Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน13 ธันวาคม 2550
"ซีบีฯ"โบ้ยการเมืองฉุดอสังหาฯวูบ             
 


   
search resources

ซีบี ริชาร์ด เอลลิส (ประเทศไทย), บจก.
Real Estate




"ซีบี ริชาร์ด" ระบุการเมือง เศรษฐกิจฉุดอสังหาฯเมืองไทยชะลอ ทั้งๆที่พื้นฐานดี คาดใช้เวลานานกว่าจะฟื้นตัว พร้อมตั้งความหวังรัฐบาลใหม่ฟื้นเศรษฐกิจ ฉุดธุรกิจอสังหาฯ โต วอนผ่อนเกณฑ์ต่างชาติซื้อวิลล่า - คอนโดฯ พร้อมระบุนักลงทุนต่างชาติหนี้เมืองกรุงฯหันลงทุนเมืองท่องเที่ยว พังงา -ภูเก็ต-สมุย แทน

เผยปีนี้แย่ทุกตลาดยกเว้นคอนโดฯและที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม

นางสาวอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ ซีบี ริชาร์ด เอลลิส ประเทศไทย เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2550 ในเขตกรุงเทพมหานครว่า ในปีที่ผ่านมาภาวะตลาดอสังหาฯ มีการชะลอตัว เนื่องจากปัจจัยลบในเรื่องความไม่มั่นคงทางการเมือง ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ส่งผลให้ต่างชาติไม่กล้าเข้ามาลงทุน ขยายกิจการ ซื้อที่อยู่อาศัย หรือท่องเที่ยวในเมืองไทย อย่างไรก็ตามจากสภาวะการณ์ดังกล่าวส่งผลให้การฟื้นตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ต้องใช้เวลานานพอสมควร

ทั้งนี้ในปี 2550 ตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่มีผลการดำเนินงานที่ดีที่สุดคือ ตลาดคอนโดมิเนียมระดับกลางที่อยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้า รวมถึงคอนโดมิเนียมระดับหรูที่ตั้งอยู่ในย่านใจกลางเมืองก็มีผลประกอบการที่ดี นอกจากนี้ภาคธุรกิจอุตสาหกรรมก็ดี โดยส่วนนี้จะเกี่ยวข้องกับการขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมก็ขายได้ค่อนมาก โดยในช่วง 9 เดือนแรกปีนี้สามารถขายไปได้ไม่น้อยกว่า 2,600 ไร่ หรือเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 40% ขณะเดียวกันในด้านโรงงานสำเร็จรูปให้เช่าก็ยังมีอัตราการใช้พื้นที่ในระดับสูงเช่นกัน ขณะที่ตลาดอาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีกนั้นมีการชะลอตัว

โดยอาคารสำนักงานนั้นจะได้รับผลกระทบจากการขาดความมั่นใจของชาวต่างชาติเกี่ยวกับเรื่องการเมือง ทำให้ต่างชาติชะลอการตัดสินใจในการขยายหรอาคารสำนักงานหรือย้ายสำนักงานไปอยู่ในพื้นที่ใหม่ อย่างไรก็ตามเชื่อว่าตลาดอสังหาฯจะกลับมาดีขึ้นหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับภาวะเศราฐกิจหลังการเลือกตั้งและนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่เป็นหลักว่าจะสนับสนุนภาคอสังหาฯหรือไม่

อย่างไรก็ตามสามารถแยกเป็นประเภทของตลาดต่าง ๆได้ดังนี้ "ตลาดบ้าน" เป็นตลาดที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก เพราะเป็นตลาดที่ขายให้กับกลุ่มผู้ซื้อโดยพบว่าบ้านสร้างเสร็จคิดเป็นจำนวนยูนิต มีอัตราการเติบโตลดลงจากปีก่อนประมาณ 20% ส่งผลให้ผู้ประกอบการมีการลดแลกแจกแถมค่อนขางมากเพื่อให้ตลาดพยุงตัวต่อไปได้ อย่างไรก็ตามเชื่อว่าตลาดบ้านจะฟื้นตัวอย่างช้า ๆ โดยสิ่งที่จะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงในอนาคตคือวงแหวนด้านใต้ที่กำลังตัดใหม่ ซึ่งบริเวณดังกล่าวมีพื้นที่ว่างและเป็นสีเขียวค่อนข้างมากทำให้เกิดทำเลใหม่ ๆ ในการพัฒนาโครงการในช่วงเริ่มต้นได้

