Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน19 ธันวาคม 2550
สต๊อกบ้านข้ามปีแสนหน่วยAREAชี้แนวราบเหลือเพียบ             
 


   
search resources

Real Estate
วสันต์ คงจันทร์




บริษัทเอเจนซี่ฯ แจงข้อมูลบ้านค้างสต๊อกที่รอขายต่อเนื่องถึงปี2551 เกือบแสนหน่วย มูลค่า 2.3 แสนล้านบาท แถมจ่อเปิดเพิ่มอีก 113 โครงการ ระบุบ้านเดี่ยวอาการน่าเป็นห่วง เหตุยอดขายอืด เหลือขายมากสุด 40,000 ยูนิต ด้านครม.อนุมัติวงเงินกันสำรองซื้อคืนบ้านเอื้ออาทรเพิ่มอีก 480 ล้านบาท พร้อมลดเป้าก่อสร้างบ้านเอื้ออาทรเหลือเพียง 300,504 หน่วย จากเดิม 6 แสนหน่วย หวังคุมต้นทุนบ้านเอื้ออาทร พร้อมเปิดแผนเจรจาผู้ประกอบการ ปรับเปลี่ยนแบบก่อสร้างเพิ่มความยืดหยุ่น ชี้ช่วยแก้ปัญหาในการกำหนดราคา ช่วยขยายฐานตลาดได้กว้างขึ้น ขณะที่สผ.เผยมี 8 โครงการบ้านเอื้ออาทร ยังไม่ศึกษาลกระทบสิ่งแวดล้อม จับตาคอนโดฯกลางกรุงเจตนาเลี่ยงทำอีไอเอจำนวนมาก

นายวสันต์ คงจันทร์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จำกัด หรือ AREA กล่าวถึงตลาดรวมอสังหาริมทรัพย์ในปี2550ในงานสัมมนา “ หัวข้อนโยบายที่อยู่อาศัยประเทศไทยพ.ศ.2551” ว่า ปริมาณที่อยู่อาศัยเปิดใหม่ในแต่ละปีอยู่ที่ประมาณ 66,000 ยูนิต โดยในจำนวนนี้มีการซื้อขาย(ถูกดูดซับ)ออกจากตลาดในแต่ละปีประมาณ 60% ส่วนที่เหลือจะเป็นยอดขายสะสมในปีถัดไป ทำให้ในปี2550 มีปริมาณที่อยู่อาศัยรอขายในตลาดมีประมาณ 1.1 แสนยูนิต มูลค่ารวมประมาณ 2.3 แสนล้านบาท

ทั้งนี้ มูลค่าดังกล่าว คิดโดยใช้ฐานราคาเฉลี่ย 2.5 ล้านบาท/ยูนิต จากจำนวนสินค้างคงค้างดังกล่าว แบ่งเป็นประเภทบ้านเดี่ยว 40,000 ยูนิต ทาวน์เฮาส์ 25,000 ยูนิต และคอนโดมิเนียม 25,000 ยูนิต และหากพิจารณาจำนวนหน่วยเหลือขายนั้น บ้านเดี่ยวน่าเป็นห่วงมากสุด เนื่องจากว่าปริมาณการขายลดลงอย่างมาก ต่างจากที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียม จำนวนหน่วยที่เหลือขายนั้น หากไม่มีการการเปิดตัวโครงการใหม่ออกมาเลย ก็จะใช้เวลาขายเพียงไม่เกิน 7-8 เดือน

โดยในรอบปีที่ผ่านมา พบว่ายอดขายบ้านเดี่ยวอยู่ที่ 8,000-9,000 ยูนิต และหากยอดขายบ้านเดี่ยวในแต่ละปีอยู่ในระดับนี้ต่อเนื่อง แสดงให้เห็นว่า ปริมาณบ้านเดี่ยวที่มีอยู่ในขณะนี้ จะใช้เวลาขายหมดในอีก 4 ปีข้างหน้า โดยไม่จำเป็นต้องมีการเปิดตัวใหม่ ขณะที่ทาวน์เฮาส์ ซึ่งปีนี้มียอดขาย 10,000-12,000 ยูนิต และคอนโดฯมียอดขายทั้งปีที่ 35,000 ยูนิต

