Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน14 ธันวาคม 2550
แปซิฟิคสตาร์ฯ ดูดเงินนอก ร่วมทุนอสังหาฯไทยหมื่นล.             
 


   
search resources

Real Estate
แปซิฟิค สตาร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย), บจก.




แปซิฟิคสตาร์ฯเล็งหิ้วเงินกองทุนฯนอก ไล่ลงทุนโครงการอสังหาฯในไทยต่อ เล็งปี2551 ร่วมทุนโครงการอสังหาฯมูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท ทั้งคอนโดฯ อาคารสำนักงาน และโรงแรม-รีสอร์ตต่างจังหวัด ชี้โมเดลไม่แตกกับการร่วมทุนกับเอพี เปรยการลงทุนต้องมีตัวเลขIRR ไม่ต่ำกว่า 10%

นายอุรเสฏฐ นาวานุเคราะห์ ผู้จัดการด้านบริหารสินทรัพย์บริษัทแปซิฟิค สตาร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด โดยมีสำนักงานใหญ่ที่ประเทศสิงคโปร์ เปิดเผยว่า ทางบริษัทฯยังคงให้น้ำหนักการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในไทย เนื่องจากเป็นประเทศที่มีศักยภาพอีกแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชีย และแนวโน้มเงินทุนเคลื่อนย้ายของภูมิภาคอื่น จะเพิ่มการลงทุนในภูมิภาคเอเชียมากขึ้น คาดว่าในปี 2551 จะมีเงินทุนของต่างประเทศไหลเข้ามาอีก

ในส่วนของบริษัทฯ ได้กำหนดเป้าหมายในการนำเงินของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ที่ทางกลุ่มแปซิฟิคสตาร์ได้จัดตั้งขึ้นมาก่อนหน้านี้ เพิ่มลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ต่างๆในไทย โดยตามแผนการจะลงทุนโครงการอสังหาฯประมาณ 2-3 โครงการ เช่น โครงการที่อยู่อาศัยในทำเลที่มีศักยภาพ(ไพร์มเอเรียล) โครงการอาคารสำนักงานให้เช่า รวมถึงโครงการตามเมืองท่องเที่ยว เช่น ที่ภูเก็ตและพัทยา จะเป็นรูปแบบโครงการโรงแรมและรีสอร์ต รวมทั้งหมดโครงการจะมีมูลค่าขายกว่า 10,000 ล้านบาท

" รูปแบบของการลงทุนจะคล้ายคลึงการร่วมลงทุนกับบริษัทเอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ฯ ที่มีการพัฒนาโครงการอยู่ในทำเลที่ศักยภาพสูง โดยต้องเป็นรูปแบบอสังหาฯไม่ใช่อุตสาหกรรม หรือนิคมอุตฯ เพราะเราไม่ถนัดไม่ตรงกับนโยบายของกลุ่ม ส่วนบริษัทที่คาดว่าจะตรงกับแนวทางของบริษัทนั้น คงตอบไม่ได้ชัด แต่หากเป็นความคิดเห็นส่วนตัวแล้ว เอพี และแสนสิริ มีความเด่น ทางเอพีมีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาตึกสูง ขณะที่การตลาดของแสนสิริจะแข็ง "นายอุรเสฏฐ กล่าว

ก่อนหน้านี้ ทางบริษัทแปซิฟิคสตาร์ฯได้มีการลงทุนโครงการอสังหาฯในไทยตั้งแต่ปี 2549 ต่อเนื่องถึงปี 2550 แบ่งเป็น เงินลงทุนจากกองทุนเอเชีย เรียล เอสเตท อินคัม ฟันด์ หรือ( AREIF ) ที่มาลงทุนในโครงการคอนโดฯสาธรการ์เด้นส์ บนถนนสาทร สูง 41 ชั้น ที่เปิดขายห้องชุด 196 ยูนิต มียอดขายไปกว่า 80 ยูนิต และอีก 150 ยูนิตจะกันเป็นส่วนของเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ในช่วงนี้ และโครงการอาร์เอสทองหล่อ คอนโดฯเพื่อขาย เฉพาะ 2 โครงการมีมูลค่าขาย 7,000 ล้านบาท มูลค่าลงทุน 5,000 ล้านบาท (ส่วนนี้รวมทุนและหนี้ แต่หากเฉพาะทุนประมาณ 3,000 ล้านบาท)

ขณะที่การลงทุนร่วมกับโครงการของเอพี จะผ่านทางกองทุนเอเชีย เรียล เอสเตท ไพร์ม ดีเวลลอปเม้นท์ ฟันด์ หรือ (AREPDF ) ที่ใช้เงินทุนส่วนนี้ประมาณ 633 ล้านบาท หรือประมาณ 20 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ตามสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทร่วมทุน 2 แห่งที่ 49% )จากเงินสะสมในกองทุนขณะนี้ประมาณ 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าภายในไตรมาสแรกของปี 51 จะสามารถปิดกองทุนได้ที่จำนวนเงินทุนครบ 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่ง 2 โครงการที่ร่วมทุนได้แก่ บริษัท เอพี แปซิฟิคสตาร์(สาทร) มูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาทและบริษัท เอพี แปซิฟิค สตาร์(รัชดา) มูลค่า 3,000 ล้านบาท ทั้งนี้ เมื่อรวมทั้ง 4 โครงการ บริษัทจะมีมูลค่าโครงการที่บริหารประมาณ 13,000 ล้านบาท

" การร่วมทุนกับเอพี เพราะเราเห็นช่องทางของการลงทุน เพราะคาดว่าการคืนผลตอบแทนจากการลงทุนจะเร็ว ขณะเดียวกันยังเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างกันด้วย ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกัน ทั้งนี้คาดว่าผลตอบแทนจากการลงทุน(IRR) ต่อโครงการจะมากกว่า 10% ขณะที่เงินทุนจากกองทุนที่สนับสนุนโครงการอสังหาฯในไทยยังมีอยู่อีกจำนวนมาก แค่ 2 กองทุนข้างต้น ก็ใช้เงินลงทุนไปไม่มาก ดังนั้น โครงการใหม่ๆที่จะเกิดขึ้นในปี 51 จะใช้แหล่งเงินมาจาก 2 กองทุนดังกล่าว "

นายอุรเสฏฐ กล่าวเสริมว่า ที่ผ่านมาทางบริษัทฯได้มีการคืนเงินให้แก่ผู้ลงทุนไปแล้วประมาณ 1,000 ล้านบาทจากการเข้ามาลงทุนใน 2 โครงการแรก ซึ่งวิธีการมาจากในช่วงแรกจะใช้เงินทุนจากผู้ลงทุนเพื่อซื้อโครงการ มีการปรับปรุงทรัพย์ให้มีคุณภาพดี และมีการกู้เงินจากสถาบันการเงิน หลังจากนั้นนำส่วนนี้ไปคืนให้แก่ผู้ลงทุน โดยทางบริษัทจะมีสถานะกลายเป็นลูกหนี้สถาบันการเงิน ทั้งนี้ ผู้ลงทุนยังได้รับประโยชน์จากส่วนต่างของอัตราแลกเปลี่ยน โดยช่วงแรกที่นำเงินเข้ามาอัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 38-40 บาทต่อดอลลาร์ฯ ปัจจุบันเงินบาทแข็งค่าขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 33.7 บาทต่อดอลลาร์ฯ ผลประโยชน์ประมาณ 10%   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us