|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
 |
"ปกรณ์" โอดคดีปตท.ฉุดมาร์เกตแคปตลาดรวมหาย 4 แสนล้าน ขณะที่ปตท.รูด 1.4 แสนล้านบาท จี้ใช้บรรทัดฐานการตัดสินคดีปตท.เป็นมาตรฐานในการแปรรูปรัฐวิสาหกิจอื่นๆในอนาคต ประกาศปีหน้าลุยเพิ่มสินค้าใหม่เพิ่มทางเลือก ด้านนายกสมาคมบลจ.ครวญคดีปตท.ทำให้วงการกองทุนปั่นป่วน ระบุเตรียมหารือก.ล.ต.อีกครั้งเพื่อหาแนวทางที่ชัดเจนรับมือการสั่งห้ามซื้อหุ้นเหตุกระทบการคำนวณทรัพย์สินกองทุน ขณะที่โบรกเกอร์ชี้นักลงทุนห่วงปัญหาการเมืองระอุหลังโพลล์ชี้การเมืองเก่ามีสิทธิตั้งรัฐบาล
ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวานนี้ (20 ธ.ค.) ดัชนียังปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องจากผลกระทบคดีบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ทำให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นไทย บวกกับผลการสำรวจผลการเลือกตั้งที่หลายสำนักระบุว่ พรรคพลังประชาชน ซึ่งเป็นกลุ่มอำนาจเก่าจะได้รับเลือกตั้งในฐานะพรรคอันดับ 1 ได้สร้างความกังวลว่าอาจจะเกิดปัญหาความรุนแรงตามมา แม้ว่าจากสถิติที่ผ่านมาก่อนการเลือกตั้งดัชนีตลาดหุ้นจะปรับเพิ่มขึ้นก็ตาม โดยดัชนีปรับตัวลดลงมาปิดที่ 791.71 จุด ลดลง 13.27 จุด หรือ 1.65% โดยจุดสูงสุดของวันอยู่ที่ 807.38 จุดและจุดต่ำสุดอยู่ที่ 790.87 จุด มูลค่าการซื้อขาย 13,360.57 ล้านบาท
ทั้งนี้ ราคาหุ้น PTT ยังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่องตั้งแต่ตลาดหลักทรัพย์ฯ อนุญาตให้ซื้อขายได้อีกครั้ง โดยปิดที่ 330 บาท ลดลงจากวันก่อน 10 บาท หรือ 2.94% มูลค่าการซื้อขายรวม 2,809.75 ล้านบาท ทำให้ราคาหุ้น PTT ร่วงติดต่อกัน 3 วันรวม 38 บาท โดยวานนี้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,512.37 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 593.93 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 1,918.44 ล้านบาท
นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า คำตัดสินคดีปตท. ควรจะถูกใช้เป็นบรรทัดฐานและกรอบในการแปรรูปรัฐวิสาหกิจอื่นๆ ที่เตรียมจะเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เนื่องจากคำตัดสินอยู่บนมาตรฐานของความโปร่งใสและความยุติธรรมกับทุกฝ่าย
"แม้ว่าคำตัดสินที่ออกมาจะถือว่าสิ้นสุด แต่นักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศอาจจะยังไม่มั่นใจต่อปัญหาที่จะตามมาไม่ว่าจะเป็นการคิดค่าเช่าจากการใช้ท่อก๊าซซึ่งอาจจะสูงกว่า 5% ตามที่มีการคาดการณ์ไว้ ซึ่งหากต้องจ่ายค่าเช่าสูงกว่า 5% ตัวเลขที่ชัดเจนว่าควรเป็นเท่าใดในขณะนี้ก็ยังไม่สามารถตอบได้จึงทำให้เรื่องดังกล่าวถือว่าเป็นความเสี่ยงในการลงทุน"