“ จากการสำรวจล่าสุดพบว่า มีโครงการอสังหาฯใหม่ที่รอเปิดตัวในปี 2551 ประมาณ 113 โครงการ แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 32 โครงการ ,ทาวน์เฮาส์ 18 โครงการ และ คอนโดฯ 60 โครงการ ส่วนใหญ่เกาะอยู่ตามแนวรถไฟฟ้าบีทีเอส และรถไฟฟ้าใต้ดิน รวมถึงส่วนต่อขยายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต”

ด้านนายแพทย์พลเดช ปิ่นประทีป รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.)กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดงานสัมมนาว่า หลังจากที่การเคหะแห่งชาติ (กคช.) ได้เสนอแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาด้านที่อยู่อาศัยแห่งชาติต่อกระทรวงพัฒนาสังคมฯ และเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นั้น ล่าสุด (วานนี้ 18ธ.ค.) ที่ประชุม ครม. ได้มีมติอนุมัติในหลักการ ให้ดำเนินการจัดทำกรอบการดำเนินการแผนพัฒนาที่อยู่อาศัยแห่งชาติตามที่ กระทรวงพม.ได้เสนอไป ซึ่งหลังจากนี้ ทางกระทรวงจะได้เร่งออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีในการตั้งคณะกรรมการนโยบายที่อยู่อาศัยแห่งชาติ ตามที่ ครม. ได้มีมติเห็นชอบในวาระที่นำเสนอข้างต้นทั้งหมด

" ถือเป็นเรื่องดีในการเร่งผลักดันการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับคนทุกระดับ อย่างไรก็ตาม แม้ขณะนี้รัฐบาลจะมีเวลาในการทำงานเหลือเพียง 1 เดือนครึ่งก่อนที่จะมีการตั้งรัฐบาลชุดใหม่ แต่ก็จะพยายามเร่งผลักดันเรื่องดังกล่าวให้ก้าวหน้ามากที่สุดเท่าที่จะทำให้ ก่อนที่จะส่งต่อการดำเนินงานให้กับรัฐบาลใหม่" นายแพทย์พลเดชกล่าว

นอกจากนี้ ครม.ยังมีมติอนุมัติในวาระบ้านเอื้ออาทร โดยเห็นชอบให้ลดจำนวนการก่อสร้างบ้านในโครงการบ้านเอื้ออาทรลงจาก 6 แสนหน่วยเหลือ 300,504 หน่วย เพื่อแก้ปัญหาจำนวนยูนิตที่จะออกสู่ตลาดและลดความเสี่ยงต่อฐานะของกคช.ในอนาคต รวมทั้งได้อนุมัติให้กคช.ร่วมกับผู้ประกอบการและบริษัทรับเหมา หารือในการปรับเปลี่ยนแบบก่อสร้างบ้านเอื้ออาทร เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นให้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาในการกำหนดราคา โดยอาจจะมีการเพิ่มคุณภาพของวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้าง เพิ่มขนาดพื้นที่ใช้สอยและปรับขึ้นราคาบ้าน เพื่อรองรับความต้องการที่กว้างขึ้น และเป็นการรองรับการดำเนินงานในเชิงธุรกิจของกคช.ในอนาคต ซึ่งจะเปลี่ยนชื่อจากโครงการบ้านเอื้ออาทรเป็นโครงการเคหะชุมชน

ไฟเขียวเพิ่มวงเงินซื้อคืนบ้านเอื้อฯ

รมช.พม. กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ครม.ยังมีมติอนุมัติเพิ่มวงเงินสำรองซื้อคืนบ้านเอื้ออาทรอีก 480 ล้านบาท ในกรณีผู้ได้สิทธิ์ซื้อบ้านเอื้ออาทรแล้ว ไม่ส่งค่างวดเกิน 3 งวด ส่งผลให้วงเงินสำรองซื้อคืนบ้านเอื้ออาทรรวมเป็นเพิ่มขึ้นเป็น 780 ล้าน จากเดิมที่มีการอนุมัติวงเงินดังกล่าวไปก่อนหน้านั้นแล้ว 300 ล้านบาท เพื่อแก้ปัญหาลูกค้าทิ้งบ้านไม่ส่งต่อ ขณะเดียวกันยังอนุมัติให้มีการเจรจาปรับอัตราดอกเบี้ยของเงินกู้จากสถาบันการเงิน ในกรณีที่อัตราดอกเบี้ยปรับตัวเพิ่มเกิน 4% โดยส่วนต่างที่เกิดขึ้นรัฐบาลจะเข้ามาช่วยอุดหนุน

