องถึงปี 53 แนะลดต้นทุนการผลิต เพิ่มคุณภาพ ตรวจสอบระบบขนส่งป้องกันการขโมยน้ำมัน
นายวิทวัส พรกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ดีคอนโปรดักส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิต เสาเข็มและแผ่นพื้นคอนกรีตสำเร็จรูป อิฐมวลเบา แบรนด์ "ดี-คอน" เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมาอุตสาหกรรมหมวดวัสดุก่อสร้างทั้งหมดได้รับผลกระทบอย่างมากเนื่องจากปัจจัยลบหลายประการ โดยเริ่มตั้งแต่ ธุรกิจต้นน้ำ เช่น ที่ปรึกษาโครงการ บริษัทรับออกแบบ งานลดลงกว่า 50% บางบริษัทถึงขั้นลดเงินเดือนพนักงาน
ในหมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่อยู่อาศัยแนวราบได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ผู้บริโภคขาดความเชื่อมั่น สถาบันการเงินเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อ รวมไปถึงค่าใช้จ่ายของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้กำลังซื้อลดลง แต่ในธุรกิจนี้ยังมีตลาดคอนโดมิเนียมแนวรถไฟฟ้าที่ยังมีทิศทางที่ดีอยู่ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ชะลอการพัฒนาโครงการใหม่ เน้นขายสินค้าเก่าที่มีอยู่ในมือให้หมดไปหรือเปิดเฟสใหม่ในโครงการเดิมเท่านั้น
ในส่วนของธุรกิจเสาเข็ม มีการแข็งขันค่อนข้างสูงในช่วงที่ผ่านมาประกอบกับงานที่มีอยู่ลดน้อยลงจากการชะลอตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ อย่างไรก็ตามสิ่งที่เป็นผลกระทบมากที่สุด คือ การปรับขึ้นราคาของปูนซีเมนต์ประมาณ 13% ของราคาขาย ซึ่งปูนคิดเป็น 80% ของต้นทุนการผลิต ซึ่งทำให้ต้นทุนการผลิตงานพรีแคส เพิ่มขึ้นถึง 10% ในขณะที่กำไรในธุรกิจนี้มีเพียง 5-6% เท่านั้น
“ปูนขึ้นราคาต้นทุนเราก็ขึ้นตามแถมค่าขนส่งก็ขึ้นตามด้วย แม้จะบอกว่าปรับขึ้นในส่วนที่ให้ส่วนลดการขาย แต่ในทางปฏิบัติแล้วดีลเลอร์ก็ต้องขึ้นราคาขายตามอยู่ดี ทำให้แทบไม่เหลือกำไรดังนั้นเราจำเป็นขึ้นขึ้นราคาสินค้าประมาณ 10% เช่นกันเพื่อให้อยู่รอดได้ ถ้าใครขายราคาเดิมในปีนี้ก็ขาดทุน” นายวิทวัสกล่าว
ส่วนภาวะของตลาดอิฐมวลเบานั้น สถานการณ์ยังไม่ดีขึ้น หากพิจารณาจากผลประกอบการของผู้ประกอบการในตลาดหลักทรัพย์ ทุกบริษัทมีผลประกอบการติดลบ โดยในส่วนของดีคอนเองติดลบเดือนละ 2 ล้านบาท จากการหักค่าเสื่อมเครื่องจักรโรงงาน อย่างไรก็ตามสถานการณ์การขายมีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยปัจจุบันบริษัทมียอดขายเดือนละ 2-3 แสนก้อน หากขายได้มากกว่านี้ก็จะทำให้มีกำไรเพิ่มขึ้น
