|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
อุตสาหกรรมปิโตรเคมีปี 51 สดใสหลังราคาน้ำมันดิบพุ่งหนุนราคาแนฟธาและเม็ดพลาสติกพุ่งตาม มั่นใจตลาดปิโตรเคมีไทยไม่กระทบแม้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐหดตัวลง เนื่องจากดีมานด์ในประเทศน่าจะขยายตัวหลังมีรัฐบาลใหม่จากการเลือกตั้ง ทำให้นักลงทุนเกิดความเชื่อมั่น
นายอดิเทพ พิศาลบุตร์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.เคมิคอล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ทิศทางอุตสาหกรรมปิโตรเคมีปี 2551 ดีอยู่ต่อเนื่องจากปีนี้ ถ้าราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกอยู่ที่ระดับ 80 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จะทำให้กลุ่มประเทศผู้ผลิตปิโตรเคมีในตะวันออกไกลอย่างจีน ไต้หวันและญี่ปุ่นที่ใช้วัตถุดิบจากแนฟธามีราคาสูงประมาณ 800 เหรียญสหรัฐ/ตัน ส่งผลให้ราคาเม็ดพลาสติกHDPE เฉลี่ยอยู่ที่ 1,200 เหรียญสหรัฐ/ตัน และโมโนเอทิลีนไกลคอล (MEG)อยู่ที่ 1,200-1,300 เหรียญสหรัฐ/ตัน จากปัจจุบันราคาอยู่ที่ 1,400-1,500 เหรียญสหรัฐ/ตัน
จากราคาเม็ดพลาสติกที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมันดังกล่าว ทำให้แนวโน้มราคาสินค้าที่ใช้พลาสติกเป็นวัตถุดิบมีแนวโน้มปรับราคาเพิ่มขึ้น โอกาสที่ราคาสินค้าจะต่ำเหมือนเมื่อ 4-5 ปีที่แล้วคงเป็นไปไม่ได้ ส่วนเศรษฐกิจสหรัฐที่มีแนวโน้มลดลงนั้นเชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมปิโตรเคมีมากนัก เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังมีการขยายตัวดีอยู่และกำลังการผลิตปิโตรเคมีในตะวันออกกลางที่จะเพิ่มขึ้นในปีหน้าอีก 2 ล้านตัน มีแนวโน้มที่จะล่าช้าออกไปทำให้ปริมาณกำลังการผลิต และความต้องการใช้อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน
ทั้งนี้ คาดว่าแนวโน้มราคาปิโตรเคมีน่าจะอยู่ในช่วงขาลงปี 2552 เนื่องจากมีกำลังการผลิตเม็ดพลาสติกจากตะวันออกกลางเข้ามามากทำให้เกิดโอเวอร์ซัปพลายประมาณ 1-2 ล้านตัน แต่คงต้องจับตาอย่างใกล้ชิดว่าจะมีการเลื่อนโครงการอีกหรือไม่
“ หากเศรษฐกิจสหรัฐลดลง ทำให้ความต้องการใช้ปิโตรเคมีลดลง และโรงงานปิโตรเคมีในตะวันออกกลางหากเดินเครื่องผลิตได้ จะทำให้เกิดโอเวอร์ซัปพลาย แต่บริษัทฯจะยังสามารถเดินเครื่องจักรผลิตได้เต็มที่ เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบ คือก๊าซธรรมชาติที่มีราคาต่ำกว่าแนฟธา ทำให้ยังสามารถแข่งขันในตลาดได้ แต่ผู้ผลิตในประเทศตะวันออกไกลจะต้องลดกำลังการผลิตลงเพราะต้นทุนสูงสู้คู่แข่งไม่ได้”นายอดิเทพกล่าว
ส่วนแนวโน้มความต้องการใช้ปิโตรเคมีในไทยคาดว่าจะเติบโตเพิ่มขึ้นตามการขยายตัวทางGDP หลังจากมีรัฐบาลใหม่จากการเลือกตั้ง ทำให้นักลงทุนเกิดความเชื่อมั่น หากGDPเติบโต 4% ความต้องการใช้เม็ดพลาสติกจะเพิ่มขึ้นเป็น 5%
“ปีหน้าคาดว่าความต้องการใช้เม็ดพลาสติกจะขยายตัวสูงขึ้นกว่าปีนี้ ขณะที่ปริมาณกำลังการผลิตส่วนเพิ่มของบริษัทจะเริ่มเข้ามาในปลายปี 2551 ทำให้ต้องลดการส่งออกเม็ดพลาสติกลงจากเดิมที่เคยส่งออกถึง 50%ของกำลังการผลิต เหลือไม่ถึงกึ่งหนึ่งเพื่อส่งออก โดยตลาดส่งออกหลัก คือจีน คิดเป็น 25%ของการส่งออก”
ปีหน้าบริษัทฯคาดว่าจะมีรายได้รวม 8 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีนี้ที่คาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 7 หมื่นล้านบาท
วานนี้ (25 ธ.ค.) บริษัทปตท.เคมิคอล จำกัด (มหาชน) บริษัท ทีโอซี ไกลคอล จำกัดซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มปตท.เคมิคอล ได้ลงนามสัญญาสนับสนุนโครงการวิจัยการพัฒนาสิ่งแวดล้อมแหลมผักเบี้ยอันเนื่องมาจากพระราชดำริภายใต้การดูแลของมูลนิธิชัยพัฒนา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นวงเงิน 30 ล้านบาท โดยจะอาศัยหลักธรรมชาติช่วยธรรมชาติในการบำบัดน้ำเสียจากโรงงานเอทิลีนออกไซด์และเอทิลีนไกลคอล แล้วนำองค์ความรู้ดังกล่าวไปใช้ในอุตสาหกรรมอื่นๆต่อไป
|
|
|
|
|