Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน19 ธันวาคม 2550
อาร์เอสฟุ้งปีหน้าธุรกิจหนังยังโต รายได้พุ่งเฉียด20%เท่าตลาดรวม             
 


   
www resources

โฮมเพจ อาร์.เอส. โปรโมชั่น

   
search resources

อาร์เอส, บมจ.
Entertainment and Leisure




อาร์เอส ฟันธง ปีหน้ามีแนวโน้มคนไทยดูหนังไทยมากขึ้น คาดยังเติบโตได้ 15-20% เท่าปีนี้ แม้จะมีจำนวนน้อยลง เหตุเป็นหนังคุณภาพเกือบทุกเรื่อง มั่นใจสิ้นปีบริษัทมีรายได้กว่า 300 ล้านบาท เตรียมส่งหนังเข้าโรงฉายอีก 5 เรื่องปีหน้า ภายใต้งบลงทุนรวม 250 ล้านบาท คาดรายได้เติบโตขึ้นอีก 15-20%

นายพรชัย ว่องศรีอุดมพร ผู้ช่วยผู้อำนวยการส่วนจัดจำหน่ายและบริหารสื่อ ณ โรงภาพยนตร์ สายงานภาพยนตร์ บริษัท อารืเอส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจภาพยนตร์ไทยปีหน้า เชื่อว่าจะยังคงมีอัตราการเติบโตใกล้เคียงกับปีนี้ ที่มีการเติบโตประมาณ 15-20% จากตลาดภาพยนตร์ไทยรวม 1,600-1,700 ล้านบาท โดยมีปัจจัยบวกมาจากการที่ภาพยนตร์ไทยที่เข้าฉายในปีนี้ ทำรายได้เพิ่มสูงขึ้นจากปีก่อน เฉลี่ยเรื่องละประมาณ 40 ล้านบาท จากเดิม 36 ล้านบาท

ส่วนในปีหน้า ถึงแม้ว่าจะไม่มีภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ทำเงินอย่าง สมเด็จพระนเรศวร มาช่วยดึงรายได้ของตลาดก็ตาม แต่เท่าที่ทราบข้อมูล พบว่าปีหน้าภาพยนตร์ไทยส่วนใหญ่ที่จะเข้าฉาย ล้วนแต่มีแนวโน้มที่จะได้รับความสนใจจากผู้บริโภคค่อนข้างสูง น่าจะทำเงินได้มาก ทั้งนี้ภาพรวมของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในประเทศปีนี้ มีมูลค่ากว่า 3,600 ล้านบาท แบ่งเป็นภาพยนตร์ต่างประเทศ 55% และภาพยนตร์ไทย 45% ซึ่งตลอด1ปีที่ผ่านมาตลาดรวมมีการเติบโตขึ้นประมาณ 15-20%เช่นกัน

สำหรับอาร์เอสเอง จากการนำภาพยนตร์เข้าฉายทั้งหมด 5 เรื่องในปีนี้ คือ ผีไม้จิ้มฟัน, เมล์นรก หมวยยกล้อ, รักนะ 24 ชั่วโมง, บ้านผีสิง และโปงลางสะดิ้ง ลำซิ่งส่ายหน้า คาดว่าสิ้นปีน่าจะมีรายได้ทั้งหมดเกินเป้า 300 ล้านบาทที่ตั้งไว้เล็กน้อย หรือมีอัตราการเติบโตกว่า 60% เทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งรายได้ดังกล่าวคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 7-8% ของรายได้รวมอาร์เอสทั้งหมด ขณะที่ส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ประมาณ 14% รองจากสหมลคมฟิล์ม และ GTH

