|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
 |
ตลาดหุ้นไทยซึมนักลงทุนรอผลตัดสินคดีปตท.ศุกร์ 14 ธ.ค.นี้ วอลุ่มแค่ 1.3 หมื่นล้าน ขณะที่เฟดลดดอกเบี้ยน้อยกว่าที่คาดการณ์ฉุดหุ้นร่วงทั่วโลก บล.ไทยพาณิชย์ ระบุชัดหากถอนปตท.หุ้นไทยมีโอกาสรูดแตะ 400-550 จุด "สุชาย" เชื่อหุ้นซึมยาวเหตุสารพัดปัจจัยลบยังไม่มีความชัดเจน ลุ้นการจัดตั้งรัฐบาลกระตุ้นความเชื่อมั่น ด้านตลาดหลักทรัพย์ฯ เตรียมแผนรับมือ ประสานงานทุกหน่วยงานเพื่อไม่ให้กระทบนักลงทุน
ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (12 ธ.ค.) ตลอดทั้งวันดัชนีเคลื่อนไหวอยู่ในแดนลบ แม้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ แต่ผลการปรับลดกลับไม่สูงอย่างที่คาดไว้ โดยเฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% เหลือ 4.25% ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลง
ขณะที่ตลาดหุ้นไทยยังถูกกดดันด้วยการรอผลคำตัดสินคดีแปรรูปของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ในวันที่ 14 ธ.ค.นี้ ทำให้ดัชนีปรับตัวลดลงมาปิดที่ 834.09 จุด ลดลง 6.36 จุด หรือ 0.76% โดยจุดสูงสุดของวันอยู่ที่ 834.67 จุด และจุดต่ำสุดอยู่ที่ 829.80 จุด มูลค่าการซื้อขายเพียง 13,188.10 ล้านบาท มีนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 853.08 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 1,004.84 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 1,857.92 ล้านบาท
ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ไทยพาณิชย์ จำกัด ประเมินแนวทางการตัดสินของศาลปกครองออกเป็น 4 แนวทาง แนวทางแรก ศาลตัดสินให้บริษัทไม่ต้องพ้นจากการเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งจะส่งผลทำให้ตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ในระยะสั้น
แนวทางที่ 2. ตัดสินให้บริษัทไม่ต้องออกจากการเป็นบริษัทจดทะเบียน แต่ให้แยกธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับท่อก๊าซออกมาโดยอาจะให้เป็นการตั้งบริษัทย่อย ซึ่งเรื่องนี้จะส่งผลกระทบต่อกำไรต่อหุ้นของปตท.ประมาณ 3.5-4 บาท และบริษัทจะต้องจ่ายภาษีอากรในเรื่องดังกล่าวให้กรมสรรพากรประมาณ 10,000 ล้านบาท
แนวทางที่ 3. ภาครัฐจะซื้อคืนธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับท่อก๊าซ ซึ่งเบื้องต้นคาดว่ามูลค่าทางบัญชีอาจจะสูงถึง 3,000 ล้านเหรียญดอลลาร์ หรือประมาณ 100,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะกระทบต่อราคาหุ้นประมาณ 35-40 บาท และแนวทางสุดท้าย คำสั่งให้ถอดถอนปตท. ออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ และให้ทำการเสนอซื้อหุ้นคืนทั้งหมดในราคาที่เสนอขายครั้งแรก (IPO) ที่ 35 บาท ซึ่งกรณีดังกล่าวจะส่งผลทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงโดยประเมินว่าดัชนีอาจจะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 400-550 จุด
"การแยกธุรกิจท่อก๊าซ หรือรัฐจะเอาท่อก๊าซกลับคืนไปถือเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าอาจจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนเชื้อเพลิงและประชาชน ส่วนกรณีการถอดถอนบริษัทออกจากตลาดหุ้นนั้น จะส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของประเทศได้ จึงคาดว่าศาลจะไม่ตัดสินให้ต้องถอดถอนบริษัทออกจากตลาด"
หลีกเลี่ยงลงทุนรอผลสรุดที่ชัดเจน
นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการอาวุโส บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงวานนี้สอดคล้องกับตลาดหุ้นภูมิภาคที่ลดลงตามดาวโจนส์ บวกกับนักลงทุนมีความกังวลเรื่องการตัดคิดคดีปตท. จึงทำให้มีแรงขายหุ้นปตท.ออกมา
ขณะเดียวกัน ได้มีแรงขายหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ตามภาวะตลาดที่ปรับตัวลดลง โดยนักลงทุนต่างประเทศเป็นผู้ขายทำกำไรออกมา ดังนั้นจึงแนะนำให้นักลงทุนรอดูความชัดเจนคดีปตท.ก่อน เพราะมีความไม่แน่นอนสูง โดยประเมินแนวรับที่ระดับ 827-829 จุด แนวต้านที่ระดับ 838-840 จุด
นางศิริลักษณ์ ปโกฏิประภา ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลง เนื่องจากนักลงทุนผิดหวังที่เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.25% มาอยู่ที่ 4.25% ซึ่งน้อยกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ 0.50%