สำหรับผลกระทบจากกรณีปตท.หากคิดตั้งแต่วันที่ 30 พ.ย.ซึ่งเป็นวันที่ศาลรับคำร้อง มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เกตแคป) ปรับตัวลดลงแล้ว 1.4 แสนล้านบาท และทำให้ส่งผลกระทบต่อมาร์เกตแคปรวม 4 แสนล้านบาท แต่หากคำนวณจากวันที่ 14 ธ.ค.ซึ่งเป็นวันที่ศาลมีคำตัดสินมาร์เกตแคปของปตท.ลดลง 1.07 แสนล้านบาท ขณะที่ตลาดรวมลดลงถึง 3.6 แสนล้านบาท
ส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นนักลงทุนควรจะพิจารณาถึงปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก รวมทั้งจะต้องประเมินถึงความเสี่ยงจากเรื่องอื่นๆประกอบด้วย แต่หากจะพิจารณาถึงแนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในปีหน้าที่คากว่ากำไรบริษัทจดทะเบียนจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 14-15% ถือว่าเป็นข่าวที่ดีต่อการลงทุน
นอกจากนี้ ในปีหน้าตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเน้นการเพิ่มสินค้าเพื่อเพิ่มทางเลือกให้นักลงทุน ไม่ว่าจะเป็น ดัชนีฟุซซี่ 6 ประเภท ซึ่งประเภทแรกที่จะนำเสนอกับนักลงทุนจะเกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2551 โดยเป็นดัชนีที่อ้างอิงหุ้นพื้นฐานขนาดใหญ่และจะมีดัชนีที่อ้างอิงหุ้นขนาดเล็กตามมา รวมทั้งยังมี Stock Options ซึ่งเป็นที่นิยมในต่างประเทศออกอีก 35 รายการ และยังมี ETF ที่จะอ้างอิงกับดัชนีหลักทรัพย์อื่นนอกเหนือจาก SET50 ส่วนในระยะยาวก็อาจจะมีสินค้าประเภทที่แปลกใหม่เพิ่มขึ้นเสมือนการซื้อหุ้นต่างประเทศโดยตรงอีกโดยอยู่ระหว่างการศึกษา
กังวลอำนาจเก่าตั้งรัฐบาล
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า ปกติแล้วในช่วงที่ใกล้เลือกตั้งตลาดหุ้นจะปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ขณะนี้ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงนั้นเนื่องจากการสำรวจประชามติที่ออกมาพบว่าพรรคพลังประชาชน ซึ่งเป็นกลุ่มรัฐบาลเดิมจะกลับมาใหม่ซึ่งกังวลว่าจะเกิดปัญหาความมั่นคงการเมือง จึงทำให้นักลงทุนต่างประเทศและนักลงทุนไทยไม่มีความมั่นใจที่จะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย
นอกจากนี้ กรณีเรื่องของปตท.นั้นทำให้นักลงทุนต่างประเทศขาดความเชื่อมั่นเกี่ยวกับนโยบายภาครัฐที่มีการเปลี่ยนแปลงไปมา แม้ปตท.จะเข้าจดทะเบียนมาในตลาดหุ้นแล้วเป็นเวลา 5-6 ปี แล้วก็ตาม จึงส่งผลทำให้ภาพพจน์ของประเทศไทยไม่ค่อยดีต่อไปอีก 6 เดือน
สำหรับในปีนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยถือว่ามีความผันผวนสูงถึง 300 จุด ซึ่งสูงเป็นประวัติการณ์ ในรอบ 5 ปีที่ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงและปรับตัวลดลงมาสู่จุดต่ำสุด ซึ่งปัจจัยหลักที่ตลาดหุ้นผันผวนสูงเกิดจากปัจจัยราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น และปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์คุณภาพต่ำของสหรัฐฯ (ซัพไพรม์) และปัจจัยทางการเมือง