ทั้งนี้ทั้ง 5 เรื่อง มีภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุด คือ เมล์นรก หมวยยกล้อ ทำรายสูงถึง 85 ล้านบาท ส่วนเรื่องรักนะ 24 ชั่วโมงเป็นเรื่องเดียวที่ถือว่าไม่ประสบความสำเร็จด้านรายได้ ทำได้เพียง 23 ล้านบาทจากการเข้าโรงฉาย เหตุจากการดำเนินกลยุทธ์พันธมิตรร่วมเข้าไปแทรกในภาพยนตร์มากจนเกินไป ผู้ชมจึงคิดว่าไม่ได้ดูหนังแต่ดูโฆษณาตลอด ชั่วโมงครึ่งแทน แต่จากที่มีพันธมิตรเข้ามาช่วย จึงถือว่ารายได้รวมของเรื่องนี้ยังคุ้มทุนอยู่ ส่วนเรื่องโปงลางสะดิ้ง ลำซิ่งส่ายหน้า ขณะนี้ยังฉายอยู่ในโรงภาพยนตร์ แต่ปัจจุบันทำเงินได้แล้วกว่า 70 ล้านบาท

นายพรชัย กล่าวต่อว่า ส่วนแผนธุรกิจในปีหน้า บริษัทฯใช้เม็ดเงินลงทุนรวมอีกกว่า 250 ล้านบาท แบ่งเป็นด้านโปรดักส์ชั่น 50 % และโปรโมทอีก 50% สำหรับภาพยนตร์อีก 5 เรื่องที่จะเข้าฉายในปีหน้า คือ รักสยามเท่าสยาม อีก 3 เรื่องที่ยังเป็นชื่อที่ไม่เป็นทางการ ได้แก่ ดรีมทีม, หล่อแหบ แสบคูณ2, โหดหน้าเหี่ยว และอีกหนึ่งเรื่องเป็นภาพยนตร์รักโรแมนติกที่ยังไม่มีชื่อเรื่อง เชื่อว่าดรีมทีมจะทำรายได้สูงสุด หรือทั้งปีคาดว่าจะมีรายได้กว่า 300-325 ล้านบาท โตขึ้น 8-10% และมีแชร์ในตลาดภาพยนตร์ไทยเพิ่มเป็น 17%

โดยแต่ละเรื่องยังคงใช้ต้นทุนการผลิตประมาณ 20-25 ล้านบาท เท่าปีนี้ ส่วนแผนทำภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ บริษัทฯจะเน้นร่วมทำกับพันธมิตรที่เป็นคนไทยมากกว่า ซึ่งคาดว่าช่วงไตรมาส3-4 ปีหน้าจะมีความคืบหน้าดังกล่าว โดยในขณะนี้ยังติดเรื่องของเรื่องราวของภาพยนตร์ที่ยังไม่ลงตัว

นอกจากนี้ปีหน้าบริษัทฯจะให้ความสำคัญเกี่ยวกับการสร้างแบรนด์ อาวองให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น โดยได้เตรียมงบประมาณไว้ประมาณ 5-6% ของเม็ดเงินในการลงทุนของภาพยนตร์แต่ละเรื่องมาใช้ ซึ่งจะเน้นทางด้านบิโลว์เดอะไลน์ มากยิ่งขึ้น เนื่องจากเห็นแนวโน้มในปีหน้าว่าจะมีโรงภาพยนตร์มากขึ้น เฉพาะสื่อทีวีคงไม่เพียงพออีกต่อไป

นอกจากนี้ การที่หันมาให้ความสำคัญกับแบรนด์ อาวองมากขึ้น เนื่องจากจะเป็นการสร้างชื่อแบรนด์เพื่อตลาดต่างประเทศ ที่ได้มีการขายภาพยนตร์ต่อไปด้วย ซึ่งที่ผ่านมาอาวองมีชื่อในเรื่องของ ภาพยนตร์แนวผี ที่สามารถขายในตลาดต่างประเทศมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็น ผีสามบาท จนถึงเรื่องล่าสุด อย่าง บ้านผีสิง ที่ทางไต้หวันซื้อไป ก็สามารถทำเงินได้ค่อนข้างสูง   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us