|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ปูนกลางเร่งปรับตัว หวั่นเจอภาวะวิกฤตรอบใหม่ เน้นบริหารจัดการต้นทุน รักษากำไร แจงปิด 2 เตาเผาเก่า ไม่ใช่ฐานะย่ำแย่ แต่ต้องการหนีภาวะต้นทุนพุ่ง พร้อมลดกำลังการผลิต หวังซัปพลายหดกระตุ้นราคาขายปรับขึ้นตามดีมานด์ ฟันธงตลาดปีหน้าคงที่ เล็งลดสัดส่วนส่งออก
เมกะโปรเจกต์ของภาครัฐที่ล่าช้า และภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมปูนซิเมนต์อย่างรุนแรง ทำให้ยอดประมาณการขายปูนซิเมนต์ของปูนซีเมนต์นครหลวงทั้งปีนี้หดตัวลง 4% ซึ่งลดลงเท่ากับตลาดรวม โดยปีที่แล้วมียอดขายในประเทศลดลงเพียง 2-3% แม้ปีนี้บริษัทฯ จะเร่งส่งออกเพิ่มขึ้น 15% เพื่อเร่งสร้างรายได้ชดเชยตลาดในประเทศที่หดตัว แต่เนื่องจากต้นทุนการผลิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้นทุนด้านพลังงานที่กินสัดส่วน 72% ของต้นทุนการผลิตทั้งหมดปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก เช่น ถ่านหิน วัตถุดิบหลักซึ่งต้องนำเข้า ประสบปัญหาค่าระวางเรือขนส่งสูงขึ้นถึง 70% ค่าขนส่งที่ปรับตัวสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ บวกกับภาวะขาดทุนจากเงินบาทที่แข็งค่า ทำให้บริษัทฯ ต้องหันกลับมาทบทวนตัวเองอีกครั้งถึงทิศทางที่จะเดินไปในปีหน้า
การประกาศปิดเตาเผา 2 เตา จนมีผลกระทบต้องเลิกจ้างคนงานจำนวนหนึ่ง เป็นสิ่งที่จันทนา สุขุมานนท์ รองประธานบริหาร (ลูกค้าสัมพันธ์) บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) (SCCC) ชี้แจงว่า ไม่ใช่เพราะสถานะขององค์กรอยู่ในภาวะย่ำแย่ แต่เป็นการปรับตัวเพื่อบริหารจัดการต้นทุนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะเตาเผาที่ปิดเป็นเตาเก่าที่มีตั้งแต่เริ่มตั้งโรงงานเมื่อ 40 ปีที่แล้ว จึงไม่สามารถประหยัดต้นทุนพลังงานได้เท่ากับเตารุ่นใหม่ จึงไม่เกิดความคุ้มทุน รวมทั้งการผลิตสินค้าออกสู่ตลาดมากเกินไป เป็นการกดดันให้ราคาขายต่ำลง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผลกำไร ดังนั้นในปีหน้าบริษัทฯ จะลดกำลังการผลิตเหลือเพียง 10.4 ล้านตันต่อปี จากเดิม 14.8 ล้านตันต่อปี
ปูนซีเมนต์นครหลวงคาดการณ์ว่า ปีหน้าดีมานด์ปูนซีเมนต์ในประเทศจะอยู่ที่ 28 ล้านตัน เท่ากับปีนี้ ส่วนยอดการส่งออกจะอยู่ที่ 14 ล้านตันต่อปี ลดลงจากปีนี้ 20% จากเดิม 17.5 ล้านตันต่อปี ซึ่งในส่วนของบริษัทฯ จะลดสัดส่วนการส่งออกลง 2-3 ล้านตัน เพื่อลดซัปพลายสินค้าในตลาด กระตุ้นให้ราคาขายสูงขึ้น ซึ่งจันทนาย้ำว่า แม้บริษัทจะลดกำลังการผลิตลง รวมทั้งลดสัดส่วนการส่งออกไปยังต่างประเทศ เป็นการปรับตัวด้านการบริหารจัดการต้นทุน ซึ่งน่าจะทำให้กำไรกลับมาดีขึ้นแน่นอน
จันทนาคาดการณ์ถึงภาพรวมตลาดในประเทศในปีหน้าว่า จะมีปัจจัยบวกจากการตั้งงบประมาณขาดดุลของรัฐบาล เพื่อเร่งลงทุน และกระตุ้นภาคเศรษฐกิจผ่านเมกะโปรเจกต์ต่างๆ ความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่จะหวนคืนหลังจากมีการเลือกตั้ง อัตราดอกเบี้ยเงินกู้คงที่ ส่วนปัจจัยลบ ได้แก่ เงินบาทที่แข็งค่าอย่างต่อเนื่อง และอัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มสูงขึ้น จากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก รวมทั้งความไม่แน่นอนทางการเมือง
ในส่วนของการทำตลาดในประเทศ หากปีหน้ายังไม่มียอดขายเข้าโครงการเมกะโปรเจกต์ใดๆ บริษัทฯ ก็ยังมียอดขายจากโครงการเก่ามาช่วย ซึ่งขณะนี้มีอยู่แล้ว 20% ส่วนตลาดต่างประเทศยังคาดการณ์ว่า ค่าขนส่งจะยังอยู่ในระดับสูงไปตลอดทั้งปี ดังนั้นบริษัทฯ จะเน้นการส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงที่มีอัตราการเติบโตสูง ได้แก่ เวียดนาม บังคลาเทศ สิงคโปร์
|
|
|
|
|