|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
SSEC ฟุ้งปีหน้าเพิ่มมาร์เก็ตแชร์สูงกว่า 2 % หลังจากปีที่ผ่านมาภาวะการแข่งขันทางธุรกิจรุนแรง ทำให้รายได้ต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ เผยอาจพลาดเป้าหากหาพันธมิตรในลักษณะคู่ค้าไม่ได้ ยันไม่มีแผนควบรวมกิจการหลังการเจรจาครั้งก่อนไม่สำเร็จ เร่งลุยงานวาณิชฯ โกยรายได้เต็มสูบ
นายศิริพงษ์ สุทธาโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ซิกโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ SSEC เปิดเผยว่า แนวโน้มกำไรของบริษัทน่าจะสูงกว่าปี 49 ซึ่งมีกำไรอยู่ที่ 2 ล้านบาท เนื่องจากได้ตั้งสำรองกรณีลูกค้าไม่ชำระซื้อหุ้นประมาณ 16 ล้านบาท โดย 9 เดือนแรกปีนี้พบว่ามีกำไรสุทธิ 7 ล้านบาท ขณะที่รายได้คาดว่าต่ำกว่าเป้าที่วางไว้ เนื่องจากการแข่งขันของธุรกิจนี้รุนแรง
ทั้งนี้ ส่วนแบ่งทางการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) คาดว่าปีนี้จะอยู่ที่ 1.57% ลดลงจากปีที่ผ่านมาซึ่งอยู่ที่ 2% เพราะการแข่งขันที่ค่อนข้างรุนแรง และปีหน้าคาดว่าจะมีมาร์เก็ตแชร์เพิ่มสูงกว่า 2% เพราะจะหาพันธมิตรในลักษณะคู่ค้า (Exclusive Partnership) เพื่อเข้ามาสนับสนุน โดยจะช่วยเพิ่มสัดส่วนลูกค้าที่เป็นนักลงทุนสถาบันต่างประเทศเป็น 5% จากปัจจุบันที่ไม่มีลูกค้าสถาบันต่างชาติ ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีลูกค้ารายย่อย 95% และลูกค้าสถาบันในประเทศ 5%
"ปีหน้าคาดว่าจะมีรายได้และกำไรสุทธิดีกว่าปีนี้ เพราะมาร์เก็ตแชร์ที่เพิ่มขึ้น พร้อมกับเพิ่มสัดส่วนนักลงทุนสถาบันในประเทศเพิ่มจาก 5% เป็น 10% ส่วนเอ็กคลูซีฟพาร์เนอร์ ไม่รีบร้อน แต่หากหาไม่ได้มาร์เก็ตแชร์ที่ตั้งเป้าไว้ 2% อาจไม่เป็นไปตามที่คาด ส่วนการควบรวมกิจการยังไม่มีแผน หลังจากก่อนหน้านี้ผู้ถือหุ้นใหญ่เคยเจรจากับพันธมิตรแต่ไม่ประสบความสำเร็จจึงล้มเลิกไป " นายศิริพงษ์กล่าว
สำหรับปี 51 บริษัทมีงานด้านวาณิชธนกิจ ที่เป็นการนำหุ้นใหม่ (ไอพีโอ) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และตลาดหลักทรัพย์mai รวม 2 บริษัท โดยเบื้องต้นคาดมูลค่าไม่เกิน 1 พันล้านบาท ซึ่งจะระดมทุนในช่วงครึ่งปีแรกและครึ่งปีหลังอย่างละบริษัท พร้อมกับมีแผนออกกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์อีก 2-3 กองทุน โดยคาดว่าจะมีสินทรัพย์เป็น เออร์บาน่า สาทร 1 กอง
นอกจากนี้ ยังจะรับเป็นที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ (IFA) ประมาณ 6 บริษัท ซึ่งอาจจะเป็นการประเมินราคาหุ้นต่างๆ จากผลดังกล่าว จะทำให้สัดส่วนรายได้ด้านวาณิชธนกิจเพิ่มเป็น 3-4 % จากปัจจุบันที่มีเกือบ 2% โดยรายได้ส่วนใหญ่มาจากค่าธรรมเนียมซื้อขายหลักทรัพย์ 80% และค่าธรรมเนียมซื้อขายอนุพันธ์ และอื่น ๆ รวมกันในส่วนที่เหลือ 20%
นายศิริพงษ์กล่าวถึง ดัชนีตลาดหลักทรัพย์หลังจากการเลือกตั้งว่ามีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นแตะระดับ 900-1000 จุด เนื่องจากนักลงทุนมีความเชื่อมั่นและกล้าที่จะเข้ามาลงทุนมากขึ้น เพราะมั่นใจว่ารัฐบาลชุดใหม่จะเข้ามาสานต่อนโยบายทางเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อไปได้ ขณะที่ปีหน้ายังไม่สามารถประเมินได้ว่าดัชนีจะอยู่ที่เท่าใด เพราะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง
|
|
|
|
|