|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
บิ๊กกานดา พร็อพเพอร์ตี้ฯถึงเวลา เคลื่อนการลงทุนนอกโซนพระราม 2 หลังสามารถยึดฐานลูกค้าได้ทุกกลุ่มไล่ตั้งแต่ 1.2-10 ล้านบาท เปรยโซนบางบัวทองเหมาะสมในการเข้าไปลงทุนโครงการใหม่ อาจจะเป็นโครงการทาวน์เฮาส์ พร้อมเดินหน้ากลยุทธ์คุมต้นทุน เพิ่มรอบหมุนเวียนของการสร้างและขายบ้าน ชูระบบพรีแฟบสร้างบ้านทุกโครงการของบริษัท เล็งขยายความร่วมมือสู่โครงการอื่น ระบุมีสินค้าที่สามารถขายได้มีมูลค่าประมาณ 2,000 ล้านบาท ยันปีหน้า ยอดขายไม่ต่ำกว่า 750 ล้านบาท
นายอิสระ บุญยัง กรรมการผู้จัดการบริษัท กานดา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2551 ว่า ในปีหน้า ตัวแปรที่เป็นปัจจัยลบต่อภาพรวมเศรษฐกิจค่อนข้างนิ่ง โดยสัญญาณดังกล่าวเริ่มมีตัวเลขที่ดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ต่อเนื่องถึงปัจจุบัน ทั้งเรื่องของการส่งออกที่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีการหาตลาดส่งออกใหม่ๆเข้ามาเสริมและทดแทนตลาดหลักอย่างสหรัฐอเมริการ เป็นต้น ขณะที่ภาวะอัตราดอกเบี้ยทรงตัว แม้จะเกิดเงินเฟ้อมากขึ้น เนื่องจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นแต่ด้วยค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ทำให้การนำเข้าน้ำมันไม่สูงมาก นอกจากนี้ การที่อัตราเงินเฟ้อไม่สูงขึ้นมาก ก็ไม่ได้เป็นปัจจัยกดดันต่อทิศทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ยิ่งในภาวะที่ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)มีสัญญาณจะปรับลดดอกเบี้ยลง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ จะช่วยผ่อนคลายความกดดันต่อทิศทางดอกเบี้ยของไทยได้
"ปีหน้าตัวแปรทุกอย่างนิ่ง แต่ที่ยังไม่เห็นคือ รัฐบาลใหม่ยังไม่ชัดเจน แต่สุดท้ายแล้วในอนาคตหากมีรัฐบาลขึ้นมาแล้ว จะด่ากันบ้าง ก็ไม่เป็นไร ขออย่างเดียวอย่าเกิดความวุ่นวายทางการเมืองก็พอแล้ว " นายอิสระกล่าว
ในส่วนของทิศทางธุรกิจของบริษัทกานดาฯนั้น กรรมการผู้จัดการว่า แม้ปัจจุบันโครงการของบริษัทจะอยู่ในโซนพระราม 2 มีโครงการที่หลากหลากที่สามารถตอบสนองความต้องการกลุ่มลูกค้าได้ทุกระดับ เนื่องจากสินค้าที่อยู่อาศัยของบริษัทฯมีตั้งแต่ 1.2 ไปจนถึง 10 ล้านบาท ทำให้สามารถรองรับความต้องการของลูกค้าได้กว้างและมาก นอกจากนี้ ยังมีแผนลงทุนในเฟสต่อเนื่องใน 4 โครงการที่เปิดการขายอยู่ ใช้งบลงทุนประมาณ 600 ล้านบาท ทั้งนี้บริษัทมีโครงการที่จะขายได้ประมาณ 2,200 ล้านบาท ทั้งนี้ แนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทในปีนี้ คาดว่ามียอดขายประมาณ 700 ล้านบาท รับรู้รายได้ประมาณ 500 ล้านบาท และคาดว่าปี 2551 จะมียอดขายมากกว่า 750 ล้านบาท