ส่วนตลาดคอนโดมิเนียม เป็นตลาดที่ดีในระดับกลางและบน โดยในปีนี้มีคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จประมาณ 52,600 ยูนิต แต่ ณ สิ้นไตรมาส 3 นั้นมีการสร้างเสร็จไปแล้ว 50,000 ยูนิต และมีอัตราการเข้าพักประมาณ 87% ขณะที่ได้ปรับราคาเพิ่มขึ้นประมาณ 12% โดยสินค้าเกรดเอเดิมมีการขายที่ 110,000 บาทต่อตารางเมตร มาอยู่ที่ 123,000 บาทต่อตารางเมตร ขณะที่คอนโดระดับกลางเดิมอยู่ที่ 50,000-60,000 บาทต่อตารางเมตร มาอยู่ที่ 65,000-80,000 บาทต่อตารางเมตร ทั้งนี้ปัจจุบันตลาดคอนโดมิเนียมระดับกลางเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 13.4% ทั้งนี้สำหรับในปี 2551 นั้นคาดว่าจะมีคอนโดมิเนียมออกมาเพิ่มจากปีนี้อีกประมาณ 16.4%

ทั้งนี้คอนโดมิเนียมหรูราคาขายตั้งแต่ 170,000 บาทต่อตารางเมตร ขึ้นไปที่อยู่ในใจกลางเมืองจะยังไปได้ดีอยู่ เนื่องจากมีซัพพลายออกมาค่อนข้างน้อยคือจะมีประมาณ 3-4 โครงการเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่จะเน้นขายคนไทยและต่างชาติ เช่น โครงการของแสนสิริ ไรมอนแลนด์ เป็นต้น ขณะที่คอนโดระดับกลางก็จะยังเติบโตอยู่ แต่ก็จะมีโอเวอร์ซัพพลายในบางจุดคือสถานีต้นทางของส่วนต่อขยายบีทีเอส ทั้งที่พระโขนง-อ่อนนุช และย่านสาทร-ตากสิน แต่ทั้งนี้หากโครงการใดมีความโดดเด่นเรื่องทำเลก็จะยังขายได้อยู่

สำหรับตลาดอพาร์ทเม้นท์ มีโครงการเกิดใหม่เพิ่มขึ้นค่อนข้างน้อย ซึ่งส่วนใหญ่ให้บริการกับชาวต่างชาติที่พำนักในประเทศไทย ทำให้อัตราการเข้าพักค่อนข้างดีในเกือบทุกอาคาร แต่อย่างไรก็ตามตลาดดังกล่าวหากมีการเปรียบกับช่วง 2 ปีที่ผ่านมาก็พบวาอัตราการเข้าพักลดลงจากปีที่ผ่านมาอัตราการเข้าพักอยู่ที่ 83% แต่ในปีนี้อัตราการเข้าพักของอพาร์ทเม้นท์อยู่ที่ 79% เท่านั้น สาเหตุเนื่องจากการขยายตัวของตลาดอาคารสำนักงานมีน้อย ขณะที่อัตราการเติบโตของนักท่องเที่ยวก็ไม่สูงตามที่คาดการณ์ไว้และเชื่อว่าจะทรงตัวไปต่อเนื่องและน่าจะกลับมาดีขึ้นในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า

ส่วนตลาดโรงแรม ในปีนี้อัตราการเข้าพักของโรงแรมลดลงมาอยู่ที่ 70% จากที่ปีก่อนมีอัตราการเข้าพักประมาณ 75% ขณะที่อัตราห้องพักแต่ละห้องนั้นไม่ได้แตกต่างคือประมาณ 5,700 บาทต่อคืน แต่อย่างไรก็ตามพบว่าตลาดรีสอร์ทในจังหวัดท่องเที่ยวนั้นมีอัตราการเติบดตค่อนข้างสูง ทั้งนี้ในปี 2008 นั้นจะมีโรงแรมใหม่สร้างแล้วเสร็จเพิ่มขึ้นมากกว่า 2,000 ยูนิต