กองทุนป่วนคำนวณNAVไม่ได้
นายมาริษ ท่าราบ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไอเอ็นจี ประเทศไทย จำกัด ในฐานะนายกสมาคมบลจ. เปิดเผยว่า คดีการพิจารณาการแปรรูปบมจ.ปตท. ถือว่าสร้างความปั่นปวนให้กับวงการบลจ.ค่อนข้างมาก หลังจากการขึ้นเครื่องหมายห้ามซื้อขายหลักทรัพย์ชั่วคราวจนส่งผลทำให้กองทุนต่างๆที่พอร์ตลงทุนมีหุ้น PTT ไม่สามารถคำนวณมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ (NAV) ได้
ทั้งนี้ ผลจากเรื่องดังกล่าวทำให้ไม่สามารถจ่ายคืนเงินลงทุนที่นักลงทุนไถ่ถอนหน่วนลงทุนได้ซึ่งกองทุนบางแห่งได้สั่งหยุดการซื้อขายหน่วยลงทุนใหม่ชั่วคราว โดยในเรื่องดังกล่าวหลังจากหารือระหว่างสมาคมบลจ.กับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้สรุปแนวทางในการแก้ปัญหาด้วยการจ่ายคืนเงินบางส่วนโดยให้ตัดส่วนที่ถือครองหุ้น PTT ออกไปก่อนจนกว่าจะหาราคาปิดที่แท้จริงได้ซึ่งถือว่าเป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม จากปัญหาที่เกิดขึ้นทำให้สมาคมอาจจะต้องมีการหารือกับก.ล.ต.เพิ่มเติมเพื่อร่วมกำหนดแนวทางที่ชัดเจนรองรับสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นได้อีกในอนาคต
"คดีปตท.สร้างความปั่นปวนทั่ววงการกองทุน เพราะปตท.ซึ่งมีสัดส่วนในตลาดหุ้นถึง 16% การเปลี่ยนแปลงของราคาส่งผลกระทบทางหนึ่งทางใดแน่นอน โดยหลังจากที่หุ้นสามารถกลับมาเปิดซื้อขายได้ปัญหาที่เราเจอคือบลจ.ทั้ง 21 แห่งต้องมาคำนวณ NAV ย้อนหลังทั้งหมดซึ่งหากโดนห้ามซื้อขายนานกว่านี้ปัญหาคงมากขึ้นตามไปด้วย"นายมาริษกล่าว
ฝรั่งขายทิ้งแล้ว 5.2หมื่นล.
นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยฯ บล.เคจีไอ กล่าวว่า นักลงทุนต่างชาติยังเทขายสุทธิอย่างต่อเนื่องโดยในเดือนพ.ย.มีการขายสุทธิ 3.8 หมื่นล้านบาท ขณะที่เดือนธ.ค.จนถึงล่าสุดมีการขายสุทธิแล้ว 1.4 หมื่นล้านบาท รวมกว่า 5.2 หมื่นล้านบาท เนื่องจากยังมีการประเมินว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯจะแย่กว่าที่มีการคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้จึงมีความจำเป็นต้องขายทำกำไรและถือเงินสดเพื่อถือครองเพื่อลดความเสี่ยง
ทั้งนี้ แม้ว่าปัจจัยเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นจะเป็นสิ่งที่นักลงทุนรอคอยแต่เชื่อว่าหลังการเลือกตั้งตลาดหุ้นไทยจะยังอยู่ในทิศทางขาลงอย่างต่อเนื่อง โดยหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยงลงทุน คือ กลุ่มพลังงานเนื่องจากคาดว่าราคาน้ำมันอาจจะมีโอกาสที่จะปรับตัวลดลง หุ้นกลุ่มเดินเรือและกลุ่มเคมีภัณฑ์ ขณะที่กลุ่มที่เชื่อว่าจะได้รับผลดีหลังการเลือกตั้ง เช่น กลุ่มธนาคารและกลุ่มสื่อสาร
|
|
 |
|
|