นอกจากนี้ กระแสข่าวที่ระบุว่าตลาดหลักทรัพย์ฯ อาจขึ้น SP หุ้น PTT ในวันที่ 14 ธ.ค.50 เพื่อรอคำสั่งศาลปกครองสูงสุดในคดีเพิกถอนการแปรรูปให้ชัดเจน ทำให้มีแรงเทขายหุ้น PTT ออกมาโดยประเมินแนวรับไว้ที่ 828 จุด ส่วนแนวต้านประเมินไว้ที่ 838 จุด
นายเจริญ เอี่ยมพัฒนธรรม รองกรรมการผู้จัดการ บล.เคทีบี กล่าวว่า การลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังคงผันผวนจากนักลงทุนยังไม่มั่นใจที่จะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย จากที่รอความชัดเจนการตัดสินคดีของปตทขณะที่ตอนนี้ตลาดหุ้นไทยยังไม่มีปัจจัยลบอื่นเข้ามากระทบ โดยเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยจะยังคงผันผวนต่อเนื่องจนกว่าผลการตัดสินคดี
หุ้นซึมยาวปัจจัยลบไม่จบ
นายสุชาย สุทัศน์ธรรมกุล กรรมการผู้จัดการบล.ฟิลลิป กล่าวว่า การลงทุนในตลาดหุ้นโดยเฉพาะตลาดหุ้นต่างประเทศมีแนวโน้มปรับตัวลดลงมากกว่าที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากปัจจัยลบทั้งในเรื่องการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ อันเกิดมาจากผลกระทบปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะสรุปอย่างไร ประกอบกับความมั่นใจของนักลงทุนต่อการลงทุนที่ลดลงอย่างต่อเนื่องจากปัจจัยลบหลายเรื่องที่ยังไม่ได้ข้อยุติ
ขณะที่ตลาดหุ้นไทยในช่วงต้นปี 51 มีโอกาสที่จะเคลื่อนไหวสอดคล้องกับตลาดหุ้นขนาดใหญ่ในโลกที่ยังน่าจะเคลื่อนไหวในทางลบ แต่ตลาดหุ้นไทยอาจจะได้รับข่าวดีบางในเรื่องผลการเลือกตั้งในช่วงสิ้นปีนี้ ซึ่งจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นมากน้อยเพียงใดจะต้องติดตามในเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลว่าจะมีเสถียรภาพมากน้อย
ตลาดหุ้นเตรียมแผนรับมือเต็มที่
แหล่งข่าวระดับสูง กล่าวว่า แผนการในเบื้องต้นที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เตรียมไว้เพื่อรองรับคำตัดสินที่อาจจะออกมาส่งผลกระทบที่รุนแรงกับตลาดหุ้นไทย เนื่องจากบมจ.ปตท. รวมทั้งบริษัทในเครืออีกหลายบริษัทไม่ว่าจะเป็นบมจ.ปตท.ผลิตและสำรวจปิโตรเลียม หรือ PTTEP บมจ.โรงกลั่นน้ำมันระยอง หรือ RRC บมจ.ไทยออยล์ หรือ TOP บมจ.ปตท.เคมีคอล หรือ PTTCH เป็นต้น มีสัดส่วนในตลาดหุ้นไทยมากกว่า 30% หากเกิดผลกระทบทางจิตวิทยาก็อาจจะส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อตลาดหุ้น
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้มีการทดสอบการใช้ระบบบเซอร์กิต เบรคเกอร์ ซึ่งเป็นระบบที่จะหยุดการซื้อขายทันทีเป็นเวลา 30 นาทีหากดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวลดลงถึงระดับ 10% โดยกรณีดังกล่าวแม้ว่าจะเป็นระบบที่ถูกตั้งไว้อัตโนมัติแต่เพื่อความแน่นอนจึงต้องมีการทดสอบระบบ
นอกจากนี้ ยังได้มีการหารือกับบริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ เกี่ยวกับคำสั่งซื้อขายในช่วงเวลาดังกล่าวที่อาจจะเข้ามาอย่างหนาแน่นเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อระบบการซื้อขาย และอาจจะกระทบต่อการซื้อขายหุ้นบริษัทอื่นๆ รวมทั้งได้มีการประเมินถึงระบบการจัดการชำระราคาหุ้น หรือ เคลียริ่งเพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างปกติ
"ตลาดหุ้นทั่วโลกไม่มีตลาดไหนที่มีหุ้นบริษัทหนึ่งบริษัทใด หรือกลุ่มบริษัทที่มีขนาดใหญ่จนเกือบจะกำหนดทิศทางของตลาดหุ้นได้อย่างตลาดหุ้นไทย ครั้งนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่กับตลาดหุ้นไทยว่าจะมีทิศทางอย่างไรต่อไปเพราะผลคำตัดสินที่จะออกมาจะมีผลต่อตลาดหุ้นในทางบวกหรือทางลบโดยตรง" แหล่งข่าวระดับสูง
นายศักรินทร์ ร่วมรังษี ผู้ช่วยผู้จัดการ สายงานกำกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) เปิดเผยว่า ตลท.จะประสานงานไปยังบริษัทถ้าหากเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นโดยจะมีการสื่อสารเพื่อให้เกิดความเข้าใจในเรื่องข้อมูลบริษัทที่จะแจ้งให้กับผู้ลงทุนได้ทราบอย่างรวดเร็วที่สุด รวมทั้งจะมีการประสานงานไปยังหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องด้วย
"หน้าที่ของเราคือการประสานการนำข้อมูลจากบริษัทจดทะเบียนไปสู่ผู้ลงทุนให้ชัดเจนและเร็วที่สุด โดยบริษัทจะแจ้งผลผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อให้ผู้ลงทุนได้รับข้อมูลที่เท่าเทียมกัน"นายศักรินทร์กล่าว
|
|
 |
|
|