นอกจากนี้ในปี 2551 กคช.จะต้องเริ่มทยอยจ่ายดอกเบี้ยให้แก่สถาบันการเงินจำนวน 40,000 ล้านบาท ซึ่งกคช.จะต้องเร่งปรับแผนในการสร้างรายได้ เพื่อหาเงินมาใช้หนี้กับสถาบันการเงิน เพราะมีภาระดอกเบี้ยจากเงินกู้ในการพัฒนาโครงการบ้านเอื้อาทรเดือนละ 1.5 ล้านบาท ทำให้ในปี2551 โอกาสที่กคช.จะต้องออกพันธบัตร(บอนด์)ระดมทุน เพื่อนำมาใช้หนี้ และกันบางส่วนมาปล่อยเงินกู้ให้แก่ผู้ที่ซื้อบ้านเอื้ออาทร ที่มีรายได้ไม่ผ่านเกณฑ์การอนุมัติขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินด้วย

“โอกาสในการออกบอนด์มีความเป็นไปได้สูง แต่คลังจะต้องเป็นผู้ค้ำประกัน เพื่อคุมอัตราดอกเบี้ยไม่ให้สูงจนเกินไป แต่จริงๆ แล้ว กคช.มีอำนาจในการพันธบัตรได้ แต่จะต้องกำหนดอัตราดอกเบี้ยสูง เพื่อให้มีผลตอบแทนกับผู้ซื้อพันธบัตร” นายแพทย์พลเดช กล่าว

สผ.ชี้คอนโดฯโซนสุขุมวิทไม่ผ่านอีไอเอเพียบ

นายเกษมสันต์ จิณณวาโส เลขาธิการ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(สผ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.) กล่าวถึงความคืบหน้ากรณี คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ มีมติให้กคช.จัดทำเรื่องผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม(อีไอเอ)โครงการบ้านเอื้ออาทรที่ก่อสร้างเสร็จไปแล้ว 8 โครงการว่า การทำอีไอเอย้อนหลังโครงการดังกล่าวขณะนี้ยังไม่คืบหน้ามากนัก แต่อย่างไรก็ตาม หากไม่มีการแก้ปัญหาดังกล่าวภาระจะตกอยู่กับเจ้าของบ้าน เมื่อถึงเวลาโอนบ้านจะไม่สามารถเข้าอยู่ได้ เพราะขั้นตอนทางกฎหมายไม่ครบถ้วน

ทั้งนี้ ปัญหาการทำอีไอเอ ไม่เพียงแต่พบในโครงการบ้านเอื้ออาทรเท่านั้น แต่ยังมีโครงการคอนโดมิเนียมโครงการขนาดใหญ่ๆ หลายโครงการย่านถนนสุขุมวิท ที่เริ่มก่อสร้างและขายไปแล้วนั้นแต่ยังไม่ผ่านการทำรายงานอีไอเอ ซึ่งเรื่องดังกล่าว สผ.กำลังให้คณะกรรมการตรวจสอบโครงการก่อสร้างที่ส่งให้สผ.พิจารณาว่า เข้าข่ายต้องทำอีไอเอหรือไม่

สำหรับสิ่งที่น่าเป็นห่วงคือในช่วงปี 2549-2550 มีผู้ประกอบการจำนวนมาก อยู่ระหว่างเสนอรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการคอนโดมีเนียม ในเขตพื้นที่กทม.และปริมณฑล และพื้นที่ต่างจังหวัดต่อสผ.พิจารณากว่า 100 โครงการ โดยเฉพาะแถวเขตลาดพร้าว ถนนพหลโยธิน สุขุมวิท มีคอนโดมิเนียมและอพาร์ตเมนต์เกิดใหม่ และอยู่ในระหว่างการปรับปรุงพื้นที่จำนวนมาก

“ยังมี คอนโดมีเนียมอีกจำนวนมาก ที่อาศัยช่องทางและเลี่ยงข้อกฎหมายอีไอเอ โดยอ้างว่าสร้างไม่ครบ 80 ยูนิต แต่กลับสร้างห้องขนาดใหญ่กว้างๆ ในชั้นต่างๆและเมื่อสร้างเสร็จแล้ว จึงจะไปซอยแบ่งห้องเพิ่ม ซึ่งการตรวจสอบเป็นหน้าที่ของสำนักโยธาธิการและกทม.ที่ต้องเข้าไปตรวจสอบประเด็นดังกล่าวอีกครั้ง”   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us