Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ มิถุนายน 2546








 
นิตยสารผู้จัดการ มิถุนายน 2546
ศุภกัญญา วิเศษภักดี AJF ต้อง 5 พันล้านบาทจึงชนะ             
โดย ฐิติเมธ โภคชัย
 


   
search resources

อยุธยาเจเอฟ, บลจ.
ศุภกัญญา วิเศษภักดี




เป้าหมายภายใน 3 ปีข้างหน้านับจากนี้ ในฐานะหัวหน้าส่วนกองทุนหุ้นก็คือ ต้องการให้กองทุนหุ้น AJF มีสินทรัพย์สุทธิ ถึง 5,000 ล้านบาท เพราะปัจจุบันอยู่ที่ 3,000 กว่าล้าน ซึ่งเป็นเป้าที่เราต้องทำให้ถึง นั่นคือคำกล่าวอย่างมุ่งมั่นของ ศุภกัญญา วิเศษภักดี หัวหน้าฝ่ายบริหาร กองทุนตราสารทุน บลจ.อยุธยาเจเอฟ

ขอบข่ายงานของเธอคือการทำหน้าที่บริหารกองทุนที่เป็นหุ้นทั้งหมดจากที่ดูแลเพียง 1 กองทุนในปี 2540 ด้วยมูลค่าทรัพย์สิน เพียง 250 ล้านบาท ด้วยเวลาเพียง 6 ปี ปัจจุบันเธอบริหารทั้งหมด 10 กองทุน มูลค่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้นเป็นถึง 3,000 กว่าล้านบาท และเป้าหมายต่อไป ก็คือ 5,000 ล้านบาท ในปี 2548

ศุภกัญญา ให้ความเห็นถึงแนวโน้มของธุรกิจกองทุนหุ้นในช่วงนี้ว่าเป็นช่วงขาขึ้นของตลาดยิ่งดอกเบี้ยลดต่ำมาก เงินก็จะไหลเข้ามาในตลาดกองทุนและตราสารต่างๆ ซึ่งที่จริงแล้วดัชนีตลาดหุ้นไทยเมื่อปีที่ผ่านมาโตขึ้นมากเป็นอันดับ 3 ของตลาดจากทั่วโลก คือสามารถโตถึง 17% แต่ในส่วนของกองทุนของ AJF เติบโตชนะตลาด คือทำได้ถึง 40% และในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้สภาพตลาดโตขึ้นแล้วเกือบ 3% ซึ่งดีกว่าหลายตลาดในย่านเอเชียด้วย

ขณะที่ตลาดดาวโจนส์อยู่ในช่วงขาลงแต่ตลาดหุ้นไทยปรับตัว ขึ้น ซึ่งตลาดหุ้นจะสะท้อนภาพเศรษฐกิจของประเทศนั้นๆ ได้ล่วงหน้า อย่างน้อย 6-12 เดือน สำหรับแนวโน้มการเติบโตของตลาดหุ้นไทยปีนี้คาดว่าน่าจะโตไม่น้อยกว่า 10-15% เพราะปีนี้เศรษฐกิจทั่วโลกดูย่ำแย่กว่าปีที่ผ่านมา

"ไม่เกี่ยวกับสงครามอิรักเพราะมันเป็นระยะสั้นซึ่งจบไปแล้ว แต่เศรษฐกิจยุโรป อเมริกา ก็แย่มาก ของญี่ปุ่นก็ไม่ค่อยดี โดยภาพรวมของเศรษฐกิจโลกถือว่าอยู่ในภาวะที่อ่อนแอมาก ถ้าดัชนีตลาดปีนี้ให้ผลตอบแทน 10-15% ถือว่าปี 2543 โต 13% ปีถัดมาโต 17% เมื่อก่อนตลาดหุ้นไทย ต่างชาติไม่ค่อยมองเพราะเป็นตลาดที่เล็ก แต่ตอนนี้คนเริ่มหันมามอง"

เธอกล่าวต่อไปว่า หุ้นกลุ่มที่น่าสนใจ ในช่วงนี้เธอให้ความเห็นว่าที่ดูมีอนาคต น่าจะเป็นหุ้นในกลุ่มพลังงาน ประกันภัย สื่อสาร วัสดุก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์และกลุ่มบันเทิง ปีนี้พื้นฐานหุ้นไทยยังน่าสนใจ ส่วนปีที่แล้ว จีดีพีของไทยโตเป็นที่ 2 ของเอเชีย คือ 5.2%

"ปีนี้ถ้าโตถึง 5% ก็ดีมาก แต่รัฐบาล คาดว่าเราจะโตถึง 6% ซึ่งบริษัทจดทะเบียน ในตลาดหุ้นไทยก็ทำกำไรกันอย่างต่อเนื่อง ปันผลก็ดีหลายๆ บริษัทปันผลเกิน 10% แม้ในหุ้นกลุ่มที่เคยซบเซามานาน รวมทั้ง P/E ของตลาดก็ไม่แพง ดังนั้นก็เหลือแต่เวลาที่สภาพคล่องจะย้ายจากที่อื่นมาเข้าตลาดเท่านั้น ส่วนกองทุนของ AJF จะโตแค่ไหนนั้นไม่อยากกำหนดเป็นตัวเลขเพียงแต่ให้โตชนะตลาดก็พอ รวมทั้งชนะคู่แข่ง ซึ่งกองทุนของเราจะต้องติด 1 ใน 3 ของตลาดรวมให้ได้"