"ด้วยความเชี่ยวชาญและชำนาญตลาดในโซนพระราม 2 การมีสินค้าที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้ทุกระดับราคา แต่การหาช่องทางการตลาดใหม่ๆนั้น เป็นเรื่องที่บริษัทต้องส่องหาทำเลใหม่ นั้นคือแผนที่จะลงทุนนอกเหนือไปจากทำเลย่านพระราม 2 จึงอยู่ระหว่างการศึกษาพื้นที่โซนอื่น ๆ สำหรับการขยายทำเลการลงทุนในครั้งนี้ จะมุ่งการทำตลาดทาวน์เฮาส์ระดับราคากลาง โดยนำระบบก่อสร้างสำเร็จรูป หรือ พรีแฟบ ซึ่งเป็นจุดแข็งของบริษัทให้เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของลูกค้าในย่านนั้น ๆ โดยจะเป็นแบรนด์ที่บริษัทพัฒนาอยู่ในโซนพระราม2 อยู่แล้ว เพียงแต่บริษัทจะมุ่งลูกค้าเป้าหมายกลุ่มไหน อย่างไรก็ตาม ต้องถือว่าที่อยู่อาศัยโซนบางบัวทองยังมีแนวโน้มเติบโต ซึ่งการจะเข้าไปลงทุนในโซนนี้ เรื่องของปัจจัยรถไฟฟ้าเป็นประเด็นที่ทางบริษัทพิจารณาเหมือนกัน " นายอิสระกล่าว
ทั้งนี้ โครงการที่บริษัทเปิดการขายอยู่ เช่น ทาวน์เฮาส์ในแบรนด์เฟิร์สโฮม ระดับราคา 1 ล้านบาทเศษ , ทาวน์เฮาส์บ้านริมคลอง ระดับราคา 1.6 ล้านบาทเศษ , บ้านเดี่ยวกานดาพาร์ค ระดับราคา 2 ล้านบาทขึ้น และโครงการสยามเนเชอรัลโฮม ระดับราคา 4 ล้านบาทขึ้น
นายอิสระกล่าวว่า เพื่อการผลักดันให้การบริหารธุรกิจ โครงการ ลูกค้า และสถาบันการเงินให้เกิดความประสิทธิภาพสูงสุดนั้น ในปี 2551 ทางบริษัทจะขยายการใช้ระบบก่อสร้างสำเร็จรูป (พรีแฟบ) ในโครงการบ้านจัดสรรของบริษัทครอบคลุมในทุกโครงการ เพื่อลดต้นทุนการบริหารจัดการ ทั้งด้านงบประมาณ ระยะเวลาในการก่อสร้าง ขณะเดียวกันสามารถเพิ่มระดับคุณภาพความแข็งแรงของโครงสร้างได้ดีกว่าการก่อสร้างด้วยระบบเดิม ทั้งยังส่งผลให้ลูกค้าสามารถซื้อบ้านที่มีคุณภาพในราคาคงที่ แม้ว่าวัสดุก่อสร้างอื่น ๆ และราคาน้ำมัน ยังขยับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะการนำระบบพรีแฟบมาใช้จะช่วยลดต้นทุนการผลิตได้ประมาณ 5 %
นอกจากนี้ ยังทำให้เกิดสภาพคล่องทางการเงินของบริษัทมากขึ้นด้วย เนื่องจากสามารถควบคุมต้นทุนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนการวางแผนบริหารจัดการ ทั้งค่าใช้จ่าย ในการผลิต การจ้างแรงงาน ระยะเวลาการดำเนินงานได้อย่างแม่นยำ คาดว่าการนำระบบพรีแฟบมาใช้นี้จะช่วยให้สัดส่วนหนี้สินต่อทุนที่อยู่ในอัตรา 1 : 1 :ซึ่งมีความเสี่ยงน้อยกว่าในช่วงที่ผ่านมา
“ เราจะใช้พรีแฟบปูพรมก่อสร้างทุกโครงการของบริษัท โดยที่บ้านจะมีคุณภาพสูงขึ้น แต่ราคาคงที่ บริษัทจึงมั่นใจว่ากระแสการตอบรับระบบพรีแฟบของลูกค้า จะมีแนวโน้มที่ดีอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ การวิเคราะห์จากความรู้ ความเข้าใจและความพึงพอใจของลูกค้ามีต่อการเพิ่มมาตรฐานในการก่อสร้างของบริษัท พร้อมกับปัจจัยด้านราคาที่ไม่ได้ขยับขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจเมื่อเทียบกับคู่แข่งอื่น ๆ ในย่านเดียวกัน ” นายอิสระ กล่าว
|
|
|
|
|