Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน7 มกราคม 2551
สแน็กงัดกลยุทธ์ฝ่าวิกฤติปีหนูไฟ ชูสุขภาพธัญพืชมาแรง ต้นทุนพุ่งชี้รายเล็กแย่             
 


   
search resources

ยูอาร์ซี (ประเทศไทย), บจก.
Snack and Bakery




ยูอาร์ซี ชี้ตลาดขนมขบเคี้ยวปีหนู เริ่มโหมโรงชูจุดขายเพื่อสุขภาพ ไขมันต่ำ ปั้นแสน็กธัญพืช เสริมภาพลักษณ์ของว่างทานเล่น รับมือกระแสสุขภาพบูม กฎเหล็กภาครัฐ ระบุปี 51 ผู้ประกอบการหืดขึ้นคอ ตลาดโตไม่เกิน 5% กำลังซื้อหดคนเจียดเงินกินขนมขบเคี้ยวลดลง แถมต้นทุนผลิตพุ่ง เชื่อแบรนด์เล็กอยู่ลำบาก

นายสมนึก เปล่งสุริยการ ผู้ช่วยผู้จัดการทั่วไป บริษัท ยูอาร์ซี (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายขนมขบเคี้ยว JACK'n JILL,ครีมโอ,ฟันโอ,โรลเลอร์ และโคสเตอร์ เปิดเผยกับ”ผู้จัดการรายวัน”ว่า ผลพวงจากกระแสสุขภาพที่มาแรงอย่างต่อเนื่องในปีนี้ ประกอบกับภาครัฐลดเวลาโฆษณารายการเด็กจาก 12 นาที เป็น 10 นาที การให้ติดตราสัญลักษณ์เป็นสินค้าที่บริโภคแล้วอ้วน และห้ามแจกของพรีเมียมในขนมขบเคี้ยว ทำให้ผู้ประกอบการขนมขบเคี้ยวต้องปรับจุดขายใหม่หันมาเน้นเพื่อสุขภาพ ตลอดจนการพัฒนาสินค้ากลุ่มธัญพืชมากขึ้น

ดังนั้นภาพรวมการแข่งขันตลาดขนมขบเคี้ยวในปีนี้ ผู้ประกอบการจะชูจุดขายผ่านโฆษณา ในแง่เป็นขนมที่มีไขมันต่ำ ปริมาณเกลือน้อยลง การเติมวิตามินต่างๆ อาทิ เอ บี ฯลฯ หรือชูจุดขายการมีส่วนผสมของธัญพืช ตลอดจนการเปิดตัวสินค้าประเภทธัญพืชออกมาทำตลาดอย่างจริงจัง ซึ่งเทรนด์ดังกล่าวเกิดขึ้นในตลาดต่างประเทศมานานแล้ว สำหรับในประเทศไทยขนมขบเคี้ยวเพื่อสุขภาพ ต้องใช้เวลาในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และผู้บริโภคไปพร้อมกันๆ เนื่องจากคนไทยยังมีติดนิสัยการกินขนมขบเคี้ยวที่ต้องอร่อยเป็นหลัก แต่เพื่อสุขภาพเป็นเรื่องรองอยู่

“การปรับตัวโดยหันมาเน้นจุดขายเพื่อสุขภาพ ช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ขนมขบเคี้ยวให้ดีขึ้นในสายตาผู้บริโภคเท่านั้น แต่ไม่สามารถทลายภาพลักษณ์ขนมขบเคี้ยว ซึ่งเป็นขนมทานเล่นไม่ได้มีคุณค่าทางโภชนาการ ดังนั้นเซกเมนต์เพื่อสุขภาพจะเกิดขึ้นมาได้ ต้องใช้เวลาในการให้ข้อมูลปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค”