ศุภกัญญา ให้ทัศนะต่อไปว่าสำหรับผู้ที่สนใจเล่นหุ้นถ้ามีเวลาควรจะเล่นเอง เพราะจะได้มีเวลาเกาะติดและความที่เป็นรายย่อยจะมีความคล่องตัวมากกว่า แต่ถ้าไม่มีเวลาก็อย่าเสี่ยงเพราะตลาดหุ้นเป็นอะไรที่ต้องเกาะติด

"อย่างคนที่มาซื้อหุ้นกองทุนเขาจะมีความรู้เรื่องหุ้นดีอยู่แล้วแต่ไม่มีเวลาไปดูแลใกล้ชิดเท่านั้น ซึ่งบริษัทจะไม่มีนโยบาย ขายกองทุนหุ้นแบบยัดเยียดคือจะให้ข้อมูล แล้วเขาตัดสินใจเอง โดยจะบอกถึงข้อดีข้อเสียและแนะนำว่าสัดส่วนการลงทุนในหุ้นควรเป็นเท่าไร ในตราสารเป็นเท่าไรแล้วถามว่าเขาพร้อมรับความเสี่ยงไหม ลูกค้าจะแฮปปี้ เมื่อเกิดอะไรขึ้นเขาจะรู้ว่าสภาพตลาดเป็นอย่างไร แต่โดยนโยบายของกองทุน AJF จะไม่เล่นหุ้นที่หวือหวามาก แต่จะซื้อหุ้นที่มีปันผลดี อัตราการเติบโตพอใช้ได้ ซึ่งผลตอบแทนก็สูงกว่าดอกเบี้ยอยู่แล้ว อย่างเช่น หุ้นของบริษัทประกันฯ หลายตัวปันผลดีมาก"

โดยชีวิตส่วนตัวของศุภกัญญา จบปริญญาตรี จากมหาวิทยาลัยทัฟท์ส์ สหรัฐอเมริกา ทางด้านวิทยาศาสตร์ เอกชีววิทยา ด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง หลังจากจบการศึกษาแล้ว เธอได้ทำงานกับมูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่าและพรรณพืชแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ใน ปี 2533 มีหน้าที่จัดหาทุนให้กับมูลนิธิอยู่ 2 ปี หลังจากนั้นได้ศึกษาต่อระดับปริญญาโท เกียรตินิยม ทางด้านการเงินที่สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ จุฬาลงกรณ์

ศุภกัญญาเริ่มทำงานเป็นนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ที่สวิสแบงก์ ต่อมาเป็น ผู้จัดการฝ่ายลูกค้าสถาบันที่บริษัทหลักทรัพย์เอกเอเซีย และย้ายมาอยู่ที่บริษัทหลักทรัพย์โนบูระ โดยดูแลลูกค้าสถาบันต่างประเทศ จนล่าสุดที่ AJF ซึ่งเป็นงาน ที่เธอภูมิใจมากในฐานะหนึ่งในทีมงาน ผู้บุกเบิกที่สามารถสร้างความเติบโตในสินทรัพย์ภายใต้การจัดการลงทุน จากจุดเริ่มต้นเพียง 100 กว่าล้านบาทมาเป็น 42,000 กว่าล้านบาทในปัจจุบัน

เธอให้ความเห็นว่า การเป็นนักวิเคราะห์กับมาเป็นผู้บริหารกองทุนก็แตกต่างกัน การเป็นโบรกเกอร์จะแนะนำการซื้อขายแล้วจบไปในแต่ละวัน ความกดดันอาจจะมีบ้างอยู่ที่วอลุ่ม แต่มาเป็นผู้บริหาร กองทุนก็กดดันไปอีกแบบเป็นเรื่องของผลการดำเนินงานเพราะต้องบริหารเงินของลูกค้าให้ได้ผลประโยชน์สูงสุด ความเครียด จึงมีต่อเนื่อง บางครั้งหัวจะถึงหมอนอยู่แล้ว แต่สมองยังคิดอยู่เลยว่าพรุ่งนี้จะซื้อหุ้นตัวไหนดี ยิ่งหน้าที่การงานโตขึ้น ปัญหาที่ต้อง เผชิญก็มากขึ้นเช่นกัน

จนวันหนึ่งเธอเริ่มมีคำถามกับตัวเอง ว่าทำไมชีวิตจึงเร่งรีบถึงเพียงนั้น เริ่มรู้สึกต้องทำใจให้นิ่ง และเธอเริ่มนำธรรมะมาใช้ ในชีวิตการทำงาน โดยไปนั่งวิปัสสนากรรมฐานที่ยุวพุทธฯ และที่วัดอัมพวัน สิงห์บุรีและพบว่านั่นเป็นทางออกที่ดี ทำให้ชีวิตมีความสมดุลมากขึ้นทั้งศีล สมาธิ และปัญญา ที่นำไปสู่ชีวิตและการงานที่มั่นคงแข็งแรงแท้จริง

 

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us