ธปท.เผยในช่วงเดือนต.ค.ยอดคงค้างสินเชื่อบัตรเครดิตเพิ่มขึ้น 6% หรือเพิ่มขึ้นกว่าหมื่นล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แบงก์ชาติระบุไม่น่าหว่ง แม้ปริมาณการใช้จ่ายโดยรวมจะเพิ่มขึ้น ในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอก็ไม่ใช่เป็นการก่อหนี้ แต่เป็นการหันมาใช้จ่ายบัตรเครดิตซื้อสินค้าที่จำเป็นแทนเงินสด

นายเกริก วณิกกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่า การขยายตัวของยอดคงค้างสินเชื่อบัตรเครดิตเพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อนในขณะนี้ยังไม่น่าเป็นห่วงอะไรมากนัก เมื่อเทียบกับปี 2545 ซึ่งเป็นช่วงที่มีอัตราการขยายตัวสูงถึง 39.9% ขณะเดียวกันผู้ประกอบการบัตรเครดิตเองก็มีการตัดหนี้สูญเร็ว ทำให้หนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล)ของบัตรเครดิต 3% เพิ่มขึ้นในอัตราที่ไม่สูงนัก รวมทั้งความสามารถในการชำระหนี้ของประชาชนก็ยังดีอยู่ แม้เศรษฐกิจจะชะลอตัวลงก็ตาม

"ในปัจจุบันประชาชนมีการใช้จ่ายรอบหมุนมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่ใกล้เทศกาลปีใหม่ ซึ่งก็ไม่ใช่เป็นการซื้อมากขึ้น แต่จากเดิมที่ใช้เงินสดในการใช้จ่ายก็กลับหันมาใช้บัตรเครดิตซื้อสินค้าที่จำเป็นจากโปรโมชั่นที่ผู้ประกอบการบัตรเครดิตต้องการกระตุ้นให้มีการใช้จ่ายมากขึ้น เช่น ใช้จ่ายบัตรเครดิตในการเติมน้ำมันจะได้รับส่วนลด หรือใช้บัตรซื้อสินค้าแล้วได้ลดราคา”นายเกริก กล่าว

สำหรับกรณีที่ยอดการเบิกเงินสดล่วงหน้าในเดือนต.ค.เพิ่มขึ้น 11.88% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนนั้น นายเกริก กล่าวว่า หัวใจสำคัญที่ธปท.ต้องมีการเข้าไปดูแลอย่างดี คือ เมื่อหนี้เอ็นพีแอลหรือยอดคงค้างของบัตรเครดิตเพิ่มขึ้น ดังนั้น แม้ยอดเบิกเงินสดล่วงหน้าที่เพิ่มขึ้นก็ไม่ได้มีอะไรที่ผิดปกติ เพราะผู้ถือบัตรเครดิตก็ยังคงใช้หนี้คืนได้อยู่

รายงานข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) แจ้งว่า สายนโยบายสถาบันการเงินของธปท.ได้ประกาศยอดคงค้างการให้บริการบัตรเครดิตแยกตามประเภทบัตรเครดิตของสถาบันการเงินในระบบล่าสุด ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2550 พบว่า ยอดคงค้างสินเชื่อบัตรเครดิตมีจำนวนทั้งสิ้น 173,892 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 3,474 ล้านบาท คิดเป็น 2.04% และเพิ่มขึ้น 10,733 ล้านบาท คิดเป็น 6.58% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน โดยแบ่งเป็นยอดบัตรเครดิตของธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในประเทศ 59,072 ล้านบาท สาขาธนาคารต่างประเทศ 34,968 ล้านบาท และบริษัทประกอบธุรกิจบัตรเครดิตที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน(นอนแบงก์) อีก 79,852 ล้านบาท

ขณะที่ปริมาณบัตรเครดิตในระบบมีจำนวน 11,858,211 ใบ เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 296,053 ล้านบาท หรือคิดเป็น 2.56% และเพิ่มขึ้น 1,137,679 ใบ คิดเป็น 10.61% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน โดยยอดบัตรเครดิตในเดือนนี้เป็นส่วนของธนาคารพาณิชย์ทั้งสิ้น 4,660,897 ใบ นอนแบงก์ 5,904,753 ใบ และสาขาธนาคารต่างประเทศ 1,292,561 ใบ

อย่างไรก็ตาม แม้เศรษฐกิจจะชะลอตัว แต่ผู้ถือบัตรเครดิตมีการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเพิ่มขึ้น โดยในเดือนต.ค.ที่ผ่านมา ปริมาณการใช้จ่ายโดยรวมมีจำนวน 75,353 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 10,999 ล้านบาท หรือคิดเป็น 17.09% และเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้น 9,889 ล้านบาท หรือคิดเป็น 15.11%

โดยผู้ถือบัตรเครดิตมีการใช้จ่ายบัตรเครดิตภายในประเทศทั้งสิ้น 54,960 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 8,495 ล้านบาท คิดเป็น 18.28% แต่เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้น 7,745 ล้านบาท คิดเป็น 16.40% ทั้งนี้ปริมาณการใช้จ่ายในประเทศเกิดจากธนาคารพาณิชย์ 27,215 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 4,606 ล้านบาท คิดเป็น 20.38% ส่วนธุรกิจนอนแบงก์จากปัจจุบันที่มียอด 18,910 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,524 ล้านบาท คิดเป็น 15.40% และสาขาธนาคารต่างประเทศมีจำนวน 8,833 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 1,363 ล้านบาท คิดเป็น 18.26% เมื่อเทียบกับเดือนก่อน

ส่วนปริมาณการใช้จ่ายในต่างประเทศมีจำนวนทั้งสิ้น 3,152 ล้านบาท สำหรับเดือนต.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 674 ล้านบาท คิดเป็น 27.17% แต่เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 668 ล้านบาท คิดเป็น 26.86% โดยประชาชนมีการใช้จ่ายบัตรเครดิตนอกประเทศในส่วนของธนาคารพาณิชย์ 1,216 ล้านบาท นอนแบงก์จำนวน 1,266 ล้านบาท และสาขาต่างประเทศ 670 ล้านบาท

ขณะที่การเบิกเงินสดล่วงหน้าของสถาบันการเงินมีจำนวนทั้งสิ้น 17,240 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,831 ล้านบาท คิดเป็น 11.88% เมื่อเทียบกับเดือนก่อน และหากเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้น 1,476 ล้านบาท คิดเป็น 9.36% โดยผ่านบัตรเครดิตของธนาคารพาณิชย์จำนวน 11,964 ล้านบาท นอนแบงก์ 4,063 ล้านบาท และสาขาธนาคารต่างประเทศ 1,211 ล้านบาท