ทั้งนี้ภาพรวมขนมขบเคี้ยวเพื่อสุขภาพขณะนี้ยังเป็นตลาดที่เล็กมาก ได้แก่ ตลาดข้าวอบกรอบมูลค่า 600 ล้านบาท โดยหดตัวลง 20% ในปีที่ผ่านมา ส่วนตลาดลูกอมมีเพียงลูกเล่นสารไซลิทอล คอลลาเจน หรือในกลุ่มเยลลี่ ก็ใส่คาลาจีแนน ส่วนขนมขบเคี้ยวกลุ่มธัญพืชยังไม่แพร่หลายกลุ่มผู้บริโภคไทย เนื่องจากมีข้อจำกัดคือ แข็งไม่น่ากิน เมื่อเทียบกับต่างประเทศขนมขบเคี้ยวพัฒนาไปอีกระดับหนึ่งแล้ว โดยมีมันฝรั่งทอดกรอบไม่มีไขมัน เป็นต้น

ตลาดโตน้อยงดออกสินค้าใหม่

นายสมนึก กล่าวว่า สภาพตลาดขนมขบเคี้ยวมูลค่า 12,000 ล้านบาท ในปีนี้คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตไม่เกิน 5% ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา เนื่องจากมองว่าสภาพเศรษฐกิจปีนี้ไม่ได้ดีมากนัก กำลังการซื้อของผู้บริโภคลดลง เนื่องจากราคาน้ำมันสูงขึ้นกระทบต่อราคาสินค้าต้องปรับเพิ่มขึ้น ทั้งนี้คาดว่ามันฝรั่งทอดกรอบมูลค่า 3,000-3,600ล้านบาท จะเป็นแคธิกอรี่ที่มีอัตราการเติบโตที่ดีอยู่ ส่วนขนมขึ้นรูปมูลค่า 3,000-3,600ล้านบาท ปกติการเติบโตจะมาจากการทำโปรโมชัน ดังนั้นการเติบโตจึงขึ้นกับปรับตัวของผู้ประกอบการที่จะหันมาเน้นการทำโปรโมชันอย่างไรกับกฎเกณฑ์ที่อย.วางไว้

อย่างไรก็ตาม จากสภาพตลาดที่เติบโตน้อย ทำให้คาดว่าผู้ประกอบการจะเปิดตัวสินค้าน้อยลง แต่หันไปมุ่งเน้นสินค้าเดิมที่อยู่ให้มีความแข็งแกร่งทางการตลาด ซึ่งการแข่งขันจะมีความรุนแรงมากขึ้น เพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งตลาด และในปีนี้แบรนด์เล็กๆ จะล้มหายตายจากเพราะไม่สามารถแข่งขันกับผู้ประกอบการรายใหญ่ได้ ส่วนด้านต้นทุนการผลิตต้องยอมรับว่าเพิ่มขึ้น โดยน้ำมันปาล์มเพิ่มจาก 17-18 บาทต่อกก.เป็น 30 บาทต่อกก. แต่เนื่องจากผู้ประกอบการไม่กล้าปรับราคาขึ้นจากซองละ 5 บาท เป็น 6 บาท เพราะกลัวสูญเสียส่วนแบ่งตลาด ดังกล่าว คาดว่าปีนี้ผู้ประกอบการจะปรับลดปริมาณขนมขบเคี้ยวในซองลง

สำหรับนโยบายของบริษัทในปีนี้ จะไม่เน้นการเปิดตัวสินค้าใหม่มากนัก แต่จะเน้นสินค้าเดิมที่มีอยู่มากกว่า ส่วนสินค้ากลุ่มเพื่อสุขภาพหรือกลุ่มธัญพืชในปีนี้ บริษัทยังไม่มุ่งเน้นมากนัก แต่จะชูจุดขายมีปริมาณไขมันต่ำ เกลือน้อยเป็นหลักมากกว่า สำหรับผลประกอบการปีนี้ตั้งเป้ามีอัตราการเติบโต 10% ก็ถือว่าดีแล้ว เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตมากกว่า 15% หรือมีรายได้ไม่เกิน 200 ล้านบาท   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us