|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ ฉบับ มกราคม 2551
|
|
Carlos Ghosn สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการฉุดดึง Nissan ให้พ้นจากการล้มละลาย เขากำลังหวังจะสร้างประวัติศาสตร์อีกครั้งด้วยการพลิกฟื้นบริษัทรถสัญชาติญี่ปุ่น-ฝรั่งเศสแห่งนี้
Carlos Ghosn เคยได้รับยกย่องเป็น CEO ผู้โด่งดังระดับดาราเพลงร็อกแห่งอุตสาหกรรมรถยนต์ เมื่อเขาสามารถกอบกู้ Nissan ที่เกือบจะล้มละลายในปี 2000 ความคลั่งไคล้ในตัวเขามีมากถึงขนาดที่เขาได้ไปโผล่ในหนังสือการ์ตูนซูเปอร์ฮีโร่ในญี่ปุ่น Bill Ford พยายามจะจ้างเขาให้มาช่วยแก้ปัญหาในบริษัทรถยนต์ Ford ขณะที่กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดของ General Motors ก็พยายามจะผลักดันให้ GM รวมกับ Nissan-Renault หวังสร้างอาณาจักรธุรกิจรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของโลกด้วยการประหยัดจากขนาด
แต่หลังจาก Rick Wagoner ประธาน GM ตัดสินใจปฏิเสธ Ghosn ทุกสิ่งทุกอย่างก็ดูเหมือนจะกลับตาลปัตรไปในทางเลวร้ายไปหมด ยอดขายของ Nissan ตกลงเนื่องจากมีรถรุ่นใหม่ออกน้อยมาก และ Ghosn พลาดเป้าหมายกำไรที่ตั้งไว้เป็นครั้งแรก
ในฉับพลันนั้น ชายผู้ได้ชื่อว่าเป็นผู้พลิกฟื้น ผู้เกิดในบราซิล เติบโตในเลบานอน และเรียนในปารีส ก็กลับคืนสู่สามัญ เขาเลิกไปงานมอเตอร์โชว์ ซึ่งเป็นของโปรดของเขาอย่างเด็ดขาด และประกาศว่าบริษัทกำลังประสบภาวะวิกฤติผลประกอบการ เขาเร่งนักออกแบบรถของบริษัทให้พัฒนารถรุ่นใหม่ๆ ที่ทั้งประหยัดน้ำมันและสวยงามเตะตา ก่อนจะชักมีดที่เคยทำให้เขาโด่งดังสุดขีดในญี่ปุ่น ตัดลดตำแหน่งงานไป 1,500 ตำแหน่ง
แต่หุ้นของ Nissan ก็ยังคงตกรูดอย่างต่อเนื่อง บรรดานักวิเคราะห์หุ้นที่เคยคลั่งไคล้ในตัว Ghosn ต่างสรุปว่า คนเพียงคนเดียวไม่อาจบริหารบริษัทรถยนต์ 2 แห่งที่อยู่ห่างไกลกันถึง 9,700 กิโลเมตรได้ และช่วงเวลารุ่งโรจน์ของ Ghosn ผ่านพ้นไปแล้ว
แต่ขณะนี้ดาราเพลงร็อกกำลังจะกลับมาประกาศศักดาอีกครั้ง รถรุ่นเล็กรุ่นใหม่ที่ประหยัดน้ำมันอย่าง Versa และ Rouge ทำให้ยอดขายของ Nissan ในสหรัฐฯ (ซึ่งมีสัดส่วน 60% ของผลกำไรของบริษัท) กระเตื้องขึ้นอีกครั้ง โดยเพิ่มขึ้น 6.1% ในเดือนที่แล้ว สวนทางกับตลาดรถยนต์โดยรวมที่ยอดขายตกลง 1.6% และผลกำไรเริ่มกลับคืนมา รายได้จากการดำเนินการของ Nissan พุ่งขึ้นเป็น 3.1 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสที่สิ้นสุดเดือนกันยายนปีที่แล้ว หรือเพิ่มขึ้น 5.3%
จากนั้น Ghosn ประกาศหน้าตาเฉยว่า Nissan ไม่เคยอยู่ในภาวะวิกฤติอย่างที่เขาเคยป่าวประกาศ ซึ่งเป็นเพียงการเล่นละครนิดๆ หน่อยๆ ของผู้บริหารเพื่อเรียกระดมพลเท่านั้น พร้อมกับยืนยันว่า Nissan นั้นก้าวพ้นวิกฤติมาตั้งแต่ช่วงปี 1999-2000 แล้ว
ช่วงเวลานั้นก็คือช่วงที่ Ghosn กำลังผ่าตัด Nissan-Renault ซึ่งนับเป็นการรวมกิจการที่ประสบความสำเร็จที่สุดครั้งหนึ่งในอุตสาหกรรมรถยนต์ ขณะที่ Daimler ทิ้ง Chrysler ไปแล้ว และ Ford ก็กำลังแตกหักกับ Jaguar แต่ Nissan-Renault ยังกอดกันแน่นเพราะไม่มีใครเป็นเจ้าของอีกฝ่ายอย่างเด็ดขาด แต่ใช้วิธีแบ่งหุ้นกันและร่วมกันพัฒนารถยนต์และโรงงานผลิตรถ ซึ่งเป็นรูปแบบความร่วมมือที่ยังคงให้อิสระแก่ทั้ง 2 ฝ่าย แต่ขณะเดียวกันก็สามารถช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายร่วมกันได้ถึงหลายพันล้าน ทำให้ Nissan-Renault สามารถสร้างผลกำไรได้มากที่สุดบริษัทหนึ่งในอุตสาหกรรมรถยนต์