ปัจจุบันการแข่งขันในเรื่องราคานั้นไม่ค่อยมีให้เห็น เนื่องจากราคาที่เสนอขายปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 18 บาท/ก้อน ปรับตัวดีขึ้นจากช่วงก่อนนี้ที่ราคา 15-16 บาท/ก้อน ซึ่งราคาปกติต้องอยู่ที่ 20 บาท/ก้อนจึงจะเหมาะสมกับต้นทุนในปัจจุบันและมีกำไรบ้าง แต่เชื่อว่าจากต้นทุนที่ปรับขึ้นจะทำให้ผู้ผลิตไม่สามารถลดราคาลงได้อีก แต่จะมีการปรับขึ้นตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้น สำหรับผลประกอบการของดีคอนในปี 50 มียอดขายรวม 670 ล้านบาท จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ทั้งปี 600-700 ล้านบาท
ส่วนในปี 51 นี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายและกำไรเท่ากับปี 50 เนื่องจากเชื่อว่าภาวะเศรษฐกิจในปี 51 จะยังคงชะลอตัวไปในทางติดลบต่อเนื่อง ซึ่งหากพิจารณาจากพื้นฐานของจีดีพี ได้แก่
1. การส่งออก มีปัญหาเรื่องเงินบาทแข็งค่าทำแม้ว่าจะส่งออกได้มาก แต่มูลค่าลดลง
2. การลงทุนภาครัฐ การเป็นรัฐบาลที่ไม่แข็งแรงเพราะรัฐบาลใหม่มีที่ฐานเสียงที่ก่ำกึงจะเป็นรัฐบาลที่อยู่ไม่ยาวนาน หรือไม่มั่นคงเท่าที่ควร เชื่อว่าจะไม่มีการลงทุนมากนักจากรัฐบาลชุดนี้
3.การลงทุนภาคเอกชน มีการชะลอตัวจากความไม่เชื่อมั่นในเศรษฐกิจและรัฐบาล 4.การบริโภคภาคประชาชน ไม่มีความเชื่อมั่นจึงไม่กล้าจับจ่ายใช้สอย ประกอบกับค่าครองชีพสูงขึ้นทำให้กำลังซื้อลดลง
“ทั้ง 4 ข้อสะท้อนว่าเศรษฐกิจในปี 51 จะยังไม่ดีขึ้นแต่อาจจะทรุดตัวลง และเชื่อว่ากว่าจะปรับตัวดีขึ้นน่าจะเป็นปี 53 “
นายวิทวัส กล่าวว่า ทางรอดของผู้ประกอบการนั้น จะต้องปรับลดต้นทุนการผลิตให้ได้มากที่สุด ในขณะที่สินค้าต้องมีคุณภาพสูงสุด ซึ่งเป็นโจทย์ที่ยากมากสำหรับผู้ประกอบการ นอกจากนี้ยังต้องปรับระบบขนส่งโดยหันมาใช้แก๊ส พร้อมทั้งควบคุมการโกงน้ำมันของการขนส่ง เพราะจากสถิติมีการขโมยน้ำมันกว่า 90% ดังนั้นเราจึงติดตั้งระบบติดตามด้วยดาวเทียมพร้อมทั้งระบบตรวจสอบรถขนส่ง เพื่อไม่ให้เกิดการคอรัปชั่นขึ้น
สำหรับดีคอน ในส่วนการลงทุนใหม่นั้นจะยังไม่เกิดขึ้นในปีนี้ รวมไปถึงการออกผลิตภัณฑ์ เนื่องจากจะทำให้มีต้นทุนเพิ่ม รวมไปถึงค่าการตลาดที่ต้องประชาสัมพันธ์สินค้าใหม่ดังกล่าว ดังนั้นในปีนี้จะเน้นขายผลิตภัณฑ์เก่า พัฒนาให้ดีขึ้น รวมไปถึงการบริการ
“ในปีนี้ไม่หวังมาก แค่ทำให้เท่ากับปีที่แล้วก็พอใจแล้ว ปีนี้จะเน้นไปที่การล้างหนี้ที่มีอยู่ประมาณ 100 ล้านบาท โดยจะเน้นขายโครงการจัดสรร โดยจะขายที่ดินเปล่า ถมแล้วในโครงการบ้านอรดา ซึ่งมีมูลค่าเหลือขายประมาณ 200-300 ล้านบาท โดยจะขายลดราคากว่า 50% จากเดิมราคาตารางวาละ 20,000 บาท ลดเหลือ 10,000 บาท/ตร.ว. หรือ บางแปลงเหลือ 8,000 บาท/ตร.ว. เชื่อว่าเราลดราคาขนาดนี้น่าจะขายได้หมดเพื่อนำเงินไปใช้หนี้” นายวิทวัสกล่าว
|
|
|
|
|