อาร์เอส ฟันธง ปีหน้ามีแนวโน้มคนไทยดูหนังไทยมากขึ้น คาดยังเติบโตได้ 15-20% เท่าปีนี้ แม้จะมีจำนวนน้อยลง เหตุเป็นหนังคุณภาพเกือบทุกเรื่อง มั่นใจสิ้นปีบริษัทมีรายได้กว่า 300 ล้านบาท เตรียมส่งหนังเข้าโรงฉายอีก 5 เรื่องปีหน้า ภายใต้งบลงทุนรวม 250 ล้านบาท คาดรายได้เติบโตขึ้นอีก 15-20%
นายพรชัย ว่องศรีอุดมพร ผู้ช่วยผู้อำนวยการส่วนจัดจำหน่ายและบริหารสื่อ ณ โรงภาพยนตร์ สายงานภาพยนตร์ บริษัท อารืเอส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจภาพยนตร์ไทยปีหน้า เชื่อว่าจะยังคงมีอัตราการเติบโตใกล้เคียงกับปีนี้ ที่มีการเติบโตประมาณ 15-20% จากตลาดภาพยนตร์ไทยรวม 1,600-1,700 ล้านบาท โดยมีปัจจัยบวกมาจากการที่ภาพยนตร์ไทยที่เข้าฉายในปีนี้ ทำรายได้เพิ่มสูงขึ้นจากปีก่อน เฉลี่ยเรื่องละประมาณ 40 ล้านบาท จากเดิม 36 ล้านบาท
ส่วนในปีหน้า ถึงแม้ว่าจะไม่มีภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ทำเงินอย่าง สมเด็จพระนเรศวร มาช่วยดึงรายได้ของตลาดก็ตาม แต่เท่าที่ทราบข้อมูล พบว่าปีหน้าภาพยนตร์ไทยส่วนใหญ่ที่จะเข้าฉาย ล้วนแต่มีแนวโน้มที่จะได้รับความสนใจจากผู้บริโภคค่อนข้างสูง น่าจะทำเงินได้มาก ทั้งนี้ภาพรวมของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในประเทศปีนี้ มีมูลค่ากว่า 3,600 ล้านบาท แบ่งเป็นภาพยนตร์ต่างประเทศ 55% และภาพยนตร์ไทย 45% ซึ่งตลอด1ปีที่ผ่านมาตลาดรวมมีการเติบโตขึ้นประมาณ 15-20%เช่นกัน
สำหรับอาร์เอสเอง จากการนำภาพยนตร์เข้าฉายทั้งหมด 5 เรื่องในปีนี้ คือ ผีไม้จิ้มฟัน, เมล์นรก หมวยยกล้อ, รักนะ 24 ชั่วโมง, บ้านผีสิง และโปงลางสะดิ้ง ลำซิ่งส่ายหน้า คาดว่าสิ้นปีน่าจะมีรายได้ทั้งหมดเกินเป้า 300 ล้านบาทที่ตั้งไว้เล็กน้อย หรือมีอัตราการเติบโตกว่า 60% เทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งรายได้ดังกล่าวคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 7-8% ของรายได้รวมอาร์เอสทั้งหมด ขณะที่ส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ประมาณ 14% รองจากสหมลคมฟิล์ม และ GTH
ทั้งนี้ทั้ง 5 เรื่อง มีภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุด คือ เมล์นรก หมวยยกล้อ ทำรายสูงถึง 85 ล้านบาท ส่วนเรื่องรักนะ 24 ชั่วโมงเป็นเรื่องเดียวที่ถือว่าไม่ประสบความสำเร็จด้านรายได้ ทำได้เพียง 23 ล้านบาทจากการเข้าโรงฉาย เหตุจากการดำเนินกลยุทธ์พันธมิตรร่วมเข้าไปแทรกในภาพยนตร์มากจนเกินไป ผู้ชมจึงคิดว่าไม่ได้ดูหนังแต่ดูโฆษณาตลอด ชั่วโมงครึ่งแทน แต่จากที่มีพันธมิตรเข้ามาช่วย จึงถือว่ารายได้รวมของเรื่องนี้ยังคุ้มทุนอยู่ ส่วนเรื่องโปงลางสะดิ้ง ลำซิ่งส่ายหน้า ขณะนี้ยังฉายอยู่ในโรงภาพยนตร์ แต่ปัจจุบันทำเงินได้แล้วกว่า 70 ล้านบาท
นายพรชัย กล่าวต่อว่า ส่วนแผนธุรกิจในปีหน้า บริษัทฯใช้เม็ดเงินลงทุนรวมอีกกว่า 250 ล้านบาท แบ่งเป็นด้านโปรดักส์ชั่น 50 % และโปรโมทอีก 50% สำหรับภาพยนตร์อีก 5 เรื่องที่จะเข้าฉายในปีหน้า คือ รักสยามเท่าสยาม อีก 3 เรื่องที่ยังเป็นชื่อที่ไม่เป็นทางการ ได้แก่ ดรีมทีม, หล่อแหบ แสบคูณ2, โหดหน้าเหี่ยว และอีกหนึ่งเรื่องเป็นภาพยนตร์รักโรแมนติกที่ยังไม่มีชื่อเรื่อง เชื่อว่าดรีมทีมจะทำรายได้สูงสุด หรือทั้งปีคาดว่าจะมีรายได้กว่า 300-325 ล้านบาท โตขึ้น 8-10% และมีแชร์ในตลาดภาพยนตร์ไทยเพิ่มเป็น 17%
โดยแต่ละเรื่องยังคงใช้ต้นทุนการผลิตประมาณ 20-25 ล้านบาท เท่าปีนี้ ส่วนแผนทำภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ บริษัทฯจะเน้นร่วมทำกับพันธมิตรที่เป็นคนไทยมากกว่า ซึ่งคาดว่าช่วงไตรมาส3-4 ปีหน้าจะมีความคืบหน้าดังกล่าว โดยในขณะนี้ยังติดเรื่องของเรื่องราวของภาพยนตร์ที่ยังไม่ลงตัว
นอกจากนี้ปีหน้าบริษัทฯจะให้ความสำคัญเกี่ยวกับการสร้างแบรนด์ อาวองให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น โดยได้เตรียมงบประมาณไว้ประมาณ 5-6% ของเม็ดเงินในการลงทุนของภาพยนตร์แต่ละเรื่องมาใช้ ซึ่งจะเน้นทางด้านบิโลว์เดอะไลน์ มากยิ่งขึ้น เนื่องจากเห็นแนวโน้มในปีหน้าว่าจะมีโรงภาพยนตร์มากขึ้น เฉพาะสื่อทีวีคงไม่เพียงพออีกต่อไป
นอกจากนี้ การที่หันมาให้ความสำคัญกับแบรนด์ อาวองมากขึ้น เนื่องจากจะเป็นการสร้างชื่อแบรนด์เพื่อตลาดต่างประเทศ ที่ได้มีการขายภาพยนตร์ต่อไปด้วย ซึ่งที่ผ่านมาอาวองมีชื่อในเรื่องของ ภาพยนตร์แนวผี ที่สามารถขายในตลาดต่างประเทศมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็น ผีสามบาท จนถึงเรื่องล่าสุด อย่าง บ้านผีสิง ที่ทางไต้หวันซื้อไป ก็สามารถทำเงินได้ค่อนข้างสูง
|