ใครจะว่า SARS ไม่ดีอย่างไรก็ว่ากันไป แต่ในมุมที่มีประโยชน์ ก็มีไม่น้อย
อย่างน้อย สังคมไทยจะได้เรียนรู้ระดับยุทธศาสตร์ที่ว่าด้วยสังคมไทยกับสังคมโลก
ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าเป็นสังคมที่มองและให้ความสำคัญแต่ปัญหาของตนเองมากกว่ามองภาพรวม
ทั้งๆ ที่มีความทันสมัยในฐานะลูกค้า ที่ดีของสินค้าแบรนด์ระดับโลก
Regional perspective
เหตุการณ์ครั้งนี้ สร้างกระแสสนใจความเคลื่อนไหวในสิ่งที่เรียกว่า regional
perspective ในแต่ละวันจะสนใจรายงานขององค์การอนามัยโลก หากศึกษารายงานนี้ทุกวัน
จะเห็นภาพความเชื่อมโยงชุมชนชาวจีนที่มีเครือข่ายเข้มข้นในย่านนี้ เครือข่ายนี้เป็นเครือข่ายยุคใหม่ที่สัมพันธ์กับเศรษฐกิจ
- ไต้หวันเป็นประเทศกลุ่มเสี่ยงโรค SARS ประเทศหนึ่ง เป็นที่เข้าใจได้ว่าเนื่องจากมีความสัมพันธ์กับจีนแผ่นดินใหญ่มากกว่าที่คนทั่วไปคิด
ไม่น้อยเหมือนกันที่รู้กันว่ามีความขัดแย้งทางแนวคิดทางการเมือง
- เช่นเดียวกับประเทศสิงคโปร์ที่กำลังดำเนินนโยบายว่าด้วยยุทธศาสตร์ ของจีนแผ่นดินใหญ่อย่างเอาการเอางาน
มากที่สุดในทุกประเทศในย่านนี้ก็เป็นได้
ผู้คนที่เดินทางไปมาระหว่างจีนแผ่นดินใหญ่กับประเทศของตน ในยุคนี้ล้วนเป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
มิใช่เป็นความสัมพันธ์ทางเชื้อสายดั้งเดิม เมื่อการเดินทางมากขึ้น ซึ่งเป็นดัชนีหนึ่งของโลกยุคใหม่
ย่อมจะทำให้เชื้อโรคแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว
เช่นเดียวกับข่าวสารความเคลื่อนไหวของประเทศต่างๆ ทั่วโลกที่มีปฏิกิริยา
และจัดการปรับเปลี่ยนความสัมพันธ์กับประเทศในภูมิภาคของเรา ซึ่งกระทบประเทศไทยด้วยไม่น้อยเหมือนกัน
Competitive advantage of nation
การบริหารวิกฤติของรัฐไทยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพพอสมควร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศต่างๆ ในย่านนี้ ความสามารถนี้เป็นเรื่องที่จับต้องได้และบังเอิญ
ผู้ประเมินไม่ใช่สถาบันที่มีผลประโยชน์ร่วมกับรัฐไทย
จึงเป็นเรื่องดีพอประมาณ ที่ไม่ปรากฏกลุ่มคนอีกฝ่ายหนึ่ง ในรูปฝ่ายค้าน
ที่อยู่ในรูปนักวิชาการ องค์กรเอกชน ไม่มีใครออกมาวิจารณ์การทำงานของรัฐ
เช่นปกติ
โดยปกติสังคมไทยดูเหมือนไม่มีวิธีคิดที่ประเมินผลของการปฏิบัติอย่างมีมาตรฐานหรือไม่ยอมรับมาตรฐาน
หากเป็น อีกฝ่ายหนึ่งก็จะได้รับการ วิพากษ์อยู่เสมอ ไม่ว่าทางหนึ่ง ทางใด
อันเป็นวัฒนธรรมปกติ ไม่ว่าเรื่องนั้นจะกลายเป็นเรื่อง ที่ทำให้สื่อตะวันตกขยายความ
ต่อๆ กันไปจนเกินเลย
วิกฤติการณ์ SARS มีความหมายในมิติที่น่าสนใจ
- เชื้อโรค เป็นภัยที่มีโอกาสเกิดกับทุกคน ไม่แบ่งกลุ่มแบ่งแก๊งและฝ่ายรัฐบาลฝ่ายค้าน
เป็นความรู้สึกร่วมที่สุด มากกว่าเรื่องอื่นใดที่ใครๆ เรียกว่า National
Agenda
- เรื่องนี้เป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ มันเป็นเรื่องยากที่แปรเป็นเรื่องการเมืองหรือเรื่องที่ไม่อาจตีความได้หลากหลาย
- เป็นเรื่องระดับโลกหรือ Global Agenda มีตัวละครมากขึ้น มีข้อมูลมาก
มายมีความสลับซับซ้อนพอสมควร
Globalization จากนี้ไปไม่ใช่เรื่องเศรษฐกิจอย่างเดียวเท่านั้น หากจะมีเรื่องอื่นๆ
ไม่ว่าด้านสังคม โรคภัย ภัยธรรมชาติ ภัยจากการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งจะกลายเป็นเรื่องไม่แบ่งแยกรัฐ
แต่รัฐจะกลาย เป็นกลุ่มคนที่จัดการในบางเรื่องได้ดีกว่าคนอีกกลุ่มหนึ่งเท่านั้น
จากนี้ไป Global Agenda จะมี ความสำคัญมากขึ้นกว่า National Agenda ซึ่งจะทำให้ความคิดของคนหลายกลุ่ม
ที่อ้างเป็นกลุ่มพลังในสังคมไทย เข้าพิพิธภัณฑ์ไปในที่สุด