อย่างไรก็ตาม Detroit อุตสาหกรรมรถยนต์ของสหรัฐฯ ยังคงไม่สนใจที่จะจับมือกับ Ghosn อย่างเช่น Allan Mulally CEO ของ Ford กล่าวว่า การรวมกับบริษัทอื่นรังแต่จะสร้างความไขว้เขว
แต่ Ghosn เองกลับยังคงตั้งใจที่จะจับมือกับผู้ผลิตรถยนต์อเมริกัน เพื่อเติมเต็มแผนการสร้างพันธมิตรระดับโลกของเขา เขามั่นใจว่า ค่าใช้จ่ายในการสร้างรถไฮเทคที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (green car) จะทำให้ Detroit ต้องเปลี่ยนใจหันมาจับมือกับเขาในที่สุด
ในการพบกับนักวิเคราะห์ที่งาน LA Auto Show เมื่อไม่นานมานี้ Ghosn ย้ำความสำเร็จในยอดขายรถขนาดเล็กของ Nissan และบอกใบ้ว่าเขาอาจจะเลิกผลิตรถบรรทุก Titan ซึ่งยอดขายชะลอตัวลง โดยกล่าวว่า แม้จะเป็นรถที่บริษัทผลิตมานาน แต่เมื่อไม่สามารถทำกำไรได้ ก็ต้องโละทิ้ง หลังจากนั้น นักวิเคราะห์บางคนปรับการจัดอันดับหุ้น Nissan จากเฉยๆ เป็นควรซื้อ และยอมรับว่า Ghosn กลับมาแล้ว อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ชี้ว่า เขาไม่ได้กลับมาในฐานะวีรบุรุษผู้พิชิต หากแต่กลับมาเพื่อพิสูจน์ตัวเองอีกครั้ง
เพราะ Ghosn ยังมีงานหนักอีกมากมายรออยู่ เช่นเดียวกับ Detroit ซึ่งกำลังพยายามตามให้ทัน Toyota ในการแข่งขันกันพัฒนา green car แม้ว่า Ghosn จะเพิ่งเปิดตัว Nissan Altima รุ่นเครื่องยนต์ลูกผสมที่ใช้ได้ทั้งน้ำมันและไฟฟ้า แต่เขายังคงไม่ชอบใจต้นทุนในการพัฒนารถลูกผสมที่แพง ซึ่งทำให้ทำกำไรยากและน้อย เดิมพันใหญ่ของ Ghosn คือรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก ซึ่งเขากะจะอวดโฉมภายในปี 2011 พร้อมแสดงวิสัยทัศน์ของเขาว่า สำหรับรถยนต์ในเมืองคำตอบคือรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งต่างจากรถลูกผสมที่ต้องใช้เครื่องยนต์คู่ที่ใช้เทคโนโลยีที่สลับซับซ้อนและยุ่งยาก รถที่ใช้ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวมีศักยภาพในการทำกำไรสูงกว่า
Nissan กำลังจับมือกับ NEC ผู้ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของญี่ปุ่น พัฒนาแบตเตอรี่ที่ทำจาก Lithium ion ซึ่งจะทำให้รถยนต์แล่นได้ 120 กิโลเมตรต่อการชาร์จแบตหนึ่งครั้ง และใช้เวลาชาร์จแบตเพียง 1 ชั่วโมง ด้วยราคาน้ำมัน 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลอย่างในขณะนี้ ทำให้ Ghosn ยิ่งเชื่อมั่นว่า ควรผลิตรถยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมให้มากขึ้น
Ghosn ยังจับมือเป็นพันธมิตรอย่างไม่คาดฝันกับ Bajaj ผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ของอินเดีย เพื่อสร้างรถยนต์ราคาถูกพิเศษคันละ 3,000 ดอลลาร์ สำหรับขายในประเทศกำลังพัฒนาโดยเฉพาะ พร้อมกับคุยย้ำว่า การพลิกฟื้น Nissan ด้วยฝีมือของเขาในปี 2000 นั้น เป็นการพลิกฟื้นบริษัทที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของอุตสาหกรรมรถยนต์ และเขาจะไม่มีวันปล่อยให้ใครหรือสิ่งใดมาพรากบริษัทนี้ไปจากเขา
Ghosn อาจประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ แต่หากต้องการจะเป็นดาวค้างฟ้าอย่าง Jack Welch ผู้เป็นตำนานของ GE เส้นทางนี้ยังอยู่อีกยาวไกล และนั่นก็คือเหตุผลที่ทำให้ Ghosn ออกเดินทางอีกครั้ง เพื่อพิสูจน์ตัวเองว่า เขามิได้เป็นเพียงดาราเพลงร็อกที่โด่งดังเป็นพลุแล้วดับวูบไป
เสาวนีย์ พิสิฐานุสรณ์ แปลและเรียบเรียง
นิวสวีค 17 ธันวาคม 2550
|
|
|
|
|