ตลาดสำนักงาน ในปีนี้ความต้องการใช้พื้นที่อาคารสำนักงานลดลงจากที่คาดการณ์ไว้ประมาณ 26.5% โดยในปีที่ผ่านมามีความต้องการใช้ที่ 204,037 ตารางเมตร แต่ในปีนี้น่าจะอยู่ที่ 150,000 ตารางเมตร ซึ่งมีผลกระทบจากเรื่องความไม่ชัดเจนของพระราชบัญญัติประกอบธุรกิจบุคคลต่างด้าว โดยเฉพาะในประเด็นการลงทุนทางด้านธุรกิจบริการ ส่งผลให้การขยายพื้นที่สำนักงานใหม่มีการชะลอตัวออกไป แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าตลาดสำนักงานในระยะกลางและระยะยาวน่าจะดี โดยในปีนี้มีสำนักงานใหม่สร้างเสร็จเพิ่มขึ้น 141,782 ตารางเมตร ในปี 2551 จะมีสำนักงานสร้างใหม่เสร็จ 165,000 ตารางเมตร และในปี 2552 จะมีอาคารสำนักงานใหม่สร้างแล้วเสร็จอีก 204,000 ตารางเมตร

ส่วนอัตราค่าเช่านั้นไม่ค่อยปรับหรือหากปรับก็เพียงเล็กน้อย โดยย่านที่มีการปรับราคาคือพหลโยธินและรัชโยธิน แต่คอนโดเกรดเอนั้นอัตราค่าเช่าปรับลดลงจาก 743 บาทต่อตารางเมตรในปีก่อน ปัจจุบันอยู่ที่ 739 บาทต่อตารางเมตร ทั้งนี้อัตราค่าเช่าในกทม.นั้นมีอัตราที่ต่ำมาเป็นอันดับ 3

ด้านตลาดพื้นที่ค้าปลีกนั้นไม่ค่อยมีการเคลื่อนไหวมากนัก โดยเฉพาะพื้นที่ค้าปลีกขนาดใหญ่ เนื่องจากหากมีการสร้างมากก็จะส่งผลกระทบกับของเดิมที่มีอยู่ได้ ส่งผลให้ผู้ประกอบการหันไปก่อสร้างศูนย์การค้าในลักษณะของคอมมูนิตี้มอลล์ขนาดพื้นที่ 5,000 บาทต่อตารางเมตร โดยคาดว่าจะมีศูนย์การค้าเกิดขึ้นอีกประมาณ 7 แห่ง ส่วนพื้นที่ค้าปลีกขนาดใหญ่ในปีนี้จะมีแล้วเสร็จจำนวน 103,500 ตารางเมตร ปีหน้าอีก 247,000 ตารางเมตร และในปี 2552 มีออกมาอีก 216,200 ตารางเมตร

ต่างชาติหันลงทุนเมืองท่องเที่ยว

นางสาวอลิวัสสา กล่าวต่อว่า ในปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจธุรกิจรีสอร์ทในจังหวัดท่องเที่ยวทั้งภูเก็ต สมุย พังงามากขึ้น โดยเฉพาะจังหวัดพังงานั้นจะมีโครงการเกิดใหม่อีกหลายโครงการ เนื่องจากพังงาอยู่ใกล้กับภูเก็ตค่อนข้างมาและเดินทางสะดวก อีกทั้งราคาที่ดินค่อนข้างถูกเมื่อเทียบกับภูเก็ต โดยในปีหน้าจะเห็นโครงการขนาดใหญ่เกิดขึ้นในพังงาไม่น้อยกว่า 1 โครงการบนพื้นที่ 1,000 ไร่ ซึ่งดำเนินการพัฒนาโดยกลุ่มแปซิฟิค เซ็นจูรี่ พรีเมี่ยมดีเวลลอปเมเนท์ ของลีกาชิง และกลุ่มคิงดอมโฮเทลอินเวสเม้นท์จากดูไบลงที่พังงา ขณะที่เอสวีแอลของสิงคโปร์จะพัฒนาโครงการที่ภูเก็ต

"จากความสนใจดังกล่าวประเทศไทยน่าจะมีการขยายให้เช่าที่ดินได้ไม่น้ยยกว่า 60 ปีหรือ 90 ปี เพราะธุรกิจนี้จะบูมและจะมีอัตราการเติบโตควบคู่กับตลาดท่องเที่ยว ซึ่งหากนักท่องเที่ยวเหล่านี้สามารถซื้อของได้ในระยะยาวก็จะเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยได้บ่อยครั้งมากขึ้น"   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us