นับจากวันนี้ไปอีก 5 เดือน บริษัทหลักทรัพย์ทุกแห่ง ต้องเร่งปรับตัว เพื่อ
เตรียมรับกับโครงสร้างค่าคอมมิชชั่นในการซื้อขายหุ้นใหม่ ที่จะเริ่มใช้ในวันที่
1 กันยายน ที่จะถึงนี้
ตามโครงสร้างใหม่ดัง กล่าว กำหนดให้บริษัทหลักทรัพย์เรียกเก็บค่าคอมมิชชั่นจากลูกค้าในอัตราต่อรอง
โดยมีระดับเพดานขั้นต่ำสุด 0.25% ของมูลค่าการซื้อขาย ลดลงจากเดิมถึงครึ่งหนึ่ง
จาก ที่เคยเก็บในอัตราคง ที่ 0.5%
และหลังจากนั้น อีก 2 ปี ก็ต้องเตรียมพร้อมรับกับการเปิดให้เก็บค่าคอมมิชชั่นเสรี
ที่จะเริ่มใช้วันที่ 1 กันยายน 2545
"โครงสร้างค่าคอมมิชชั่นใหม่ ที่จะเริ่มใช้นี้ ส่งผลกระเทือนต่อธุรกิจหลักทรัพย์อย่างมาก
เพราะในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา บริษัทหลักทรัพย์เกือบทุกแห่งมีรายได้จากค่าคอมมิชชั่นเป็นรายได้หลักถึงกว่า
70%"
ผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์หลายรายแสดงความหนักใจ เพราะในช่วง 2 ปีเศษ ที่ประเทศไทยประสบกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำเป็นต้นมา
ธุรกรรม ที่บริษัทหลักทรัพย์สามารถกระทำได้อย่างต่อเนื่อง คือ การเป็นนายหน้าซื้อขายหุ้น
ในขณะที่ธุรกรรมด้านอื่น เช่นการเป็นที่ปรึกษาการลงทุน การรับประกันการจำหน่ายหุ้น
ฯ ลฯ ได้ลดจำนวนลงไปมาก
ดังนั้น การที่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ประกาศใช้โครงสร้างค่าคอมมิชชั่นใหม่ออกมา
จึงสร้างความเดือดร้อนให้กับแต่ละบริษัทมากพอควร
ความจริงแนวคิด ที่จะให้มีการลดค่าคอมมิชชั่นในการซื้อขายหุ้นนั้น ได้เกิดขึ้นมานานแล้ว
ตั้งแต่ช่วง ที่เศรษฐกิจประเทศไทยยังอยู่ในช่วงฟองสบู่ โดยวิโรจน์ นวลแข
นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์คนปัจจุบัน เป็นคนเสนอ ขึ้น มาก่อนว่าน่าจะมีการลดค่าคอมมิชชั่นให้กับพวกกองทุนต่างประเทศ
เพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุนเข้ามาในตลาดหุ้นไทย ส่วนนักลงทุนทั่วไปยังคงคิดในอัตรา
0.5% เช่นเดิม ต่อมาในปี 2539 ก.ล.ต.ได้รับลูกแนวคิดดังกล่าว และมีการตั้งทีมงาน
ขึ้นมาศึกษาถึงโครงสร้างค่าคอมมิชชั่น ที่เหมาะสม
แต่ภายหลังแนวคิดนี้ ได้ถูกขยายความให้เป็นการปล่อยให้มีการเก็บค่าคอมมิชชั่นเสรี
ซึ่งถูกคัดค้าน อย่างหนักจากบริษัทหลักทรัพย์ เพราะเห็นว่าประเทศไทยยังไม่มีความพร้อม
ว่ากันว่าผู้ที่ผลักดันแนวคิดเปิดเสรีในการเก็บค่าคอมมิชชั่น คือ ประสาร
ไตรรัตน์วรกุล เลขาธิการก.ล.ต.คนปัจจุบัน เนื่องจากเห็นว่าการเปิดเสรี จะเป็นการเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของตลาดหลักทรัพย์ไทยกับ
ตลาดหลักทรัพย์ประเทศอื่น
กลางปีที่แล้ว สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมา 6 ชุด เพื่อศึกษาเรื่องนี้
และได้สรุปแนวทางเสนอไปยังตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อเดือนพฤศจิกายน
ที่ผ่านมาว่า การปรับค่าคอมมิชชั่น ควรจะเริ่มต้นจากการคิดค่าคอมมิชชั่นแบบถดถอย
เป็นขั้นบันได ตามมูลค่าการซื้อขาย หุ้น และให้ใช้แนวทางนี้ไปสักระยะก่อนจะเปิดเสรี
เพื่อให้เวลากับบริษัทหลักทรัพย์สามารถเตรียมตัวตั้งรับได้ทัน
ปลายเดือนธันวาคมคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ กลับมีมติสวน ออกมาว่าให้ปรับค่าคอมมิชชั่นเป็นระบบต่อรอง
ตั้งเพดานต่ำสุด ที่ 0.25% โดยจะใ ช้ระบบนี้ไปเป็นเวลา 2 ปี จึงเริ่มเปิดเสรี
ซึ่งถูกค้านจากบริษัทหลักทรัพย์อีกว่าเพดานต่ำสุด 0.25% นั้น ต่ำกว่าต้นทุนเฉลี่ยของโบรกเกอร์
ที่อยู่ระหว่าง 0.1-0.5% ทำให้ธุรกิจไม่สามารถอยู่ได้ โดยระดับเพดานต่ำสุด
ที่เหมาะสมควรจะอยู่ระดับ 0.3% ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงให้เวลาบริษัทหลัก ทรัพย์ไปหาข้อมูลมาชี้แจงอีกครั้งภายในเดือนมกราคม
แต่ท้ายที่สุดแล้ว คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็ยังยืนยันมติเดิม และได้เสนอไปยังก.ล.ต.ออกประกาศมาเมื่อวันที่
16 กุมภาพันธ์ ให้มีผลบังคับใช้หลังจากนี้อีก 6 เดือน
"สิ่งแรก ที่จะต้องทำหลังจากประกาศนี้มีผล คือ ต้องดูว่ามีต้นทุนอะไร ที่สามารถจะลดลงได้บ้าง"
ผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์รายหนึ่งกล่าว
ต้นทุน ที่ว่า เริ่มตั้งแต่ค่าใช้จ่ายในสำนักงานต้นทุนการทำวิจัย และ ที่สำคัญคือ
ค่าตอบแทน ที่ให้กับเจ้าหน้าที่การตลาด ซึ่ง ที่ผ่านมาถือเป็นต้นทุน ที่สูงที่สุดในธุรกรรมนายหน้าซื้อขายหุ้นของบริษัทหลักทรัพย์
แต่การลดผลตอบแทนให้กับเจ้าหน้าที่การตลาด กลับเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก เพราะเจ้าหน้าที่เหล่านี้รู้ดีว่าเมื่อบริษัท
ที่ตนเองทำงานอยู่ให้ผลตอบแทนไม่เป็นที่พอใจ ก็ยังมีอีกหลายบริษัท ที่พร้อมจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า
เพียงแค่นำฐานลูกค้าติดไปให้ด้วยเท่านั้น
สิ่งที่น่าจะทำได้ง่ายกว่า คือ การปิดห้องค้าในจุดที่ทำรายได้ให้ไม่ดีนัก
โดยเฉพาะห้องค้าในต่างจังหวัด ที่มีมูลค่าซื้อขายต่อวันน้อยอยู่แล้ว