Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ มีนาคม 2543








 
นิตยสารผู้จัดการ มีนาคม 2543
ธุรกิจหลักทรัพย์ต้องปรับตัวอีกระลอก             
 


   
search resources

Investment




นับจากวันนี้ไปอีก 5 เดือน บริษัทหลักทรัพย์ทุกแห่ง ต้องเร่งปรับตัว เพื่อ เตรียมรับกับโครงสร้างค่าคอมมิชชั่นในการซื้อขายหุ้นใหม่ ที่จะเริ่มใช้ในวันที่ 1 กันยายน ที่จะถึงนี้

ตามโครงสร้างใหม่ดัง กล่าว กำหนดให้บริษัทหลักทรัพย์เรียกเก็บค่าคอมมิชชั่นจากลูกค้าในอัตราต่อรอง โดยมีระดับเพดานขั้นต่ำสุด 0.25% ของมูลค่าการซื้อขาย ลดลงจากเดิมถึงครึ่งหนึ่ง จาก ที่เคยเก็บในอัตราคง ที่ 0.5%

และหลังจากนั้น อีก 2 ปี ก็ต้องเตรียมพร้อมรับกับการเปิดให้เก็บค่าคอมมิชชั่นเสรี ที่จะเริ่มใช้วันที่ 1 กันยายน 2545

"โครงสร้างค่าคอมมิชชั่นใหม่ ที่จะเริ่มใช้นี้ ส่งผลกระเทือนต่อธุรกิจหลักทรัพย์อย่างมาก เพราะในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา บริษัทหลักทรัพย์เกือบทุกแห่งมีรายได้จากค่าคอมมิชชั่นเป็นรายได้หลักถึงกว่า 70%"

ผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์หลายรายแสดงความหนักใจ เพราะในช่วง 2 ปีเศษ ที่ประเทศไทยประสบกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำเป็นต้นมา ธุรกรรม ที่บริษัทหลักทรัพย์สามารถกระทำได้อย่างต่อเนื่อง คือ การเป็นนายหน้าซื้อขายหุ้น ในขณะที่ธุรกรรมด้านอื่น เช่นการเป็นที่ปรึกษาการลงทุน การรับประกันการจำหน่ายหุ้น ฯ ลฯ ได้ลดจำนวนลงไปมาก

ดังนั้น การที่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ประกาศใช้โครงสร้างค่าคอมมิชชั่นใหม่ออกมา จึงสร้างความเดือดร้อนให้กับแต่ละบริษัทมากพอควร

ความจริงแนวคิด ที่จะให้มีการลดค่าคอมมิชชั่นในการซื้อขายหุ้นนั้น ได้เกิดขึ้นมานานแล้ว ตั้งแต่ช่วง ที่เศรษฐกิจประเทศไทยยังอยู่ในช่วงฟองสบู่ โดยวิโรจน์ นวลแข นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์คนปัจจุบัน เป็นคนเสนอ ขึ้น มาก่อนว่าน่าจะมีการลดค่าคอมมิชชั่นให้กับพวกกองทุนต่างประเทศ เพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุนเข้ามาในตลาดหุ้นไทย ส่วนนักลงทุนทั่วไปยังคงคิดในอัตรา 0.5% เช่นเดิม ต่อมาในปี 2539 ก.ล.ต.ได้รับลูกแนวคิดดังกล่าว และมีการตั้งทีมงาน ขึ้นมาศึกษาถึงโครงสร้างค่าคอมมิชชั่น ที่เหมาะสม

แต่ภายหลังแนวคิดนี้ ได้ถูกขยายความให้เป็นการปล่อยให้มีการเก็บค่าคอมมิชชั่นเสรี ซึ่งถูกคัดค้าน อย่างหนักจากบริษัทหลักทรัพย์ เพราะเห็นว่าประเทศไทยยังไม่มีความพร้อม

ว่ากันว่าผู้ที่ผลักดันแนวคิดเปิดเสรีในการเก็บค่าคอมมิชชั่น คือ ประสาร ไตรรัตน์วรกุล เลขาธิการก.ล.ต.คนปัจจุบัน เนื่องจากเห็นว่าการเปิดเสรี จะเป็นการเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของตลาดหลักทรัพย์ไทยกับ ตลาดหลักทรัพย์ประเทศอื่น

กลางปีที่แล้ว สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมา 6 ชุด เพื่อศึกษาเรื่องนี้ และได้สรุปแนวทางเสนอไปยังตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อเดือนพฤศจิกายน ที่ผ่านมาว่า การปรับค่าคอมมิชชั่น ควรจะเริ่มต้นจากการคิดค่าคอมมิชชั่นแบบถดถอย เป็นขั้นบันได ตามมูลค่าการซื้อขาย หุ้น และให้ใช้แนวทางนี้ไปสักระยะก่อนจะเปิดเสรี เพื่อให้เวลากับบริษัทหลักทรัพย์สามารถเตรียมตัวตั้งรับได้ทัน

ปลายเดือนธันวาคมคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ กลับมีมติสวน ออกมาว่าให้ปรับค่าคอมมิชชั่นเป็นระบบต่อรอง ตั้งเพดานต่ำสุด ที่ 0.25% โดยจะใ ช้ระบบนี้ไปเป็นเวลา 2 ปี จึงเริ่มเปิดเสรี ซึ่งถูกค้านจากบริษัทหลักทรัพย์อีกว่าเพดานต่ำสุด 0.25% นั้น ต่ำกว่าต้นทุนเฉลี่ยของโบรกเกอร์ ที่อยู่ระหว่าง 0.1-0.5% ทำให้ธุรกิจไม่สามารถอยู่ได้ โดยระดับเพดานต่ำสุด ที่เหมาะสมควรจะอยู่ระดับ 0.3% ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงให้เวลาบริษัทหลัก ทรัพย์ไปหาข้อมูลมาชี้แจงอีกครั้งภายในเดือนมกราคม

แต่ท้ายที่สุดแล้ว คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็ยังยืนยันมติเดิม และได้เสนอไปยังก.ล.ต.ออกประกาศมาเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ให้มีผลบังคับใช้หลังจากนี้อีก 6 เดือน

"สิ่งแรก ที่จะต้องทำหลังจากประกาศนี้มีผล คือ ต้องดูว่ามีต้นทุนอะไร ที่สามารถจะลดลงได้บ้าง" ผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์รายหนึ่งกล่าว

ต้นทุน ที่ว่า เริ่มตั้งแต่ค่าใช้จ่ายในสำนักงานต้นทุนการทำวิจัย และ ที่สำคัญคือ ค่าตอบแทน ที่ให้กับเจ้าหน้าที่การตลาด ซึ่ง ที่ผ่านมาถือเป็นต้นทุน ที่สูงที่สุดในธุรกรรมนายหน้าซื้อขายหุ้นของบริษัทหลักทรัพย์

แต่การลดผลตอบแทนให้กับเจ้าหน้าที่การตลาด กลับเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก เพราะเจ้าหน้าที่เหล่านี้รู้ดีว่าเมื่อบริษัท ที่ตนเองทำงานอยู่ให้ผลตอบแทนไม่เป็นที่พอใจ ก็ยังมีอีกหลายบริษัท ที่พร้อมจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า เพียงแค่นำฐานลูกค้าติดไปให้ด้วยเท่านั้น

สิ่งที่น่าจะทำได้ง่ายกว่า คือ การปิดห้องค้าในจุดที่ทำรายได้ให้ไม่ดีนัก โดยเฉพาะห้องค้าในต่างจังหวัด ที่มีมูลค่าซื้อขายต่อวันน้อยอยู่แล้ว

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us